Tuesday, December 31, 2013

Do What U Want - Lady Gaga & Christina Aguilera


Do What U Want - Lady Gaga & Christina Aguilera

ตื่น ตื่น ตื่น! แก! ปีใหม่แล้ว 1 มกราคม เรามาเริ่มต้นปีใหม่ด้วยของใหม่ที่ไม่ค่อยเซอร์ไพรซ์เท่าไหร่ สำหรับใครที่ประทับใจการดวลไมค์กัน ณ เดอะวอยซ์รอบไฟนอลเมื่อครั้งกระนั้นระหว่างแม่ก้าและแม่ติ๊ ตอนนี้มีให้ฟังแบบชัดเสียงใสกิ๊งแบบ Studio Version ไม่ต้องเงี้ยหูฟังว่าแม่ติ๊ร้องโหวกเหวกว่าอะไรตอนท้ายแล้วนะ 

Best Albums of the Year 2013



การคัดเลือกเพียง 10 อัลบั้มโปรดประจำปีไม่ใช่เรื่องง่าย เป็นสิ่งที่ต้องใช้ความเด็ดเดี่ยวมหาศาลราวกับต้องกัดฟันทิ้งลูกในไส้เพื่อต่อสู้กับความลำเอียงเพื่อที่จะคัดสรรเพียง 10 อัลบั้มที่โดดเด่นที่สุดแห่งปีไว้ให้ได้ ก่อนที่จะเริ่มกัน เพื่ออรรถรสในการรับชม ลองนึกถึงอัลบั้มที่เชียร์ไว้ในใจซักหนึ่ง แล้วมาดูกันว่าจะมีเอี่ยวด้วยหรือไม่ สูดหายใจหนึ่งเฮือกแล้วเลื่อนลงไปดูกันเลย




NUMBER 10

Icona Pop - This is... Icona Pop




แม้ปีนี้กระแส Swedish Pop จะไม่ได้มาแรงเหมือนก่อน และเพลงป็อปสายแด๊นซ์กระจายก็มัวแต่หันไปทำเพลงแนวโอลด์สคูลรสนิยมเลิศล้ำกันหมด ถ้าหากไม่ได้ Icona Pop อัลบั้มนี้มาช่วยชีวิตไว้เหล่าสาวๆ ขาแด๊นซ์แฟชั่นจัด รองเท้าผ้าใบแพล็ทฟอร์ม ไอลายเนอร์ยาวถึงขมับทั้งหลายคงขาดใจตายเป็นแน่แท้ ตลอดปีที่ผ่านมาแต่ละเพลงใน This is... Icona Pop อัลบั้มเต็มชิ้นแรกของสองสาว Caroline และ Aino นี้ทำหน้าที่เป็นดั่งยาสามัญประจำไอพอดที่มีไว้ใช้ชุบชีวิตแรดๆ ที่กำลังแห้งเหี่ยวโรยราให้ลุกขึ้นเต้นอย่างเสียจริตได้อีกครั้ง


NUMBER 9

Ariana Grande - Yours Truly



มีคนเคยบอกว่า being pretty is boring and exhausted คงไม่จริงอีกต่อไป โดยเฉพาะเมื่อภายใต้ลูกตากลมโต ขนตางอนยาวกระพริบวิบวับ และร่างตุ๊กตาบาร์บี้น่ารักแสนกลนั้นจะแฝงไปด้วยพลังเสียงที่ไม่มีใครมองข้ามไปได้ งานนี้มารายห์ก็มารายห์เถอะมาเจอคลื่นลูกใหม่อย่างน้อง Ariana Grande เข้าไปอาจถึงขั้นร้องไม่ออกได้ แถมอัลบั้มเล็กพริกขี้หนูอย่าง Yours Truly งานโซล/ป็อปหวานๆ ฟังง่ายตามสไตล์เด็ก Nickelodeon ที่ขายดิบขายดีมาไม่รู้กี่ซิงเกิ้ลต่อซิงเกิ้ลแถมยังมีแนวโน้มจะไปได้อีกไกล พี่ก็ขอให้ "พรสวรรค์"พาหนูไปได้อีกไกลๆนะ

NUMBER 8

HAIM - Days Are Gone 

 



สำหรับการทำดนตรีคงไม่มีอะไรดีไปกว่าการรู้ว่าตัวเองคือใคร และขีดความสามารถของตัวเองอยู่ตรงไหน และนั่นคือจุดแข็งข้อสำคัญในอัลบั้มแรกของสามสาว HAIM แม้ลุ๊คจะเป็นสามพี่น้องผมยาว แต่งตัวบ้านๆ หน้าตาเหมือนกันจนจับตัวไม่ถูก แต่นั่นหาใช่เรื่องสำคัญไม่ เพราะ Days Are Gone คืออัลบั้มที่ดึงตัวตนทั้งหมดลงมาใส่ในอัลบั้ม ทั้งประสบการณ์ทางดนตรีร็อคที่สืบทอดมาทางพ่อแม่ ทีทำให้เรารู้สึกเหมือนได้กลับมาฟังเพลงแบบ Blondie หรือ The Pretenders ได้อีกครั้งในปี 2013 และที่สำคัญการวางตัวทางการตลาดเพื่อกรุยทางสู่วงการป็อปของทั้งสามนั้นจัดว่ายอดเยี่ยมเลยทีเดียว

NUMBER 7

Robin Thicke - Blurred Lines

 



"Blurred Lines" คือหนึ่งในเพลงที่ระคายหูที่สุดแห่งปี ให้ตายเหอะแต่อัลบั้มข้างในนี่ซิคุณเอ้ย มันเต็มไปด้วยความแรดของผู้ชายคนนี้ในชนิดที่ว่าฟังแล้วอยากจะเดินเข้าไปตบหน้าหลายๆครั้ง ก็ดูเพลงเร็วแต่ละเพลงในอัลบั้มนี้ซิ ช่างสะดีดสะดิ้งตั้งแต่สไตล์ดิสโก้จังหวะกลางๆ ไปจนถึงอัพบีทฮิปฮอปเหมาะสำหรับงานเลี้ยงสังคมหรูหรา ส่วนพ่อปลาไหล Robin Thicke ก็จะปรากฏตัวในสูท Tom Ford เริ่มร่ายเนื้อเพลงสองแง่สองง่ามด้วยน้ำเสียงกระซิบกระซาบตั้งแต่ต้นจนจบอัลบั้ม สำหรับใครที่ชอบงานดิสโก้เปรี้ยวๆ แบบเพลงฮิต Rollercoasta อัลบั้มนี้มีให้เพียบ!


NUMBER 6

Natalia Kills - Trouble



นอกจากอัลบั้มนี้จะเหมาะสมกับตำแหน่งอันดับหกของอัลบั้มแห่งปีแล้ว สาว Natalia เองยังคู่ควรกับตำแหน่ง "Most Underrated Artist of the Year" พ่วงไปด้วยอีกหนึ่งรางวัล  สำหรับอัลบั้มที่สองของสาวคนนี้ ถ้าเป็นแนวร็อคก็คงจัดได้ว่าอยู่ในขั้นฮาร์ดคอร์ เพราะมันคืองานป็อปที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องของความรักหนุ่มสาว แถมนาตาเลียยังเมินการเขียนเพลงดาดๆ เกี่ยวกับการไปแรดในคลับไปอย่างไม่เหลียวแล และหันมาถ่ายทอดชีวิตจริงที่ไม่สู้จะดีซักเท่าไหร่นัก ออกมาเป็นดนตรีป็อปแนวถนัด เพลงนอกกระแสอย่าง "Controversy" วิพากษ์วิจารณ์สังคมแบบลอยหน้าลอยตา ในขณะที่ "Saturday Night" พูดถึงชีวิตคุณหนูบ้านแตกผ่านดนตรีอิเล็คโทร/ร็อค ฉบับอังกฤษจ๋าสไตล์ Depeche Mode มาเอง

NUMBER 5

Drake - Nothing Was The Same

 



เมื่อกลางปีเราเจอกับ "Started From the Bottom" งานเบสลำโพงแตกมาแล้ว ปลายปีก็ยังอยู่กับ "Hold On, We're Going Home" ที่สไตล์การร้องของเขาชนะใจสาธุชนชาวป็อปและฮิปฮอปไปอย่างไม่มีข้อกังขา และนี้ไม่ใช่ปีแรกที่เรามีซิงเกิ้ลจาก Drake คอยหล่อเลี้ยงวงการฮิปฮอป ตลอดหลายปีที่ผ่านมา หนุ่มคนนี้ฮ็อตขึ้นเรื่อยๆ และค่อยๆ ไต่อันดับขึ้นมาเทียบชั้นกับรุ่นพี่อย่างรวดเร็ว Nothing Was The Same ยังคงความเก๋จากการเป็นอัลบั้มฮิปฮอปสุดแสนจะประดิดประดอยทั้งเนื้อแร็ปและ sample ที่ขยันไปสรรหามาตกแต่งเพลงแล้วเพลงเล่า

 

  NUMBER 4

Macklemore & Ryan Lewis - The Heist

 

  อย่าไปบอกใครเชียวนะว่าไม่รู้จักเพลง "Thrift Shop" คุณเอ้ย  เขาจะหาว่าไปอยู่ถ้ำที่ไหนมา เพราะของเขาดังจริงตั้งแต่หัวปียันท้ายปีก็ยังมีซิงเกิ้ลติดชาร์ทอยู่เรื่อยๆ สำหรับ Macklemore & Ryan Lewis ศิลปินหน้าใหม่ของปีที่ประสบการณ์ไม่ใหม่เท่าไหร่นัก กับอัลบั้ม The Heist ที่มีการร้องแบบแร็พแต่ก็ตรงเป้าชาวป็อปด้วยซิงเกิ้ลที่จังหวะสนุกๆ อย่าง "Can't Hold Us" หรือก็มีเนื้อหาโดนใจประชาชีอย่าง "Same Love" ที่ออกมาเป็นหนึ่งเสียงจากชาว Heterosexual ที่สนับสนุนชาว Homosexual อย่างภาคภูมิใจ เรียกว่าเอาใจคนยุคใหม่ที่ฝักใฝ่ความเท่าเทียมไปเต็มๆ  

 

 NUMBER 3

Lorde - Pure Heroine

 


มาถึงอีกหนึ่งอัลบั้มที่กวาดเสียงอวยจากนักวิจารณ์มาตลอดปี หนำซ้ำยังส่งเพลงลอยลำขึ้นไปนอนค้างอยู่ที่อันดับหนึ่งนานหลายสัปดาห์ ทำเอานังแขกับเพลงที่โปรโมตแทบตายต้องนั่งอ้าปากหวอ ปี 2013 คือปีที่โลกจดจำชื่อ Lorde หรือน้องหลอด เด็กสาวจากนิวซีแลนด์วัยเพียง 17 ปี กับความสามารถล้นแก้วในงานแอลพีชุดแรกชื่อว่า Pure Heroine ที่กำลังสร้างคำจำกัดใหม่ความของเพลงป็อปว่าไม่จำเป็นต้อง "เยอะ" อีกต่อไป ดนตรีน้อยชิ้นแบบ "Royals" นี่แหละก็ขึ้นท็อปชาร์ตได้ แถมความเรียบง่ายและชาญฉลาดนี้ก็ได้รับคะแนนจากนักฟังรุ่นผู้ใหญ่ไปเต็มๆ ส่วนเนื้อเพลงทั้งหมดนี้เชื่อไหมว่าเด็ก 17 เป็นคนแต่ง ตอนชั้นม.5 ชั้นยังลอกการบ้านส่งครูอยู่เลยจ้ะ!

