นั่งดูหน้าปกอัลบั้มเท่าไหร่ก็ยังไม่รู้สึกว่าอัลบั้ม In The Zone ของบริทนีย์จะมีอายุได้ 10 ปีแล้ว เพราะผลงานเพลงอัลบั้มที่ 4 ของ Britney Spears ชิ้นนี้คืออัลบั้มโปรดของเจ้าของบล็อก เป็นเหมือนอัลบั้มสามัญประจำไอพอดที่หยิบขึ้นฟังบ่อยจนไม่รู้สึกว่ามันเก่าได้เลย หน้าปกอัลบั้มสีฟ้าเข้มกับใบหน้า ดวงตา ริมฝีปาก และเส้นผมปลิวสยาย ทำให้เป็นนี่เป็นปกอัลบั้มของบริทนีย์ที่สวยที่สุดโดยแทบจะไม่ต้องบรรยายอะไรมากมาย
ในวันที่ชื่อของ Britney Spears พุ่งทะยานขึ้นสู่ทุกคลื่นวิทยุเหมือนพลุที่ระเบิดโชติ์ช่วง ลงมาสู่ผู้คนทุกหัวระแหง ตั้งแต่บรรดาเด็กๆ วัยรุ่นที่คลั่งไคล้ใฝ่ฝันจะสะบัดผมสีบลอนด์สุดเซ็กซี่ได้อย่างเธอ ไม่แพ้กับหน้าท้องแบนราบที่สร้างกระแสเสื้อเอวลอย กางเกงเอวต่ำไปทั่ว ในขณะที่วงสนทนาของนักวิจารณ์ก็พูดถึงอัลบั้มหน้าปกสีฟ้านี้กันอย่างไม่ขาดสาย สำหรับใครที่ไม่เคยฟัง In The Zone ก็ต้องบอกว่าอัลบั้มมีมากกว่าการจูบกับมาดอนน่ากลางเวที VMAs หรือซิงเกิ้ลดังอย่าง Me Against The Music หรือเพลงฮิตสุดแรดอย่าง Toxic แต่มันยังเป็นอัลบั้มที่ไปขุดหาเครื่องดนตรีแปลกใหม่สารพัดจากหลายแหล่งทั่วโลกมาผสานรวมกันในดนตรีป็อปได้โดยไม่ทำให้รู้สึกแปลก อีกทั้งยังมีอำนาจของเพศหญิงวัยแรกรุ่นที่ยั่วยวลเข้มข้นอยู่ในทุกอณู
สมัยก่อนตอนเราเป็นเด็ก In The Zone หมายถึง Me Against The Music และเพลงเต้นๆ จังหวะสนุกๆ ในอัลบั้มอย่าง I Got That Boom Boom เท่านั้น ก็แค่เด็ก ม.2 คนหนึ่งจะไปประสาอะไรกับความหมายที่เหลือของอัลบั้ม ก็เลยกดข้ามแทร็คลิ้นเปลี้ย กระซิบกระซาบ อย่าง Showdown หรือ Breath On Me ไปไม่ได้ติดใจอะไรมากมาย ก็มันไม่เห็นจะสนุกน่าเต้นตรงไหนเลยนี่ แต่โชคดีที่เมื่อโตขึ้นเราก็ไม่ได้ทิ้งอัลบั้มนี้ไปเสียทีเดียว และปล่อยให้มันโตขึ้นไปกับเราตามกาลเวลา เมื่อกลับมาฟังใหม่แต่ละครั้ง เพลงเหล่านี้ก็เข้มข้นและละเอียดนุ่มนวลขึ้นอย่างน่าประหลาด
แทร็คแปลกๆ อย่าง Early Morning ได้โปรดิวเซอร์และศิลปินเดี่ยวชื่อดังอย่าง Moby มาโปรดิวซ์และเขียนเพลงให้ ออกมาเป็น Trip-Hop อ่อนๆ สไตล์คลอเคลียนัวเนีย และเชื่องช้าเหมือนฟัง trip-hop แท้ๆ แบบ Portishead ยิ่งโตก็ยิ่งไม่อยากเชื่อว่าสิ่งนี้จะอยู่ในอัลบั้มเพลงป็อปของศิลปินหญิงอันดับหหนึ่งของชาร์ทได้ ในขณะที่ Showdown เป็นอิเล็กโทรป็อป หนักเบส ซุกซนตื่นเต้น เรียบเรียงเนื้อร้องเป็นคำพูดเหมือนสาวๆ หัวเราะคิกคักกันในหนังสุดเซ็กซี่ของ Atom Egoyan