NUMBER 2

Justin Timberlake - The 20/20 Experience




2013 เต็มไปด้วยการกลับมาของหลายศิลปินป็อปยุคติ่งตั้งแต่ TLC ไปจนถึง 98 Degrees แต่ไม่ยักจะมีอะไรที่คัมแบ็คแล้วสนั่นสะเทือนวงการได้เท่าพี่หยอย Justin Timberlake คนนี้เลย หลังจากที่คุณพี่เล่นหายหน้าตาไปเล่นหนังให้แฟนเพลงใจหายแกก็กลับมาอีกครั้งกับอัลบั้มโซลเน้นซาวน์โบราณสุดเก๋าเกมส์กับชื่อเท่ๆว่า The 20/20 Experience กับคู่หูโปรดิวเซอร์ Timbaland คนเดียวคนเดิม เห็นได้ชัดว่าเป็นอัลบั้มที่หยอยดูมีความสุขและเป็นตัวของตัวเองอย่างมาก นี่คืออัลบั้มไม้ตายที่รอการบ่มเพาะอยู่ในวงการป็อปมาเป็นทศวรรษจนได้ปล่อยของเต็มที่ในที่สุด

 

NUMBER 1

Disclosure - Settle

 


นี่ไม่ได้เวอร์นะ แต่สำหรับ Disclosure แล้วถึงกับเลือกเพลงที่ชอบที่สุดมาให้ฟังไม่ถูกเลยทีเดียว ตั้งแต่ได้ยินอัลบั้มนี้ครั้งแรก ก็ขอลงชื่อเป็นติ่งสองพี่น้องคู่นี้อย่างเป็นทางการ ไม่แปลกที่เพลงโปรดจากอัลบั้มของสองดีเจหนุ่มนี้จะค่อยเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เพราะเขาขนเอาบรรดานักร้องชื่อดังจากฝั่งอังกฤษมาเป็นแถว ไม่ว่าจะเป็น AlunaGeorge, Sam Smith, Jessie Ware, Eliza Doolittle, London Grammar และอื่นๆอีกเพียบ หลายศิลปินที่เข้ามาร่วมร้องก็กลายมาเป็นศิลปินดาวเด่นของอังกฤษของปีนี้ไปตามๆกัน อย่างเช่น AlunaGeorge หรือ London Grammar นั่นไง ส่วนเรื่องดนตรีเหรอ โอ้ นี่พูดได้เต็มปากว่า Settle นี้แหละคืออัลบั้มที่ทำให้ดนตรี UK Garage กลับมาสู่ยุคเฟื่องฟูสู่เมนสตรีม ให้ได้มาเต้นระเบิดกันอีกครั้ง บอกเลย ช่วงนี้ที่ไหนเปิด "White Noise" นี่ลุกขึ้นเต้นแทบไม่ทันนะจ๊ะ

COME BACK NEXT DECEMBER AND SEE HOW MUSIC HAS CHANGED

Sunday, December 29, 2013

Miley Cyrus - Adore You

 
Miley Cyrus - Adore You

หนึ่งเอ็มวีใหม่จากน้องเหมยลี่ไซรัสที่ปล่อยออกมาให้ฟังตั้งแต่วันพฤหัสที่ผ่านมา ยังคงคอนเซปเสื้อผ้าน้อยชิ้นให้ชาวบ้านเขาไปติฉินนินทาได้ไม่ขาดปาก นอนคลุมโปงเกลือกกลั้วกอดก่ายอยู่ได้จนเกือบจบเพลงจึงตัดสินใจเข้าโหมดเอ็มวี Stay ของ Rihanna ลงแช่อ่างแบบไม่ถอดเสื้อผ้า จิกกล้องไปมาเล็กน้อย เป็นอันเสร็จพิธี ถึงแม้จะดูเบี้ยน้อยหอยน้อยแต่ใบหน้าของหนูเหมยก็ดูสวยงามตามท้องเรื่อง ไม่มีข้อบกพร่องให้ใครโจมตีมาก ยกเว้นชุดชั้นในซีทรูของหล่อน แต่อย่างไรก็ดีเอ็มวีก็ทำให้เพลงน่าสนใจขึ้น เหมาะสำหรับใช้ฟังขณะเมาค้าง นอนมองพัดลมบนเพดานหมุนพร้อมหายใจทิ้งไปวันๆ

Tuesday, December 24, 2013

Body Language - Well Absolutely



Body Language - Well Absolutely

ใครก็ตามที่อยู่เบื้องหลังการเปิดเพลงให้ร้าน H&M ไม่ว่าจะสาขาใด เราขอยกย่องท่านป็นผู้ยกระดับการใช้ชีวิตอันเปี่ยมด้วยรสนิยม! ถือเป็นของสมนาคุณจากร้านวันนี้ หลังจากใช้แอป Soundhound ตรวจหาชื่อเพลงเดินไปเดินมาคล้ายคุณป๋อง กพล ทองพลับเดินตรวจจับหาวิญญาณเจ้ากรรมนายเวรด้วยความตื่นเต้นว่าเพลงจะจบเสียก่อน แม้วันนี้จะยังไม่ได้เสื้อผ้าถูกใจแต่ก็ได้เพลงนิวดิสโก้ผสมป็อปหวานๆ ออกจะเชย 2010 ไปนิดแต่ก็ถือว่าติดไม้ติดมือออกจากร้านแบบไม่เสียสตางค์

Monday, December 23, 2013

My Molly - Ariel Pink feat. Sky Ferreira



My Molly - Ariel Pink feat. Sky Ferreira

หลังจากส่งอัลบั้ม Night Time, My Time เข้าสู่อ้อมใจชาวอินดี้ร็อคและชาวป็อปไปเป็นที่เรียบร้อย ดีกรีความกรันจ์ของน้องสกาย Ferreira จากที่ปริ่มอยู่ที่คอจนทั่วโลกได้เห็นเค้าโครงความซ่าไปแล้ว นางก็ตัดสินใจดำดิ่งเข้าสู่วงการอินดี้อย่างเต็มตัวด้วยการเข้ามาคัฟเวอร์เพลง My Molly ของ Ariel Pink ตัวพ่อของวงการอินดี้มันซะเลย ส่วนวงการแฟชั่นคงต้องอ้าแขนต้อนรับ trendsetter คนใหม่ที่จะมาทำให้ "ความกรันจ์" และ "ความกรัง"เขยิบเข้าหากันคนละก้าว

Disclosure - Voices ft. Sasha Keable



Disclosure - Voices

โบราณว่าน้ำขึ้นให้รีบตัก สองศรีพี่น้อง Disclosure ก็รีบจ้วงตักกันอย่างไม่คอยท่า นี่ก็ปาเข้าไปซิงเกิ้ลที่ 6 แล้ว น้องบอกว่าจะเอาจนกว่านักวิจารณ์จะหยุดสรรเสริญนั่นแหละ แต่ก็แหมของดีเขากว่าดี อัลบั้ม Settle ติดอันดับ Album of the Year จากแทบจะทุกสำนักอยู่แล้ว อีกซักหนึ่งเพลงก่อนสิ้นปีจะเป็นกระไรไป แต่ก่อนจะขนมาหมดอัลบั้มขอ January อีกซักเพลงเถอะนะได้โปรด <album review here>

Friday, December 20, 2013

Winter Tune: Tears For Fear - Head Over Heels


Winter Tune: Tears For Fear - Head Over Heels

ขอยืนยันว่าดนตรีคือสิ่งมหัศจรรย์ชนิดหนึ่งที่มี "อุณหภูมิ" อยู่ในตัวของมันเอง บางเพลงร้อนบางเพลงเย็น แต่สำหรับหน้าหนาวนี้ ไม่รู้ทำไมถึงได้ยินอินโทรของเพลงนี้ลอยมาในอากาศทุกที แต่ไม่ใช่ความหนาวแบบเย็นยะเยือกหรอกนะ มันคือความเย็นแบบอบอุ่นแบบที่เราเล่นสนุกกับอากาศเย็นกับเพื่อนๆ ครอบครัว หรือคนที่เรารักโดยมีเพลงนี้เปิดประกอบอยู่ต่างหากล่ะ

สำหรับ Tears For Fears เจ้าของบล็อกไม่ได้ติดตามผลงานอะไรเลย นอกจากอัลบั้ม Songs from the Big Chair สมัยปี 1985 นู้น ใครที่เป็นแฟนเพลงแนว brit-pop/new wave อย่าได้พลาดอัลบั้มคลาสสิกของสองคู่หูคู่นี้เขาเชียว มีเพลงดังๆ อย่าง Everybody Wants to Rule the World, Shout, Monster Talk และ Head Over Heels เพลงนี้นี่แหละ

สุขสันต์วันเสาร์ วันกรุงเทพฯ 18 องศาจ้า สิ่งมีชีวิตบนพื้นผิวโลกทุกท่าน

Sunday, December 15, 2013

Fruity Review #15: Beyonce Beyonce



Beyoncé
Beyoncé
6/10 

ขณะนับศพทหารสรุปยอดปลายปีว่าใครเกิด ใครดับในศึกชิงมงกุฎเพลงป็อปประจำปีนี้ยังไม่จบดี แต่แล้วก็ดั่งสายฟ้าฟาดเปรี้ยงใส่เหล่าดีว่าส์น้อยใหญ่จนเกิดความโกลาหลไปทั้งวงการ "Beyonce" อัลบั้มที่ 5 ของศิลปินหญิงนางเดียวที่แอบซุ่มอยู่มาทั้งปี วางแผงราวสายฟ้าแลบรวดเดียวทั้งอัลบั้ม 14 เพลง 17 เอ็มวี พร้อมๆกัน

ศุกร์ 13 ฝันหวานที่ผ่านมานั้นถ้าเป็น Freddy Kruegger คงเป็นเวอร์ชั่นที่หักมุมได้อย่างไร้เยื่อใยยิ่งกว่าหนังไมเคิล ฮาเนเก้เสียอีก หลายคนยังคงขยี้ตาดูไม่ต่างจากครั้งแรกที่เห็นว่า iTunes ประกาศวางแผงอัลบั้มใหม่ของบียอนเซ่โดยไม่มีการเตือนหรือยิงทีเซอร์ล่วงหน้าเหมือนดีว่าส์รายใหญ่คนอื่นๆ ที่ใช้วิธีนี้กันเสียจนกลายเป็นธรรมเนียมไปแล้ว เกิดอะไรขึ้น? ใครหมั่นไส้ในความเพอร์เฟกของนางจนคันไม้คันมือเอาอัลบั้มมาปล่อยหรือเปล่า ถึงได้ไม่มีแม้กระทั่ง "หน้าปก" หรือ "ชื่ออัลบั้ม" ? เปล่าเลย และหล่อนก็ไม่ได้เกิดอาการคุ้มคลั่งจากการเลี้ยงหนู Blue Ivy จนอยากจะหนีกลับมาทำเพลงต่อ ตลอดช่วงเวลาสั้นๆ ที่หายตัวไป หลายคนคงรู้สึกว่าในที่สุดบียอนเซ่นางได้อยู่อย่างเป็นสุขๆ กับเขาซักที แต่ไม่เลย เธอไปแอบซุ่มทำอัลบั้มที่เรียกได้ว่า "ส่วนตัวที่สุด" อัลบั้มนี้มาให้ฟังต่างหาก

อัลบั้มที่ไม่มีแม้แต่ชื่อและหน้าปกอัลบั้มนี้ ทดแทนด้วย 17 วีดีโอจากผู้กำกับดังๆ มากมายจนดูคล้ายกับองค์กรลับอะไรบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็น Jonas Akerlund แห่งมาดอนน่า Hype Williams แห่งวงการฮิปฮอป หรือกระทั่ง Terry Richardson อันเป็นที่รักของมวลมหาประชาป็อปทั้งโลกก็มาร่วมซุ่มกำกับให้ด้วย 17 วีดีโอนี้อาจไม่ใช่แนวคิดใหม่ของแม่บี สำหรับแฟนเพลงที่ติดตามมาก่อนหน้านี้คงทราบกันดีอยู่แล้วว่าบีมักจะมีเอ็มวีมากเกินความจำเป็นเสมอ หรือที่เรียกง่ายๆ ว่าชอบทำเอ็มวีเพลงที่ไม่ได้ตัดซิงเกิ้ลนั่นเอง เธอเผยคอนเซปว่าอยากจะถ่ายทอดภาพในหัวออกมาพร้อมกับบทเพลงในอัลบั้มไปพร้อมกันๆ จึงอยากจะเรียกมันว่า Visual Album อย่างไรก็ดีหากในนั่งเขียนถึงแต่ละเอ็มวีคงไม่ได้เขียนกันพอดี จึงขอใช้วิธีการแบบคลาสสิกในการรีวิวอัลบั้ม คือฟังอย่างเดียว ไปก่อนแล้วกัน

นอกจากกองทัพผู้กำกับมากมายแล้ว อัลบั้มแม่บียังคงรวมเอาโปรดิวเซอร์มือดีบนโลกมนุษย์มารวมกันอีกเช่นเคย แต่แนวเพลงกลับเรียกได้ว่าหวือหวาน้อยที่สุดเท่าที่เธอเคยทำมา และกล้าพูดได้ว่าเป็นอัลบั้มที่เรียกร้องความสนใจทางดนตรีน้อยที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาในปีนี้ เรียกว่าน้อย น้อยจนน่าตกใจ

บียอนเซ่เคยบอกกับผู้ชมในดีวีดีสารคดี Life Is But a Dream ของเธอว่า

"I have been too commercially successful ...It's something really stressful about having to keep up with that ...It's something crippling you can't express yourself and I don't want to have the same thing for ten more years."

ถ้าเกิดคำพูดเดียวกันนี้ออกจากปากคนอื่นเราคงเบ้ปากด้วยความหมั่นไส้ แต่สำหรับบียอนเซ่ที่ใครๆ ก็มั่นใจในความสามารถและความถึกของหล่อน ทำให้เรายอมรับคำพูดนี้ด้วยความเข้าใจ

เธอจึงต้องมั่นใจว่า แม้ว่าจะอยากเท่าไหร่ แต่การทำอัลบั้มที่ไม่ดึงดูดใจประชาชนนั้น ต้องมั่นใจก่อนว่ามีรากฐานที่มั่นคงไม่ให้ทุกอย่างล้มครืนลงมาและคนก็จะลืมเธอไปในที่สุด แต่สำหรับชั่วโมงบินของนางนี้ที่เทียบได้ว่านานที่สุดรองจากแค่ Janet Jackson และ Madonna เราคงไม่ต้องห่วงเท่าไหร่

แทร็กแรก Pretty Hurts กับข้อความที่ถูกบอกซ้ำครั้งที่ร้อยล้านเกี่ยวกับความสวยที่ต้องแลกมาด้วยความทรมานของเด็กสาว บอกเล่าด้วยเสียงของแม่บีกลับฟังดูมีน้ำหนักขึ้นเป็นพิเศษ แม้ว่าจะมีงาน instrumental พื้นๆก็ตาม Haunted น่าสนใจขึ้นอีกนิดด้วยการกึ่งร้องกึ่งพูด ตัวเพลงแบ่งออกเป็นช่วง interlude ตามสไตล์ Channel Orange ของ Frank Ocean ก่อนเปลี่ยนเป็นท่อนร้องเซ็กซี่ไม่แพ้ใคร

ไม่มีอัลบั้มไหนของบียอนเซ่ที่ไม่มีชื่อ Jay-Z สำหรับอัลบั้มนี้อยู่ในแทร็กจังหวะฮิปฮอป ชื่อว่า Drunk in Love (ถ้าจะเทียบ) คงเทียบไม่ได้กับความเจ็บปวดรวดราวของ Drunk on Love ของห่านอยู่ดี ส่วนของดีอยู่ที่ Blow ดิสโก้เนิบนาบ เหมือนมาร์ตินีราคาแพงรสชาติหวาน เนื้อหาออกจะทะลึ่งตึงตังเล็กน้อยพอเป็นพิธี ไม่แพ้กับ Partitions และ Rocket โซลหอมหวนเหมาะสำหรับการเป็นเพลง lap-dance พอประมือกับ Dance for You ได้เลย ร่วมถึงเพลงช้าที่เน้นเปียโนกับนักร้องก็มีดีอย่าง Heaven และ Blue ที่แน่นอนว่ามอบให้กับน้องบลูไอวี่นั่นเอง

ไม่มีเพลงที่เรียกได้เต็มปากว่าพลาด แต่อัลบั้มนี้เต็มไปด้วยเพลงที่เรียกว่า "ธรรมดาเกินไป" และผ่านหูไปอย่างรวดเร็ว นั่นคือสิ่งที่อัลบั้มนี้ไม่มีเหมือน "4" ที่แต่ละเพลงมีความโดดเด่นในตัวเองโดยที่ไม่ต้องใช้เวลา grow ในตัวคนฟัง โจทย์การทำอัลบั้มที่ไม่ต้องการเรียกร้องความสนใจ และอยากจะพูดถึงความรู้สึกของตัวเองโดยไม่มีการปิดกั้น ถือเป็นปัญหาใหญ่สำหรับคนฟังไม่น้อย เพราะไม่ใช่ทุกคนที่เป็นแฟนเพลงของเธอและอยากฟังความจริงจากก้นบึ้งส่วนลึกในจิตใจ บางคนก็อยากได้เพลงเต้นๆ สนุกๆ ที่ร้องได้กับเพื่อนๆ หรือที่มีท่าเต้น iconic สุดๆ แบบ Single Ladies หรือการเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายทดลองของใหม่อย่าง Run the World ก็ไม่มีให้เห็นในอัลบั้มนี้



วีดีโอทั้งสิบเจ็ดเพลงมีความสำคัญมากกกกกกกก จนทำให้เพลงทั้งหมดนี้ฟังดูดีมีความหมาย หรือเรียกง่ายๆ ว่า "เต็มขี้น" ก็อยู่ที่วีดีโอทั้งนั้น แต่คงไม่ยุติธรรมเท่าไหร่หากต้องให้คะแนนจากวีดีโอด้วย เอาเป็นว่ามันเรียกได้ว่า Visual Album เพราะว่าถ้าไม่มีวีดีโอมันจะเป็นอะไรที่ค่อนข้างน่าเบื่อละกัน

สำหรับศิลปินหญิงที่ขึ้นชื่อเรื่องความเพอร์เฟกและไม่เคยหยุดทำงานคนนี้ นี่เป็นอัลบั้มที่ถ่ายทอดดนตรีที่มาจากตัวตนในฐานะศิลปินอย่างแท้จริง สำหรับคนฟังอย่างเรา แม้นี่จะเป็นอัลบั้มที่บอกตัวตนของบียอนเซ่ได้อย่างเจาะลึกที่สุด แต่ก็คงไม่ใช่อัลบั้มแรกที่จะแนะนำให้คนที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนฟังอย่างแน่นอน...

Friday, December 13, 2013

Beyonce New Album 2013


ห๊ะ! อะไรนะ? Beyonce ปล่อยอัลบั้มใหม่ทีเดียว 14 เพลง 17 เอ็มวี โดยไม่มีบอกล่วงหน้า?! ห๊ะ! อะไรนะ นี่แค่ก็อกแรกกำลังจะมีก๊อกสองตามมาเหรอ? นางยังเป็นคนอยู่ใช่ไหม? <click here>

Thursday, December 12, 2013

Kelis new album "Food"


KELIS RELEASING NEW ALBUM "FOOD" NEXT APRIL

ข่าวดีประจำวันนี้: อัลบั้มใหม่ของคุณพี่ Kelis ของน้องมีกำหนดวางแผง 28 เมษายนนี้แล้ว! ใครไม่ดีใจชั้นดีใจ! โผเข้ากอดพี่สาวด้วยความปิติเป็นล้นพ้น หายหน้าหายตาไปนาน อัลบั้มใหม่ของนางจะใช้ชื่อว่า Food ชื่ออัลบั้มอร่อยน้อยกว่าอัลบั้ม Tasty ในปี 2003 ไปนิดหน่อยแต่ก็พอให้อภัย

ไม่นานเกินรอซิงเกิ้ลแรกชื่อว่า Rumble จะปล่อยให้ฟังกันเดือนหน้านี้แล้ว ย้อนติดตามกันสักหน่อย Kelis นี้หลังจากที่ลองออกอัลบั้มแนวอิเล็กโทร-แดนซ์ ไปเมื่อหลายปีก่อนแล้วกระแสเงียบสนิท คุณพี่ก็มีหลุดมาให้ฟังประปราย หร็อมแหร็ม ให้คนที่ติดตามได้ผ่านตามาบ้างอย่าง Jerk Rips หนึ่งเพลงที่คาดว่าจะมาจากอัลบั้มใหม่เป็นต้น

สำหรับอัลบั้มใหม่นี้เลิกฝันจะครองอันดับหนึ่งชาร์ตไหนได้เลย เพราะนางไปเซ็นสัญญาค่ายใหม่ Ninja Tune ที่เล็กน้อยเห็บหอยกว่าเดิมมาก เราคงได้ฟัง Kelis ในแนวอินดี้กัดก้อนเกลือกินไม่เน้นขาย ไม่เน้นมหกรรมเต้าสั่นงันงกแบบใน milkshake อีกต่อไป

และนี่คือคำให้การของเจ้าตัว: “I’m really happy to be partnering with Ninja Tune on my new record. This is the album I’ve wanted to make for a long time and I want the team around me to be as excited and energetic about it as I am. I’m also very happy to be working with some of the most creative people in the industry”

โดยอัลบั้มนี้จะได้โปรดิวเซอร์เป็น Dave Sitek จาก TV on the Radio มากำกับให้ตั้งแต่เพลงแรกยันเพลงสุดท้าย และดูเหมือนคุณพี่จะดูมีลับลมคมในมากขึ้นเมื่อเจ้าของบล็อกจะเอาเพลงเก่าที่เคยหลุดมาเปิดให้ฟังดันพบว่าโดนเก็บเรียบ Youtube ไปแล้ว แถม Soundcloud ก็ใหม่เอี่ยม ก็เลยใช้โอกาสนี้เปิดเพลงที่ชอบให้ฟังไปเลยละกัน เป็น Intro สั้นๆ จากอัลบั้ม Kelis Was Here เมื่อปี 2006 เสียงแรกที่ได้ยินหลังจากเสียบแผ่นซีดีเข้าเครื่องจ้ะ

Tuesday, December 10, 2013

Tensnake - Love Sublime


Tensnake
Love Sublime

ใครที่ชอบกีตาร์แบบใน Get Lucky ขอแนะนำให้มาฟังเพลงนี้ไปเลย เพราะนอกจากจะได้ Nile Rodgers มือกีตาร์เจ้าของเดียวกับที่เล่นให้ดาฟท์ พังค์แล้ว เพลงใหม่จากดีเจ Tensnake คนนี้ยังมาพร้อมกับจังหวะดิสโก้ดีดดิ้งสุดตัว อัลบั้มใหม่ออก 7 มีนาคม ปีหน้านู้น ใครรอไม่ไหวเข้าไปฟังได้ที่ Soundcloud ของนายคนนี้กันไปก่อน มีแต่ของดีๆ ทั้งน้านนน

Britney Spears - Baby One More Time (Kulkit Remix)


Britney Spears
Baby One More Time (Kulkit Remix)

 เอ็มวีใหม่ Perfume น้ำเน่าได้ใจมาก นึกว่าฟังรายการพี่อ้อยพี่ฉอดจากคลับฟรายเดย์อยู่ ดูกันหรือยัง? อย่ากระนั้นเลย ขอส่งเครื่องบรรณาการมาแก้ขัดด้วย Baby One More Time ฉบับ Kulkit Remix สามารถจับรวมเข้ากับเพื่อนๆ ในเพลย์ลิสต์สไตล์เฮ้าส์ 90s ได้อย่างไม่เคอะเขิน ส่วนหนุ่ม Kulkit ก็มีรีมิกซ์ดีๆ ให้ฟังมากมายทีเดียว คลิกที่นี่ ของเขามีให้โหลดฟรีด้วย

Saturday, December 7, 2013

12 Greatest Video of 12 Months of 2013



กลายเป็นธรรมเนียมเสียแล้ว เดือนธันวามาถึงทีไร บรรดาบล็อกเกอร์ทั่วโลกและนิตยสารต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคอหนังหรือคอเพลงมีอันจะต้องร่วมใจกันจัด 10 อันดับนั้นนี่นู้น "แห่งปี" ทั้งหลาย จนทำให้เดือนธันวากลายเป็นเดือนแห่งการคั้นหัวกะทิอย่างเอาเป็นเอาตายของบล็อกเกอร์ทั่วโลก ซึ่งขอบอกเลยว่า Fruityspoon ก็ไม่เคอะเขินขอโดดเข้าร่วมวงเฮโลสาระพาจัดอันดับกับเขาด้วย เพราะฉะนั้นเราจึงขออุทิศเดือนนี้ให้กับการจัดอันดับผลงานเพลงต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในวงการดนตรีปีนี้เป็นการสรุปรวบยอดประจำปีไปเลย

สำหรับวันนี้ขอเริ่มต้นด้วย 12 Music Video ที่เลอค่าที่สุดจาก 12 เดือนแห่งปี 2013 
จะมีผ่านตามาแล้วกี่เพลง ไม่เคยเห็นมาก่อนกี่เพลง หรือเอ็มวีในดวงใจกี่เพลง ไปดูกันเลย!!