สำหรับเนื้อเพลงใน Touch of My Hand นั้นขอบอกว่ายิ่งตั้งใจฟังยิ่งดี อย่ามัวแต่เคลิบเคลิ้มเครื่องดนตรีจีนและปล่อยให้ถ้อยคำโวหารที่เรียบเรียงมาอย่างตั้งใจมาหลอกเราได้ เพราะฟังไปฟังมาเพลงนี้ทั้งเพลงมันคือ ode to masturbation เลยนี่หว่า! น่าแปลกที่เนื้อหาแรงขนาดนี้แต่ทำไมยังดูดีกว่า work bitch ตั้งเยอะก็ไม่รู้เนอะ
ประเด็นเรื่องแตกเนื้อสาวไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับ Britney Spears เราเคยฟังกันมาแล้วในหลายๆ ซิงเกิ้ลจากอัลบั้มก่อนหน้า และอีกมากมายจากนักร้องหญิงคนอื่น แต่ความน่าสนใจของอัลบั้มนี้คือมันยืนอยู่ระหว่างความเป็นเด็กสาวรักสนุก ที่พยายามปิดบังความเป็นเด็กที่แท้จริงของตัวเองไว้ กับเด็กสาวอีกคนทีโตเป็นผู้ใหญ่แต่ก็ไม่แก่เกินที่จะพูดเรื่องเพศได้ด้วยความสนใจใคร่รู้ ต่างกับอัลบั้มหลังๆ ที่พูดถึงเรื่องเซ็กซ์ได้อย่างชินชาราวกับมันเป็นหน้าที่ของป็อปสตาร์ไปแล้ว
Brave New Girl คือตัวอย่างของสาวคนแรก ที่ก้าวเข้าสู่ชีวิตวัยรุ่นด้วยนัยน์ตาเบิกกว้าง ออกสนุกสนานกับโลกยามค่ำคืนเป็นครั้งแรก แฝง irony เล็กๆ ไม่ต่างกับประโยค Brave New World ที่ตัวละครของเชคสเปียร์เคยพูดไว้ใน The Tempest แม้ตัวเพลงกลับมาเป็นบับเบิ้ลกัมป็อปแบบตอนอัลบั้มแรกแต่หอกก็แอบแฝงนัยยะสำคัญโดยการเรียกเด็กสาวคนนั้นด้วยบุคคลที่สาม ให้รู้ว่า Brave New Girl นี่ไม่ใช่ตัวเธอหรอกนะ... ใครจะไปรู้อันที่จริงแล้วเธออาจกำลังแสดงความเป็นพี่สาวให้ตัวเธอเองก็ได้...
ผู้หญิงคนที่สองที่เป็นผู้ใหญ่เต็มตัว คือคนที่กำลังเสียใจกับความสัมพันธ์ของตัวและกำลังพูดถึงความรักของตัวเองในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ใน Shadow ที่มาในบัลลาดครบเครื่อง แม้จะยังอ่อนเรื่องการร้องไปหน่อย แต่ก็ยังถือว่าชนะในเชิงรูปแบบและเนื้อเพลงเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ห่างเหินของคนที่ครั้งหนึ่งเคยใส่ใจกัน Everytime แสดงให้เห็นถึงความเปราะบางของผู้หญิงคนเดิมที่กลับไปเป็นเด็กน้อย รอคอยความรักของคนของเธออีกครั้ง ไม่ว่าจะยังพอมีความหวังอยู่หรือไม่ก็ตาม
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ศิลปินทุกคนจะมีสิ่งที่เรียกว่า Masterpiece เป็นของตัวเอง และ "เวลา" นี่แหละคือสิ่งที่จะบอกว่าสิ่งไหนใช่ สิ่งไหนไม่ใช่ผลงานที่จะให้คำจำกัดความตัวศิลปินคนนั้นต่อไปในอนาคต In The Zone มีทั้งความสนุกสนานแบบเพลงป็อปในยุคนั้นและความเซ็กซี่ที่เป็นไปอย่างธรรมชาติตามตัวศิลปิน โดยที่ไม่ต้องอาศัยการออกแบบใดๆ ทั้งสิ้น จนทำให้เมื่อเวลาผ่านไป 10 ปี In The Zone กลายเป็นอัลบั้มที่ครบเครื่อง ละเอียด นุ่มลึก และทรงคุณค่าให้นำกลับมาฟังใหม่ได้จนถึงปัจจุบัน
No comments:
Post a Comment