Clarity
Artist: Zedd
Director: Jonathan Desbiens (Jodeb)

เริ่มต้นเดือนแรกของปีด้วยเพลงที่หลายคนน่าจะคุ้นหูมาบ้าง เพราะตัวซิงเกิ้ลนั้นดังระเบิดเมื่อตอนต้นปีสร้างชื่อระบือนามแก่ผู้ฟังชาวไทยไปทั่ว นั่นก็คือ Clarity ของ Zedd ที่มาพร้อมกับเอ็มวีกราฟฟิกสามมิติสวยงามอย่าบอกใคร ภาพสโลว์หยดเหงื่อกระเด็นตกสู่พื้นหิน ตัวละครชายหญิงเหาะเหินเดินอากาศ และสีสันที่สวยงามเตะตาจนต้องรีบคว้ามาเป็นวีดีโอดีเด่นประจำเดือนมกราคม อาหารตาจานแรกของปีนี้ไปเลย (อ่านต่อหน้านี้)

 
The Stars (Are Out Tonight)
Artist: David Bowie
Director: Floria Sigismondi

แต่ละเอ็มวีจากอัลบั้มใหม่ของ David Bowie นั้นเปี่ยมไปด้วยความคิดสร้างสรรค์กระฉูดจนหยิบมาบรรยายแทบไม่ถูกเลยทีเดียว แต่ถ้าจะเลือกก็คงต้องเป็นผลงานกำกับสุดเซอร์เรียลของ Floria Sigismondi ที่จับคู่จิ้นตลอดกาลของโบวี่อย่าง Tilda Swinton มาแสดงนำในเอ็มวีพล็อตเยี่ยม ที่ลักษณะกายภาพเพศชาย-หญิง ถูกนำมาขยำขยี้ป่นปี้เสียจนแทบไม่มีความหมายอะไรอีกต่อไป (อ่านต่อหน้านี้
 


Blind
Artist: Hurts
Director: Nez Khammal

เดือนมีนาคม เอ็มวีเพลง Blind จาก Hurts พาเราไปตามติดความรักสีแดงสดอันเร่าร้อน ลึกลับ รุนแรง และอันตราย กับองค์ประกอบภาพที่เน้นสีแดงสดขับเน้นความเซ็กซี่ที่ทรงพลัง ตัดกับแสงสีขาว กำแพงบ้านสีขาวที่อุตสาห์ไปถ่ายถึงหมู่บ้านในสเปน ผ้าปิดแผลที่เห็นในเอ็มวีนั้นได้มาจากระหว่างถ่ายทำคุณพี่เธโอลื่นตกบันไดจากขั้นบนสุดลงมากระแทกกับรั้วเหล็กด้านล่าง พี่แกก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไปได้ เล่นจริงเจ็บจริง เอากับเขาสิ!

 
Q.U.E.E.N
Artist: Janelle Monae feat. Erykah Badu
Director: Alan Ferguson

Janelle Monae เผยองคาพยพแห่งวัฒนธรรมชั้นสูงของชาวแอฟริกันในพิพิธภัณฑ์สีขาวสะอาดที่ทั้งคนดูและคนถูกจัดแสดงก็โดดเด่นไม่แพ้กัน บรรยากาศแบบอนาคตนิดๆ มาเจอกับกองทัพชะนีผิวสีในชุด mod ตั้งแต่หัวจรดเท้า เป็นเอ็มวีที่เพรียบพร้อมไปด้วยความเป็นแอฟริกันร่วมสมัยและรสนิยมในระดับที่เหลือรับประทาน และอย่าหาว่าเวอร์เลยนะ แต่การปรากฏตัวในวงการอีกครั้งของ Erykah Badu ดูน่าเกรงขามราวกับราชินี Nefertiti แห่งอียิปต์เลยล่ะ

 
Love Somebody
Artist: Maroon 5
Director: Rich Lee

แค่ Adam Levine อย่างเดียวชะนีก็กรีดร้องลั่นป่าแล้ว ยังจะมีอะไรดีไปกว่าคุณพี่อดัมในสภาพกึ่งเปลื่อย เปียกโชกไปด้วยของเหลวเหนียวและข้นไปเล่า? เอ็มวี Love Somebody นอกจากจะเซ็กซี่ปรอทแตกแล้ว ยังเตะตาด้วยเทคนิกที่เรียบง่ายและหลักแหลม ทำให้ไม่ดูขับเน้นเรื่องเพศเกินไป ผลลัพธ์จึงส่งให้เพลงธรรมดาๆเพลงนี้เพราะขึ้นเป็นกอง แถมมองไปมองมายังดูคล้ายกับเอ็มวีชั้นครูอย่าง All Is Full of Love ของ Bjork ด้วยนะ 



F For You
Artist: Disclosure
Directors: Ross McDowell and Ben Murray

เดือนมิถุนาส่งสองพี่น้องที่มาแรงที่สุดแห่งอังกฤษปีนี้อย่าง Disclosure เข้าประกวดด้วยซิงเกิ้ลที่ 4 จากอัลบั้ม Settle ที่มีชื่อว่า F For You ตัววีดีโอเองอาจดูไม่มีอะไรมากนอกจากตัวศิลปินกับฉากหลังที่ถูกออกแบบมาให้เข้ากับจังหวะเพลงได้อย่างลงตัว แต่ด้วยเสื้อผ้า สีสัน และแสงไฟ LED รวมตัวกันทำให้เอ็มวีนี้ดูเรียบง่ายแต่มีระดับอย่าบอกใคร ถึงแม้ดีเจจะไม่ได้ขยับตัวไปไหนแต่จะมีอะไรเท่ห์ไปกว่าการเห็นดีเจหนุ่มสองคนกำลังปฏิบัติหน้าที่อย่างแข็งขันอีกล่ะ?
   
We Can't Stop
Artist: Miley Cyrus
Director: Diane Martel

เราอาจเคยเห็นเอ็มวีประเภทที่เขาเรียกว่า Psychedelic อารมณ์ภาพเบลอๆขณะเสพยามาแล้วบ้าง แต่ไม่เคยนึกนะว่าวันนึงจะมีเอ็มวีที่ทำให้เห็นว่าคนตอนเมาสภาพมันเป็นยังไง เดือนกรกฏาคมที่ผ่านมาโลกทั้งโลกกระอักกระอ่วนกับการถูกยัดเยียดให้ดูเอ็มวีนี้ ไม่รู้ว่าควรจะชมหรือควรจะด่ามันดี เหมือนปาร์ตี้วันเกิดของ David Lynch มาจัดที่บ้านของ Terry Richardson อะไรแบบนั้น คือเราก็เห็นเอ็มวีปาร์ตี้วัยรุ่นใจแตกมามากแต่ไม่เคยมีอันไหน "ติดตา" ได้เท่าอันนี้เลย

 
Applause
Artist: Lady Gaga
Director: Inez van Lamsweerde and Vinoodh Matadin

ข้อดีของการถูกมองว่าบ้า คือเมื่อมาจนถึงจุดหนึ่งแล้วคุณอยากจะแต่งเป็นอะไรแค่ไหนก็ไม่มีใครมาค่อนแคะครหาอีกต่อไป Inez & Vinoodh สองช่างภาพแฟชั่นชื่อดังจับนังผีบ้า Lady Gaga แปลงโฉมครั้งล่าสุดในเอ็มวี Applause ออกมาเป็นสารพัดลุ๊คตั้งแต่ชุดบิกินีหอยกาบไปจนถึงนางหงษ์ดำ ดีบ้างพลาดบ้าง แต่นางเอกตัวจริงหาใช่นังก้าไม่ แต่เป็นการกำกับศิลป์ชั้นเยี่ยมจากทั้งสองผู้กำกับ ทำให้เอ็มวีที่มีคนคาดหวังสูงที่สุดของปีนี้ เป็นเอ็มวีที่มีคนพูดถึงมากที่สุดไปโดยปริยาย


 
I Don't Need A Reason
Artist: Dizzee Rascal
Director: Emile Sornin

จำได้ว่าคำแรกที่พูดตอนที่เห็นเอ็มวีนี้คือ "มึงบ้าแล้วววว!" จะไม่ให้บ้าได้ไงคุณเอ้ย มัน Don't need a reason สมชื่อจริงๆ ไม่มีการแคร์ตรรกะเหตุผลอะไรอีกต่อไป หลักฐานทางประวัติศาสตร์จะบอกว่ายังไงไม่ต้องไปสนใจ พี่มืดในชุดหลุยส์ วิกผมปอมปาดูร์สูงเป็นเมตร เดินกันให้ว่อนวังแวร์ซายน์ใน attitude แบบฮิปฮอปปล่อยกันเต็มที่ เชื่อว่าปฎิกิริยาของคนที่ได้ดูเอ็มวีนี้คงมีหลากหลาย ไล่ไปตั้งแต่ขำแบบเพลียๆ วิงเวียนคล้ายจะเป็นลม ไปจนถึงขนหัวลุก แต่ที่แน่ๆ ไม่มีใครลืมมันลงแน่นอน

 
Gorilla
Artist: Bruno Mars
Director: Cameron Duddy

หลังจากเพลงเศร้าๆอย่าง When I Was Your Man ผ่านไป Bruno Mars ก็ยังคงหมกมุ่นกับการแต่งเพลงเกี่ยวผู้หญิงและเซ็กซ์อย่างไม่หยุดหย่อน สำหรับคราวนี้มาในเซ็ตติ้งคลับเปลื้องผ้าเม็กซิกันที่ร้อนฉ่าไปด้วยแสงไฟนีออนหลากสีและเสื้อผ้าสไตล์คาริบเบียน แถมยังได้ Freida Pinto นางเอกสาวจากอินเดียมาเพิ่มอุณหภูมิด้วยบทแม่สาวนักเต้นดาวยั่วประจำร้าน มาเจอกับหนุ่มนักร้องเจ้าของส่วนสูง 168 ซม.คนนี้ อะไรก็เลอค่าดีอยู่หรอก แต่เปรียบเทียบผู้หญิงเป็นกอริลล่านี่มันกระไรอยู่หรือเปล่าจ๊ะคุณพี่ 



AfterLife
Arcade Fire
Director: Emily Kai Bock

สำหรับเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาหมาดๆนี้ตกเป็นของซิงเกิ้ลที่สองจากอัลบั้ม Reflektor ของ Arcade Fire ที่ดูจะถูกอกถูกใจนักวิจารณ์กันเป็นพิเศษ เรื่องราวความฝันเหงาๆ ของชายสามวัยในครอบครัวที่ดูจะไม่ค่อยอบอุ่นเท่าไหร่ เรื่องราวที่ผูกกันหลวมๆ เกี่ยวโยงกันไปมาระหว่างสามคนในครอบครัวนี้ ในขณะที่ภาพในจินตนาการบ่งบอกถึงสิ่งที่พวกเขาโหยหา จังหวะเป็นไปอย่างเนิบนาบค่อยๆ ให้เนื้อเพลงเป็นตัวเล่าความคิดในหัวออกมาเป็นคำพูด เป็นเอ็มวีที่เล่าเรื่องได้ดีพอๆกับหนังเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว



Tropico
Artist: Lana del Rey
Director: Anthony Mandler

ใครชอบงานภาพเชิญทางนี้เลยจ้า เมก้าโปรเจค Tropico ของ Lana Del Rey ที่นางโพนทะนามาตั้งแต่ต้นปีในที่สุดมันก็พรีเมียร์แล้ว หนังสั้นขนาดครึ่งชั่วโมงประกอบไปด้วยสามเพลงจากอัลบั้ม Paradise ได้แก่ Body Electric, God and Monsters และ Bel Air ถูกนำมาร้อยเรียงต่อกัน คั่นด้วย monologue บทกวี ตามด้วยภาพแสงฟุ้งๆ มารีลีนมอนโร เอลวิส พระเจ้า ปืน Stripper แก๊งโจร ปาร์ตี้ ฟังเสียงเบลอๆของนางไปเพลินๆก็ผ่านไปแล้วครึ่งชั่วโมง แต่อย่าถามนะว่าที่ดูไปทั้งหมดมันคืออะไร
  

Wednesday, November 27, 2013

 
Eminem - Rap God

เฮีย Eminem ยังคงความโหดอย่างคงเส้นคงวาตั้งแต่อัลบั้ม The Marshall Mathers LP เมื่อปี 2000 จนถึงอัลบั้มชื่อเดียวกันสิบสามปีให้หลัง ก็ยังคงสไตล์การแร็พประเภทเน้นความเร็วชิงถ้วยชนะเลิศอยู่ไม่มีเปลี่ยนแปลง สำหรับ Rap God นี่ใครได้ติดตามโชว์ของเขาใน Youtube Awards เมื่อต้นเดือนน่าจะได้ฟังกันไปแล้ว (และเชื่อว่าจนทุกวันนี้หลายคนก็ยังฟังไม่รู้เรื่องเหมือนเดิม จะเร็วไปไหน) ก็ตามสไตล์เอมิเน็มกันไป แต่แค่สงสัยว่าทำไมพักนี้แร็ปเปอร์เขาชอบสถาปนาตัวเองเป็น God กันจัง
 

Sunday, November 24, 2013

Out of Nowhere #3: Bliss - John Legend and Teyana Taylor


My mama say I'm too young for love, but loving you is all I'm thinking of...


ช่วง "มันมาจากไหน" วันนี้เราจะมาพูดถึงเพลงที่ครองใจเจ้าของบล็อกในช่วงวันนี้ของปีทีแล้วไปได้อย่างอยู่หมัด เป็นแทร็คที่แอบแฝงตัวอยู่ในอัลบั้ม compilation ที่ชื่อว่า Cruel Summer เมื่อปี 2012 โดยกลุ่มศิลปินที่เรียกตัวเองว่า GOOD MUSIC จะกู๊ดสมชื่อหรือไม่นั่นไม่รู้ แต่จริงๆ แล้วพวกเขาก็คือ Jay-Z กับ Kanye West บวกผองเพื่อนร่วมค่ายทั้งหลายนั่นแหละ เอาเป็นว่าอัลบั้มนี้เป็นโปรเจคพิเศษของคนในค่ายนี้ให้มาปล่อยของกันได้อย่างเต็มที่ ทั้งฝีมือโปรดิวเซอร์ แร็ปเปอร์มือใหม่อยากแจ้งเกิด หรือมือเก่าฝึกปรือวิชาก็มาปล่อยพลังกันได้ที่นี่

Cruel Summer นี่ไม่ใช่อัลบั้มที่เราโปรดปรานเป็นพิเศษอะไรหรอก แต่ก็ไม่ถึงขั้นจะทำให้คนฟังต้องเจอฤดูร้อนที่โหดร้ายหรือว่าอะไร มีติดไอพอดไว้เพื่อความหลากหลาย จนกระทั่งดันชัฟเฟิลมาสะดุด แทร็คหนึ่งกับน้ำเสียงคุ้นหูของ John Legend ที่มีชื่อว่า Bliss ที่ซ่อนอยู่เป็นเพลงอันดับที่รองสุดท้ายของอัลบั้ม

ความประทับใจแรกของเพลงเกิดจากเสียงแหบพร่าของนักร้องหญิงคนหนึ่ง ที่ทำให้ทุกอย่างหยุดชะงักไปชั่วขณะ เธอคือ Kelis ใช่หรือไม่? คำถามเกิดจนต้องหยุดเพื่อเงี่ยฟังให้ชัดเจนยิ่งขึ้น แต่ไม่ ถึงแม้จังหวะการออกเสียงบางคำจะใช่ แต่เคลิสไม่ได้มีเสียงที่หวานเหมือนเด็กวัยรุ่นแบบนี้ คำตอบจบลงที่ google ได้ความว่า เจ้าของเสียงท่อนแรกของเพลงนีคือ Teyana Taylor แร็ปเปอร์สาวผมหยิก จากฮาร์เล็ม นิวยอร์ก ที่ประเดิมงานดนตรีซิงเกิ้ลอย่างเป็นทางการเพลงแรกก็ได้ร้องคู่กับ John Legend ในอัลบั้มนี้ 

Bliss เป็นอาร์แอนด์บี ที่เกิดจากการปะทะกับระหว่างคียบอร์ดซินธ์เท่ห์ๆ กับเครื่องสายอลังการจากวงดนตรีบิ๊กแบนด์ เบสหนักหน่วงส่งให้เสียงของเทยาน่า ขับขานล่องลอยไปบนอากาศ เสียงนกอินทรีที่อินเสิร์ตเข้ามาโปรยปราย ดึงดูดคนฟังให้สะดุดหู หรูหราและสวยงามสมกับเนื้อหาของเพลงเกี่ยวกับการบรรยากาศโรแมนติกของคู่รักที่หลบหนีผู้คนไปบนเครื่องบินเจ็ทส่วนตัว

John Legend และ Teyana Taylor สร้างความน่าเชื่อถือได้อย่างดีเยี่ยมจากอารมณ์เพลงที่เร่าร้อน ระหว่างหนุ่มมหาเศรษฐีกับสาวน้อยผู้โชคดี ว่าทั้งสองเป็นคู่รักและกำลังบอกเล่าความในใจให้กันและกันจริงๆ แต่อีกคนหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังความสวยงามของเพลงนี้ที่พูดไม่ถึงไม่ได้เลยนั่นคือ Hudson Mohawk โปรดิวเซอร์หนุ่มน้อยจากเกาะอังกฤษ ที่มาฝากฝีมือไว้ที่เพลงนี้เป็นผลงานชิ้นแรกๆ เช่นเดียวกัน โดย instrumental ของเพลงนี้ทั้งหมด เขาได้อัดไว้เรียบร้อยมาก่อนหน้านี้แล้วในแทร็กที่ชื่อว่า Ice Viper เมื่อมาทำเป็น Bliss ก็เพียงใส่เนื้อเพลงของทั้งสองคนลงไปแค่นั้นเอง


Friday, November 22, 2013


M.I.A - Sexodus feat. The Weeknd

ไม่ได้จะเป็นซิงเกิ้ลใหม่หรืออะไร แต่อยากจะหัวเราะเยาะคุณแม่ Madonna เพราะ Sexodus เพลงแซ่บๆ เพลงที่เห็นข้างบนนี้คือเพลงที่คุณแม่เขี่ยออกจากอัลบั้ม MDNA แล้วดันไปคว้าเพลงห่วยๆ อย่าง B-Day Song มาใส่แทน ไม่อยากจะเทียบความต่างศักย์ทางคุณภาพการโปรดิวซ์และวาทะโวหารทางการแต่งเพลงอะไรซักเท่าไหร่ ฟังเอาด้วยหูตัวเองแล้วกัน ...ก็ไม่รู้สินะ

Tuesday, November 19, 2013

"In The Zone" 10th Year Anniversary


     นั่งดูหน้าปกอัลบั้มเท่าไหร่ก็ยังไม่รู้สึกว่าอัลบั้ม In The Zone ของบริทนีย์จะมีอายุได้ 10 ปีแล้ว เพราะผลงานเพลงอัลบั้มที่ 4 ของ Britney Spears ชิ้นนี้คืออัลบั้มโปรดของเจ้าของบล็อก เป็นเหมือนอัลบั้มสามัญประจำไอพอดที่หยิบขึ้นฟังบ่อยจนไม่รู้สึกว่ามันเก่าได้เลย หน้าปกอัลบั้มสีฟ้าเข้มกับใบหน้า ดวงตา ริมฝีปาก และเส้นผมปลิวสยาย ทำให้เป็นนี่เป็นปกอัลบั้มของบริทนีย์ที่สวยที่สุดโดยแทบจะไม่ต้องบรรยายอะไรมากมาย

ในวันที่ชื่อของ Britney Spears พุ่งทะยานขึ้นสู่ทุกคลื่นวิทยุเหมือนพลุที่ระเบิดโชติ์ช่วง ลงมาสู่ผู้คนทุกหัวระแหง ตั้งแต่บรรดาเด็กๆ วัยรุ่นที่คลั่งไคล้ใฝ่ฝันจะสะบัดผมสีบลอนด์สุดเซ็กซี่ได้อย่างเธอ ไม่แพ้กับหน้าท้องแบนราบที่สร้างกระแสเสื้อเอวลอย กางเกงเอวต่ำไปทั่ว ในขณะที่วงสนทนาของนักวิจารณ์ก็พูดถึงอัลบั้มหน้าปกสีฟ้านี้กันอย่างไม่ขาดสาย สำหรับใครที่ไม่เคยฟัง In The Zone ก็ต้องบอกว่าอัลบั้มมีมากกว่าการจูบกับมาดอนน่ากลางเวที VMAs หรือซิงเกิ้ลดังอย่าง Me Against The Music หรือเพลงฮิตสุดแรดอย่าง Toxic แต่มันยังเป็นอัลบั้มที่ไปขุดหาเครื่องดนตรีแปลกใหม่สารพัดจากหลายแหล่งทั่วโลกมาผสานรวมกันในดนตรีป็อปได้โดยไม่ทำให้รู้สึกแปลก อีกทั้งยังมีอำนาจของเพศหญิงวัยแรกรุ่นที่ยั่วยวลเข้มข้นอยู่ในทุกอณู



     สมัยก่อนตอนเราเป็นเด็ก In The Zone หมายถึง Me Against The Music และเพลงเต้นๆ จังหวะสนุกๆ ในอัลบั้มอย่าง I Got That Boom Boom เท่านั้น ก็แค่เด็ก ม.2 คนหนึ่งจะไปประสาอะไรกับความหมายที่เหลือของอัลบั้ม ก็เลยกดข้ามแทร็คลิ้นเปลี้ย กระซิบกระซาบ อย่าง Showdown หรือ Breath On Me ไปไม่ได้ติดใจอะไรมากมาย ก็มันไม่เห็นจะสนุกน่าเต้นตรงไหนเลยนี่ แต่โชคดีที่เมื่อโตขึ้นเราก็ไม่ได้ทิ้งอัลบั้มนี้ไปเสียทีเดียว และปล่อยให้มันโตขึ้นไปกับเราตามกาลเวลา เมื่อกลับมาฟังใหม่แต่ละครั้ง เพลงเหล่านี้ก็เข้มข้นและละเอียดนุ่มนวลขึ้นอย่างน่าประหลาด

แทร็คแปลกๆ อย่าง Early Morning ได้โปรดิวเซอร์และศิลปินเดี่ยวชื่อดังอย่าง Moby มาโปรดิวซ์และเขียนเพลงให้ ออกมาเป็น Trip-Hop อ่อนๆ สไตล์คลอเคลียนัวเนีย และเชื่องช้าเหมือนฟัง trip-hop แท้ๆ แบบ Portishead ยิ่งโตก็ยิ่งไม่อยากเชื่อว่าสิ่งนี้จะอยู่ในอัลบั้มเพลงป็อปของศิลปินหญิงอันดับหหนึ่งของชาร์ทได้  ในขณะที่ Showdown เป็นอิเล็กโทรป็อป หนักเบส ซุกซนตื่นเต้น เรียบเรียงเนื้อร้องเป็นคำพูดเหมือนสาวๆ หัวเราะคิกคักกันในหนังสุดเซ็กซี่ของ Atom Egoyan


     สำหรับเนื้อเพลงใน Touch of My Hand นั้นขอบอกว่ายิ่งตั้งใจฟังยิ่งดี อย่ามัวแต่เคลิบเคลิ้มเครื่องดนตรีจีนและปล่อยให้ถ้อยคำโวหารที่เรียบเรียงมาอย่างตั้งใจมาหลอกเราได้ เพราะฟังไปฟังมาเพลงนี้ทั้งเพลงมันคือ ode to masturbation เลยนี่หว่า! น่าแปลกที่เนื้อหาแรงขนาดนี้แต่ทำไมยังดูดีกว่า work bitch ตั้งเยอะก็ไม่รู้เนอะ

ประเด็นเรื่องแตกเนื้อสาวไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับ Britney Spears เราเคยฟังกันมาแล้วในหลายๆ ซิงเกิ้ลจากอัลบั้มก่อนหน้า และอีกมากมายจากนักร้องหญิงคนอื่น แต่ความน่าสนใจของอัลบั้มนี้คือมันยืนอยู่ระหว่างความเป็นเด็กสาวรักสนุก ที่พยายามปิดบังความเป็นเด็กที่แท้จริงของตัวเองไว้ กับเด็กสาวอีกคนทีโตเป็นผู้ใหญ่แต่ก็ไม่แก่เกินที่จะพูดเรื่องเพศได้ด้วยความสนใจใคร่รู้ ต่างกับอัลบั้มหลังๆ ที่พูดถึงเรื่องเซ็กซ์ได้อย่างชินชาราวกับมันเป็นหน้าที่ของป็อปสตาร์ไปแล้ว

     Brave New Girl คือตัวอย่างของสาวคนแรก ที่ก้าวเข้าสู่ชีวิตวัยรุ่นด้วยนัยน์ตาเบิกกว้าง ออกสนุกสนานกับโลกยามค่ำคืนเป็นครั้งแรก แฝง irony เล็กๆ ไม่ต่างกับประโยค Brave New World ที่ตัวละครของเชคสเปียร์เคยพูดไว้ใน The Tempest แม้ตัวเพลงกลับมาเป็นบับเบิ้ลกัมป็อปแบบตอนอัลบั้มแรกแต่หอกก็แอบแฝงนัยยะสำคัญโดยการเรียกเด็กสาวคนนั้นด้วยบุคคลที่สาม ให้รู้ว่า Brave New Girl นี่ไม่ใช่ตัวเธอหรอกนะ... ใครจะไปรู้อันที่จริงแล้วเธออาจกำลังแสดงความเป็นพี่สาวให้ตัวเธอเองก็ได้...



ผู้หญิงคนที่สองที่เป็นผู้ใหญ่เต็มตัว คือคนที่กำลังเสียใจกับความสัมพันธ์ของตัวและกำลังพูดถึงความรักของตัวเองในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ใน Shadow ที่มาในบัลลาดครบเครื่อง แม้จะยังอ่อนเรื่องการร้องไปหน่อย แต่ก็ยังถือว่าชนะในเชิงรูปแบบและเนื้อเพลงเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ห่างเหินของคนที่ครั้งหนึ่งเคยใส่ใจกัน Everytime แสดงให้เห็นถึงความเปราะบางของผู้หญิงคนเดิมที่กลับไปเป็นเด็กน้อย รอคอยความรักของคนของเธออีกครั้ง ไม่ว่าจะยังพอมีความหวังอยู่หรือไม่ก็ตาม

     ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ศิลปินทุกคนจะมีสิ่งที่เรียกว่า Masterpiece เป็นของตัวเอง และ "เวลา" นี่แหละคือสิ่งที่จะบอกว่าสิ่งไหนใช่ สิ่งไหนไม่ใช่ผลงานที่จะให้คำจำกัดความตัวศิลปินคนนั้นต่อไปในอนาคต In The Zone มีทั้งความสนุกสนานแบบเพลงป็อปในยุคนั้นและความเซ็กซี่ที่เป็นไปอย่างธรรมชาติตามตัวศิลปิน โดยที่ไม่ต้องอาศัยการออกแบบใดๆ ทั้งสิ้น จนทำให้เมื่อเวลาผ่านไป 10 ปี In The Zone กลายเป็นอัลบั้มที่ครบเครื่อง ละเอียด นุ่มลึก และทรงคุณค่าให้นำกลับมาฟังใหม่ได้จนถึงปัจจุบัน


Monday, November 11, 2013

Fruity Review #14: Lady Gaga - ARTPOP

If video killed the radio star, did Gaga's "ARTPOP" killed Pop Art?

Lady Gaga
ARTPOP
7.5/10

Andy Warhol เคยตั้งชื่อสตูดิโอของตัวเองว่า The Factory โรงงานผลิตศิลปะและแหล่งซ่องสุมของศิลปินและเซเลปชื่อกระฉ่อนแห่งโลกยุคโพสโมเดิร์น ที่ให้กำเนิดวงดนตรีอย่าง The Velvet Underground ดารานางแบบอีกเพียบอย่าง Edie Sedgwick เป็นต้น ไฉนเลยจะไม่ให้พูดถึงกระป๋อง Campbell Soup อันลือเลื่องที่กลายมาเป็นผลงานที่ใช้จำกัดความคำว่า Pop Art ศิลปะแขนงที่จับเอาความอาร์ตและความแมสมาอยู่ในบรรทัดเดียวกัน มันแหวกแนวขนาดไหนก็ลองนึกดูซิว่า (ในสมัยนั้น) ถ้ามีใครเอาปลากระป๋องตราสามแม่ครัวมาแขวนจัดแสดงในแกลเลอรี่ แถมยังพิมพ์ออกมาได้ทีละเป็นพันๆแผ่น เราจะยังเรียกสิ่งนั้นว่าศิลปะอยู่หรือเปล่า?

หลายทศวรรษต่อมาจึงกำเนิด Lady Gaga ผู้ที่เคลมตัวเองไว้ในซิงเกิ้ล Applause ว่า "Art's in Pop, Culture, in me" ศิลปินหญิงที่มีคนพูดถึงมากที่สุดในโลก และครึ่งหนึ่งของโลกที่เอ่ยชื่อเธอมักจะพูดถึงในลักษณะสรรเสริญ ในขณะที่ครึ่งหนึ่งของคนที่ได้ยินชื่อเธอมักจะกลอกตาด้วยความหมั่นไส้ และคนเหล่านั้นจะยิ่งเบะปากเป็นทรงโค้งรัศมีโปรเจกไตล์เมือได้ยินว่าเธอตั้งชื่ออัลบั้มล่าสุดว่า ARTPOP

คำถามว่า Lady Gaga และ Andy Warhol มีความเหมือนต่างกันอย่างไร เป็นคำถามที่บุคคลประเภทที่สองจะตอบอย่างเหนื่อยหน่ายว่า Lady Gaga ยังไม่ควรไปเทียบชั้นกับใครทั้งสิ้น แต่ในความจริงแล้วทั้งสองมีใจความสำคัญเหมือนกันอยู่หนึ่งอย่างคือ ทั้งคู่ต่าง "จงใจ" วางตัวเองอยู่ในขั้วตรงข้ามกับความวิจิตรบรรจงและความลึกล้ำทั้งปวง และผลักดันให้ผลงานของตัวเองเข้าถึงผู้คนกระแสหลักให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ โดยไม่สนว่ามันจะถูกดูแคลนหรือถูกลดทอนคุณค่าไปอย่างไรบ้าง นั่นคือเหตุผลว่าทำไมกาก้าถึงมาได้ไกลขนาดนี้ และทำไมภาพพิมพ์รูปมาริลีน มอนโรยังมีประดับอยู่ตามร้านกาแฟใกล้บ้านคุณ

โอเค เราเข้าใจว่าการให้ Jeff Koons มาออกแบบหน้าปกอัลบั้มให้ ร่วมงานกับ Marina Abramovic และ Inez & Vinoodh รวมถึงดีไซน์เนอร์จากห้องเสื้ออีกครึ่งโลกที่ลงมือตัดชุดให้นางใส่ในการปรากฎตัวแต่ละครั้ง พร้อมทั้งยังเอ่ยถึง Botticelli อยู่เป็นระยะๆ คือส่วนที่เราควรจะเรียกว่า ART แต่สิ่งสำคัญกว่าอื่นใดคือภาคดนตรี POP ในฐานะสินค้าที่ผ่านการประโคม ลดแลกแจกแถมกันมาครึ่งปีนี่ต่างหาก ที่จะชี้เป็นชี้ตายให้กับอัลบั้มที่มีคนรอคอยมากที่สุดของปีนี้ แม้ใครๆ ก็รู้ว่าเพลงของเธอไม่เคยประหลาดล้ำเหมือนลุ๊คการแต่งตัวเลย

สิ่งที่น่าสนใจสำหรับภาคโปรดิวเซอร์ของอัลบั้มคือ นอกจากที่ก้าจะยังคงเส้นคงว่ากับ DJ White Shadow ที่เคยร่วมงานกันใน Born This Way แล้ว เธอยังหันไปใช้บริการโปรดิวเซอร์หนุ่มๆ วัยแรกแย้ม เช่น Zedd ดีเจที่เคยฝากผลงานอย่าง Clarity ที่ดังระเบิดไปเมื่อปีที่แล้ว และ Madeon ดีเจหนุ่มน้อยวัย 19 ปี มาร่วมลงแรงในหลายเพลงของอัลบั้มนี้ด้วย โดยเนื้อเพลงทั้งหมดในอัลบั้มผ่านปลากปากกาของสาวก้าเจ้าตัวล้วนๆ ทั้งหมดนี่รวมกัน บวกกับ reference จากศิลปินยุคก่อนหน้าอีกนิดหน่อย จับยัดลงไปในเครื่องปั่นโรยกากเพรชสีชมพู ออกมาเป็น 15 เพลงจากอัลบั้มป็อปแดนซ์อลังการดาวล้านดวง

เพลงในอัลบั้มส่วนใหญ่มักจะไม่พูดถึงประเด็นความสัมพันธ์เหมือนศิลปินหญิงทั่วไป ก้ามักจะแสดงความสนใจส่วนตัวเรื่องแฟชั่น แฟนเพลง การเดินทาง หรือไม่ก็หลุดไปอวกาศไม่ก็เรื่องเซ็กซ์โจ่งครึมไปอย่างที่เห็น ตัวอย่างเช่น Sexxx Dreams ที่ถึงแม้จะไม่ได้เซ็กซี่เท่าที่ชื่อเพลงพยายามบ่งชี้ แต่ก็โดดเด้งด้วยเบสไลน์ตอนท้ายเพลงที่ทำให้นึกถึงงานเก่าของ Prince ได้ไม่ยาก หรือ Venus ที่ไม่ได้ฟังดูอวกาศหลุดโลกมากมาย แต่เป็นเพลงป็อปลงตัวในจังหวะกลางๆ ฟังง่าย เหมาะสมสำหรับการตัดเป็นซิงเกิ้ลอย่างยิ่ง //สำหรับผู้ที่เคยได้ยิน Aura เวอร์ชั่นก่อนสำเร็จมาแล้ว ต้องขอบอกว่า Aura เวอร์ชั่นอัลบั้มนั่นคือความผิดหวัง เพราะนางกลัว Zedd เด็ดกว่าหรือไรก็ไม่ทราบจึงตัดท่อนเทคโนตอนท้ายออกเกือบหมด แถมยังอัดเสียงใหม่ตัดเสียงป่วงๆ ตอนแรกออกเกลี้ยง แนะนำให้หาเวอร์ชั่นเก่ามาฟังจะดีกว่า ถ้าอยากได้อารมณ์บ้าๆ บวมๆ เหมือนได้ยัย Courtney Love ตอนเมายามาร้องให้ฟังพร้อม Spanish Guitar และซาวน์แบบ EDM แดนซ์กระจายสไตล์ Zedd


"I'm the rich bitch I'm the upper class!"
แรดที่สุดต้องยกให้ Donatella ที่แต่งไว้อวยเพื่อนสาวต่างวัยประจำห้องเสื้อ Versace สาธยายชีวิตสุด fabulous ชะนีไฮโซในท่อนฮุคติดหูเกินคำบรรยาย หลับตาเห็นตุ๊ดจำนวนมากกรีดกรายบนแคทวอล์คด้วยท่าขาไขว้บนรองเท้าส้นเข็มสูง 8 นิ้วของ Thierry Mugler // Do What You Want อาจฟังดูเหมือนเพลงที่อีหมีเขี่ยออกจากอัลบั้ม Butterfly ถ้าไม่ได้เสียงนุ่มๆ ของ R Kelly เข้ามาช่วยเพลงนี้อาจเสียศูนย์ไปไม่น้อย ท่อนที่ร้องว่า "If you let me go, I would fall apart" ทำให้นึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างกาก้าและนักวิจารณ์ประมาณว่าชั้นยอมให้เธอด่า (do what you want) ดีกว่าให้จะให้เธอจะทอดทิ้งชั้นไป // ส่วน Manicure ยังคงหนีไม่พ้นเรื่องผู้ชายและความงาม จังหวะตบหน้าตักเชียร์ลีดเดอร์แบบนี้ทำให้นึกถึง Hollaback Girl เวอร์ชั่นมีเท่าไหร่ใส่ไม่ยั้ง และ Swine เพลงเนื้อหาแรงๆ ที่บิ้วให้ตายก็ไม่ขึ้นเพราะภาคดนตรีเหมือนยังทำไม่เสร็จ

แม้ Gypsy จะตวงตามสูตร The Edge of Glory มาแบบช้อนต่อช้อน แต่ก็มีดีที่เนื้อหาที่ถอดออกมาจากชีวิตจริงได้อย่างกินใจ ว่าด้วยคนที่ชีวิตต้องเดินทางบ่อยเสียจนเหลือแต่ความอ้างว้าง เป็นหนึ่งในเทคนิคที่กาก้าใช้เรียกศรัทธาในฐานะนักดนตรีกลับมาได้สำเร็จทุกครั้งด้วยการนำเพลงป็อปแดนซ์มาถอดรูปเหลือเพียงเสียงเปล่าๆ กับเปียโน เพื่อโชว์ศักยภาพการร้องเพลง ฝีมือการแต่งเพลงและการเล่นเปียโนที่อวดโลกได้อย่างไม่อายใคร

ถึงแม้ว่า ARTPOP จะติดป้ายให้ตัวเองว่ามันคือ pop trash แต่ก็ไม่ได้ฟังง่ายย่อยง่ายเหมือน The Fame ในอัลบั้มแรก เพราะ ARTPOP มีความจงใจบางอย่างที่เห็นได้ชัดเจนว่ากาก้าต้องการผลักดันอัลบั้มไปในทิศทางที่ไม่เคยมีคนไปมาก่อน นั่นคือการดันให้เพลงมันขยะเสียจนทะลุออกจากกฎเกณฑ์กลายเป็นความล้ำในรูปแบบหนึ่งที่เธอน่าจะเรียกมันว่า ART ได้ด้วยซ้ำ ในแบบเดียวกับที Andy Warhol ทำกับผลงานของเขา ก็เพื่อที่จะแสดงความย้อนแย้งของรสนิยมและทำลายกฎเกณฑ์มาตรวัดเก่าๆ ที่ใช้ชี้ว่าสิ่งใดคืออาร์ต สิ่งใดไม่ใช่อาร์ต เพราะฉะนั้นเพื่อตอบคำถามว่า ARTPOP kills Pop Art หรือไม่ ก็ต้องตอบได้เลยว่า ไม่ เพราะมันคือรูปแบบหนึ่งของ pop art ที่คงไม่ต่างกับเป็ดยางสีเหลืองขนาดยักษ์ของ Florentijn Hofman ที่ลอยอยู่ในอ่าวฮ่องกงเมื่อต้นปี มันสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับคนดูที่ผ่านไปผ่านมาในลักษณะอาจจะดูฉาบฉวย แต่ถ้าอย่างน้อยมันมีศักยภาพพอที่ทำให้เรารู้สึกถึงมันได้ เราก็คงไม่กล้าบอกว่าสิ่งนั้นไม่ใช่ศิลปะหรอกจริงไหม

และด้วยคุณภาพของอัลบั้มแล้วเราอาจพูดไม่ได้เต็มปากว่าอีกสิบปีข้างหน้า Rolling Stones จะจัดให้เป็น 100 อัลบั้มแห่งทศวรรษ แต่สำหรับตัวกาก้าแล้วนี่คือผลงานที่ใช้เป็นหลักฐานว่าเธอไม่ได้อยู่ในขาลง แถมยังพุ่งทะยานขึ้นไปอีกด้วยซ้ำ สำหรับคนฟังอย่างเรา นี่คืออัลบั้มที่ฟังสนุกดีไม่น้อย เป็นผลงานขยะชิ้นโบว์แดงที่สามารถดึงผู้ชมมาเต็มสเตเดียมได้ในเวลาชั่วข้ามคืน

Friday, November 8, 2013


The Smith - How Soon Is Now?
สุขสันต์วันเสาร์ วันแห่งการอยู่เฉยๆ คนเดียวไม่ทำอะไรครับ...

Thursday, November 7, 2013

 

Will.i.am - Feeling Myself
เห็นชื่อ will.i.am พ่วงกับชื่อยัยเหมยในเพลงเดียวกัน กับหน้าปกสีส้มลอยเด่นแต่ไกล อย่าพึงเบะปากแล้วเบือนหน้าหนี นี่คือซิงเกิ้ลใหม่จากเฮีย will.i.am ในอัลบั้มเดิมที่เอาออกมาขายใหม่ Feeling Myself เพลงนี้มาแปลก กับฮิพฮอพผสมเรียบง่าย ท่อนฮุคติดหูหนึบฟังสนุกโดยเฉพาะตอนร้องตามทัน

Sunday, November 3, 2013



THIRTY SECOND TO MARS - CITY OF ANGELS

Los Angeles ในนาม City of Angels เมืองแห่งเหล่าทวยเทพ หรือเมืองคนโฉด ชื่อเสียง หนังฮอลลีวู้ด อาชญากรรม ความสับสนวุ่นวาย อะไรก็ตามแต่เป็นภาพจำที่ถูกผลิตซ้ำจนผูกพันกับผู้ที่ดูอยู่ผ่านจอแก้วทั่วโลก ผ่านมุมมองของศิลปินต่างๆ มากมายแม้จะไม่เคยได้ไปเหยียบเลยซักครั้ง

Thirty Second to Mars ตอบรับกับภาพจำตรงนี้และสำรวจความคิดของผู้คนที่ทั้งเกิด และแจ้งเกิด รวมถึงคนที่ยังรอวันแจ้งเกิดทีนี่ โดยการพาไปคุยกับบรรดาเซเลบและมนุษย์ปุถุชนมากมายตั้งแต่ แร็ปเปอร์ชื่อดัง (ที่ขึ้นชื่อเรื่องความหลงตัวเอง) ดาราเด็กดาวรุ่ง ดาราเด็กดาวร่วง หญิงสาวทิ้งลูกมาเป็นดารา คนไร้บ้านตามหาแม่ นักแสดงฮอลลีวู้ดหญิง-ชาย ศิลปินข้างถนน นักแสดงเลียนแบบไมเคิล แจ็คสัน มาริลีน มอนโร และอีกมากมาย ตัดสลับกับภาพถ่ายทางอากาศของเมืองที่เราเห็นจนคุ้นตา ที่ถ่ายอย่างปราณีต และบรรจงคัดสรรมาอย่างดี เพื่อบอกเล่าเรื่องราวชีวิต ความฝันและความผิดหวัง ที่เดินขวักไขว่สวนกันไปมาใน City of Lost Angels แห่งนี้

ถือว่าผลงานน่านับถืออย่างยิ่งสำหรับ Thirty Second to Mars ที่ยอมลดความสำคัญของเพลงลงไป แล้วเปลี่ยนเอ็มวีให้เป็นสารคดีสั้นๆ เพื่อเล่าให้ถึงสิ่งที่ใจความหลักที่เพลงต้องการจะสื่อจริงๆ 

"Dreams are what set us apart from being a brain and body"
...



Perfume - Britney Spears
เพลงที่สองจากอัลบั้ม Britney Jean หอกปรับเข้าสู่โหมดบัลลาดป็อปหวานๆ หนึ่งนาทีแรกเหมือนจะไปได้สวย จนมาตายตอนท่อนฮุค ลุ่มๆดอนๆ จนจบเพลง ใช้ความพยายามลุ้นเป็นพิเศษเพราะรอคอยฟังเพลงที่ "ดี" ของนางนี้มานานแล้ว




Thursday, October 31, 2013

Out of Nowhere #02 - Bad Girls (Verdine Version)


สำหรับช่วง "มันมาจากไหน" วันนี้ขอเสนอเพลงที่ชื่อโหลสุดๆ ว่า "Bad Girls" ของเจ้าหญิงคนใหม่แห่งวงการอินดี้-อาร์แอนด์บี Solange Knowles แทร็กสุดท้ายจากอีพีที่มีชื่อว่า TRUE ที่รับการกล่าวขวัญจากนักวิจารณ์ให้เป็นอีพีของศิลปินหญิงที่มีคุณภาพที่สุดของปี 2012 ถามแค่ชื่อเพลง Bad Girls ก็คงไม่มีใครหน้าไหนตอบได้ว่ากำลังพูดถึงเพลงของใคร มีทั้งแบดเกิรล์ดีของ Usher และแบดเกิรล์เหี้ยของ David Guetta และอื่นๆ อีกมากมาย แต่ถ้าเกิดใส่คำว่า Verdine Version เข้าไปละก็ รับรองว่า Youtube ของคุณกระหยิ่มยิ้มย่องทันที เพราะมันจะรู้ว่าคุณกำลังตามมาฟังเพลงสุด Out of Nowhere ที่เราแนะนำให้ฟังเพลงนี้ 


ว่าแต่ Verdine นี่คือใคร หรือตัวอะไรกันแน่?

เขาไม่ใช่ตัวอะไรที่ไหน แต่เขาคือ Verdine White มือกีตาร์แห่งวงตำนานอย่างหินเหล็กไฟ เอ้ย Earth, Wind, Fire ที่ได้รับเชิญมาเล่นเบสให้ในเพลงนี้นั่นเอง แต่ก่อนที่จะพูดถึงเขาคนนั้น เราขอแนะนำให้รู้จักกับโปรดิวเซอร์ และเจ้าของเสียงคีย์บอร์ดที่ลอยละล่องอยู่เบื้องหลังเสียงใสๆ ของโซลานจ์กันก่อน เขาคือ Dev Hynes หรือที่รู้จักกันในนาม Blood Orange และ Lightspeed Champion โปรดิวเซอร์สุดแนวที่รับความดีความชอบไปเต็มๆ เมื่อนักวิจารณ์พากันอวยให้อีพีนี้คือความสำเร็จหนึ่งในอาชีพการงานของเขา และปัจจุบันก็มีโปรดิวซ์งานให้กับรียูเนี่ยนของสามสาว MKS และร่วมทำเพลงให้กับ Sky Ferreira ข้างล่างนี้ด้วย ส่วนตัวเขาเองก็กำลังเดินหน้าตีตลาดอินดี้ด้วยซิงเกิ้ลเก๋สุดพลังชื่อว่า Chamakay

จาก Tumblr ของ Dev Hynes ได้เล่าไว้ถึงเบื้องหลังการอัดเสียงเพลงนี้ไว้ว่า

ต้ัองย้อนกลับไปเมื่อกลางเดือนตุลาคมปี 2010 ในขณะที่โซลานจ์และเดฟได้เก็บตัวหมักหมมกันอยู่ที่บ้านในฮอลลีวู้ด เดฟก็เลือกที่จะให้โซลานจ์เอาเพลงเก่าจากเดโมของ Blood Orange เพลงนี้ขึ้นมาร้อง จนพอเห็นว่าเข้าท่า งานใหญ่งอกก็ทันที เมื่อทั้งสองสามารถติด่อให้ Earth Wind Fire เข้ามาเล่นเบสให้กับเพลงนี้ได้สำเร็จ เดฟเล่าถึงตอนที่เขากับโซลานจ์นั่งหน้าเจื่อนๆ เหงือตกรอการมาถึงของ Verdine ด้วยความตื่นเต้น โซลานจ์ก็บอกว่า"เธอก็เป็นโปรดิวเซอร์นะ ยังไงก็ต้องกล้าสั่งให้เขาทำอะไรต่ออะไรได้" เมื่อ Verdine มาถึงและแล้วการอัดเพลงนี้ก็เริ่มขึ้น

เพลงเปิดด้วยจังหวะลอยๆ เหมือนตอน End Credit ของหนังนี่แหละ แบบเดียวกับที่มีในเวอร์ชั่นเดโมที่ตอนแรกมีความยาวตั้ง 12 นาที เสียงของโซลานจ์ต่างหากที่มีอิทธิพลทำให้เพลงนี้กลายเป็นเพลงใหม่ที่มีเอกลักษณ์ได้ โดยเฉพาะนาทีสุดท้ายของเพลงที่โซลานจ์แสดงความสามารถในการด้นสดได้อย่างลื่นไหล และไพเราะ ส่วนเรื่องเบสนะเหรอ บอกได้เลยว่า เมื่อ Verdine เข้ามา เขาก็แค่หยิบเบสมาเล่นอิมโพรไวส์ได้ทันที จนทั้งสองนางปลาบปลื้มและให้สามผ่านในเทคเดียว เพราะฉะนั้น เสียงเบสที่ได้ยินในเพลงนี้ ก็คือเสียงเบสจากเหตุการณ์ที่เล่าถึงเนี่ยแหละ

ผลสรุปก็เลยออกมาเป็น Bad Girls Verdine Version ที่เป็นเพลงเหงาๆ ใช้เปิดคลอกับการมองออกไปนอกหน้าต่างเครื่องบินในเย็นพระอาทิตย์ตก หรือนั่งฟังไปคนเดียวเพลินๆ จนลืมวันลืมเวลาได้เลย



You're Not The One - Sky Ferreira

กำลังเสพย์ติดอัลบั้ม Night Time, My Time อัลบั้มแรกที่ผ่านการหมักดองมาเกือบสองปีของ Sky Ferreira อย่างอมแงม ได้ฟังกันหรือยัง ไว้มีเวลาจะมาจัดรีวีวให้หนึ่งชุดเต็ม สำหรับวันนี้ขอเชิญรับชมเพลง You're Not The One สุดกรันจ์ของ Sky FIERCEreira ไปก่อนละกัน

Tuesday, October 29, 2013



Justin Timberlake - TKO

เอ็มวีมาแล้วสำหรับซิงเกิ้ลที่สองของอัลบั้มภาคต่อ 20/20 Experience แม้กระแสจะแผ่วมากแต่ก็ต้องบอกว่างานนี้รักหยอยต้องดูหนังหยอย เพราะเฮียแกจัดให้ 7 นาทีเต็ม กับเอ็มวีชะนีหัวรุนแรง (Femme Fatale) ไม่แพ้โพสต์ข้างล่าง เป็นเจ็ดนาทีสุดระทึกที่ใจจดใจจ่อดูด้วยความสนใจว่าหลังจากสาวนางนั้น TKO ด้วยกระทะตราหัวม้าลายแล้ว จะลากหยอยไปไหน โถ่ค่อยๆพูด ค่อยๆจาไม่ต้องลงไม้ลงมือกันก็ได้ 

TKO ลดสไตล์วินเทจออกไปเยอะ เปลี่ยนมาเป็นจังหวะกึ่งฮิปฮอปเหมือนใน Furesex/Lovesound ที่ได้รับอิทธิพลจากคู่หูโปรดิวเซอร์อย่าง Timberland มาอย่างเข้มข้น สำหรับยุคนี้ใครยังอยากฟังผลงานจากเขาก็ต้องรอติดตามจากหยอยนี่แหละ

ส่วนใครติดใจในความสวยของนางเอก ก็จะขอแจ้งว่าเธอคือ Riley Keough ลูกสาวของ Lisa Marie Presley หลานสาวแท้ๆ ของราชาร็อคแอนด์โรล Elvis Presley นั่นเอง จุดนี้ต้องยอมรับในความสวยของนางจริงๆ เผื่อใครยังไม่จุใจจึงจัด Itialian Vogue ให้ดูเพิ่มเติมตามลิงค์นี้

<click here for more Riley Keough>



Kove - Love For You

ยังไม่หมดสำหรับ UK Garage จัดให้อีกหนึ่งดอกจาก Kove ชื่อเพลง มีรักให้เทอว์ แอบไปดูเอ็มวีชีวิตชะนีฟันเหยินแต่จริงใจ โปะยาสลบผู้ชาย นึกว่าจะเอามาต้มกิน เปล่าหรอกนะ นางจิตใจดี แต่ก็อย่างว่าแหละ หน้าปลวกอย่างเรา ดีเท่าไหร่แล้วที่ผู้ชายมันไม่เตะคางให้ ก็ต้องใช้กำลังกันบ้างถึงจะเห็นความดี เข้าใจนะ 

Katy B - I Like You

มีใครเคยบอกไหมว่า Katy B นั้นเปรียบเหมือนเตาถ่าน ไม่ได้กระแสหลักแบบเตาแก๊ซ แม้ไฟจะติดช้า แต่ขอบอกว่าร้อนนาน แรงไม่เคยตก แถมดับง่ายซะที่ไหน เก็บมาให้ฟังอีกหนึ่งเพลงที่เขากันบอกตรงๆ เลยว่า I Like You A Little Bit ก็แบบชอบเธอนิดนึงอ่ะ


Disclosure - Apollo

แอบไปเจองานใหม่จากสองศรีพี่น้อง Disclosure เข้าให้ จนรีบเก็บมาให้ฟังกันแทบไม่ทัน ไม่ได้ฟังง่ายเหมือนในอัลบั้ม แต่ถ้าใครอยากจัด UK Garage หนักซักดอก ขออย่าได้พลาดแทร็คนี้

Sunday, October 27, 2013


Lady Gaga - Venus

ช่วงนี้ยานแม่หมกมุ่นกับดาวนี้เป็นพิเศษ ดีใจที่ได้เห็นยานแม่ได้ไปที่ชอบๆ ซักที ปล่อยมาแทบจะหมดอัลบั้มอยู่แล้ว Lady Gaga สำหรับเพลงนี้ก็ป็อปพอใช้ ไม่ได้อ่อนปวกเปียก นึกถึงการเปิดเพลงนี้เรียกพลังในวันชีวิตพังได้ดี ... Take me to your PENUS PENUS PENUS

Tuesday, October 22, 2013


Cut Copy - We Are Explorers

หลังจากไตเติ้ลแทร็กเอา Alex Skarsgard มาเดินโชว์ท่อนบนให้ใจหายใจคว่ำ แถมหนุ่ม Alex แห่ง True Blood ยังอวย Cut Copy อย่างนอกหน้านอกตาจนชะนีหยุดจิ้นไม่ได้ แต่แค่นั้นหรือจะสู้เพลงใหม่ที่ออกแนวซินธ์ป็อปหวานแหววซะขนาดนี้ ใครแซวอัลบั้มใหม่เจาะตลาดเก้งจะโดนตี!

Lady Gaga - Do What You Want

ใกล้ได้ฟัง ARTPOP กันเข้าไปทุกวัน โปรโมทก็หนักหน่วงไม่แพ้กัน เพลงใหม่ก้าที่นางบอกกระแสดีจนเปลี่ยนใจเรียกมันว่าซิงเกิ้ลสองเลยดีกว่า อีกหนึ่งบทพิสูจน์ว่านังบ้านี้ร้องเพลงได้ทุกแนวจริงๆ แต่สำหรับอาร์แอนด์บีป็อปแบบนี้ บอกเลยว่า R Kelly เอาไปกินเต็มๆ

Sunday, October 20, 2013


M.I.A - Y.A.L.A

คนอื่นเขาโยโล่กัน นี่มา ยาล่า มึนกันไปตามๆ กันว่าแปลว่าอะไร แต่ถ้าใครฟังอัลบั้มก่อนๆ คงเข้าใจความหลุดรั่วของ M.I.A ได้อย่างดี ไม่ว่าจะทั้งซาวน์แบบ Glitch ราวกับเครื่องปั้มแผ่นเกิดเสียชีวิตระหว่างปฎิบัติหน้าที่ ฟังได้บ้างไม่ได้บ้าง หรืออาร์ตเวิร์คสไตล์อย่างที่เห็นนี้ ถ้าชอบก็รักเลยใครไม่ชอบก็อย่าขว้างปาสิ่งของใส่นางนะ ช่วงนี้ได้ยินข่าวเรื่องอัลบั้ม Matangi หลุดมาบ้างให้พอชื้นใจ เพราะรายนี้ส่งมาซิงเกิ้ลโดดมาจะได้้สองปีแล้ว เรียกว่าติดตามผลงานกันแบบกระปิบกระปรอยให้คนคอยลุุ้นไป ตั้งแต่ Bad Girls ที่โด่งดังจนได้เอ็มวีแห่งปีของแแกรมมี่ไป Bring The Noize และ Come Walk With Me ปีนี้ ที่ฟังแล้วก็เข้าใจว่านางคงเบื่อความซ้ำซากของวงการดนตรีนี้เหลือทน

ส่วนเรื่องแฟชั่นก็โดดเด่นกว่าใครๆ แม้ว่าบรรดาแร็ปเปอร์หญิงทั้งหลายจะบรรจงแต่งองค์ทรงเครื่องมาเรียกคะแนนกันเต็มที่ แต่มองปราดเดียวก็รู้ว่าสำหรับ M.I.A มันมีของบางอย่างที่เป็นตัวของตัวเองมากๆ ซ่อนอยู่ ด้วยลุ๊คแบบลายกราฟิกฉูดฉาดแบบนี้ จึงไปเตะตาแบรนด์ญี่ปุ่นสุดล้ำอย่าง Kenzo จนได้ทำ mixtape มาประกอบรันเวย์ประจำ Fall/Winter 2013/2014 ไปเมื่อต้นกลางปีนี้


ล่าสุดก็ได้เป็นกระบอกเสียงคนสำคัญให้กับเวอร์ซาเช่อีกคนแล้ว

คิดแล้วก็ช่างสมน้ำสมเนื้อกันดี เพราะต้นยุค 90s ซ้อ Donatella ก็หน้าดำคร่ำเครียดอยู่ในสตูดิโอขุดคุ้ยหาไอเดียใหม่ๆ มาดันแบรนด์เวอร์ซาเช่ที่กำลังจะเจ๊งของพี่ชาย ออกมาได้เป็นลายกราฟฟิกซิกเนเจอร์ของเวอร์ซาเช่ยุค 90s กลายเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ต้องนึกถึงเมื่อพูดถึงวงการแฟชั่นในทศวรรษนั้น

ในขณะเดียวกัน ณ ตลาดพาหุรัดแห่งอีสลอนดอน เด็กหญิงมายา อรุณพระเกษม (Maya Arulpragasm) ก็เดินเตร็ดเตร่กับโซนี่วอล์คแมนที่เปิดเสียงสุดด้วยอัลบั้มแร็พกรอกหูอยู่ เดินขยับปากร้องตามพลางเลือกดูเสื้อผ้า Versace ปลอมตามแผงที่เกลื่อนอยุ่ นางคงหยิบขึ้นมาดูด้วยสนใจ แล้ววางลงเมื่อถูกสิ่งอื่นล่อตาล่อใจไปอีก

20 ปีต่อมา ใครจะไปรู้ว่านางสาวมายา อรุณพระเกษมนี้กลายมาเป็นศิลปินที่ใช้ bootlegging หรือการปลอมแปลงสินค้ามาเป็นแรงบันดาลใจใหญ่ในการผลิตผลงาน แถมยังเป็นผลงานอัลบั้มที่ส่งผลกระทบต่อการเมืองและความคิดอีกด้วย จนเชื่อหรือไม่ว่า ไม่นานมานี้ เวอร์ซาเช่ หันมาสนใจทำคอลเลคชั่นใหม่ที่ชื่อว่า Versus ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากหนุ่มสาว ที่ใส่เสื้อผ้าเวอร์ซาเช่และลายกราฟฟิกปลอมเหล่านั้นตามท้องถนน โดยไม่ลืมที่จะให้ M.I.A มาเป็นต้นแรงคนสำคัญ นี่แหละหนา โลกศิลปะ และความคิดสร้างสรรค์ที่เดินหน้าต่อไป เพราะคนเราก็ข้ามพรมแดนกันไปมาแบบนี้ มันถึงได้ไม่มีวันสิ้นสุดยังไงล่ะ 


About Me

My photo
my name is mish my favorite color is turquoise when i grow up I want to be an architect