Friday, September 28, 2012

Die Young & Diamonds



หลังจากที่เคยปรามาสไว้ครั้งก่อนเกี่ยวกับงานใหม่ของ Kesha ว่าจะไปได้ซักกี่น้ำ ได้ข่าวว่าเธอไปล่องทะเลเดินทางรอบโลกหาแรงบันดาลใจกันมายกใหญ่ แถมได้ร่วมงานกับศิลปินร็อคแถวหน้าอย่าง The Flaming Lips ด้วย ตอนนี้ถึงเวลาได้พิสูจน์ตนเองให้โลกได้รู้ซักที กับ Die Young ซิงเกิ้ลนำตัวใหม่ล่าสุดจากอัลบั้ม Warrior ที่เตรียมตัวพร้อมวางแผงพฤศจิกายนนี้

เปิดขึ้นมาเสียงแรกที่ได้ยินคือ Smells Like Teen Spirit หรืออะไรบางอย่างที่คับคล้ายคับคลาไม่ชัวร์ว่าตั้งใจรึเปล่า เพราะถ้าตั้งใจจะถือว่าเป็นการหมิ่นประมาท Nirvana อย่างร้ายกาจ เพราะสิ่งที่พ่วงกับเพลงนี้คือเสียงแพะของยัยเคชช่า ที่ไม่ได้พัฒนาก้าวหน้าไปจาก Tick Tock ซักเท่าไหร่ ทำหน้ามึนฟังไป ท่อนฮุคก็ฟังติดหูดีไม่หยอก แต่ติดเนื้อร้องสุดซ้ำซากเกี่ยวกับการใช้ชีวิตให้สุดขีด เป็นอะไรกันวัยรุ่นสมัยนี้อยากจะรีบลาโลกไปไหน เข้าใจว่าเธออยากจะเป็นตัวแทน Wild Child ประเภทชั้นไม่สนใจโลก ชั้นสุขนิยมขั้นสุด แต่พลาดท่าเธอออกเพลงนี้ช้ากว่า One Direction ไปหน่อยนึงนะ

...เอ๊ะ บ่นไปบ่นมาทำไมฮำเพลงนี้ไม่หยุดซะงั้นล่ะ ?! 



เมื่อไหร่ก็ตามที่เราเริ่มรู้สึกว่ารีฮานน่าควรจะพักบ้าง อะไรบ้าง เธอจะปล่อยซิงเกิ้ลใหม่ จากอัลบั้มใหม่ให้ฟังทันที และแทบจะเป็นช่วงเดียวกันของปีเสมอ และนี่คืออีกหนึ่งความพยายามของรีฮานน่าที่สรรหาก้าวต่อไปให้ตนเอง โดยการผละจากเพลงเต้นไม่ลืมหูลืมตาไปให้ความสำคัญกับความหมายลึกซึ้งจับใจ โดยยกหน้าที่ให้นักร้องนักแต่งเพลงเนื้อหอมของวงการในขณะนี้อย่าง Sia Furler มาแต่งทั้งเนื้อร้องทั้งทำนองให้ ผลที่ออกมาคือ จอดสนิทครับ... ที่ว่าไปไม่รอดนี่คือเธอถูกรัศมีสาวเซียกลบอย่างเป็นทางการ เพราะคนฟังแทบฟังไม่ออกว่านี่คือเสียงรีฮานน่า ทั้งดนตรีทั้งเทคนิกการร้องเหมือนหลุดมาจากอัลบั้ม We Are Born ของเซียแท้ๆ เพลงออกมาเป็น mid-tempo เนิบนาบ กับความหมายเชิงบวกเรียกกำลังใจ ซึ่งเป็นสิ่งใหม่ที่ห่านยังไม่เคยทำเป็นซิงเกิ้ลมาก่อน ซึ่งนั่นเป็นเรื่องดี หากไม่ติดที่ว่าเธอเป็นนักร้องที่มีเอกลักษณ์ชัดเจนอยู่แล้วโดยที่ไม่ต้องพยายามไปเป็นเหมือนคนอื่น

งานนี้จะหัวจะก้อยต้องรอดูอัลบั้มเต็มกัน ว่าจะมีหวังน้ำบ่อหน้ากับซิงเกิ้ลต่อไป หรือเจอกันใหม่กันยาปีหน้านะจ๊ะ เซีย เอ๊ย ห่าน!



บอกตามตรงว่าไม่มีอะไรจะพูดมากเกี่ยวกับซิงเกิ้ลนี้ของ No Doubt นอกจากความสำเร็จในการสร้างความร่วมสมัยจากการร่วมงานกับ Major Lazer เข้ามาผนวกกับสไตล์สกาป็อปแบบดั้งเดิม และเสียงร้องของเกวน ที่เป็นลายเซ็นสำคัญของวง -- ซึ่งนั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือฟัง No Doubt มาตั้งแต่อายุ 11 ตอนนี้ผ่านมาสิบกกว่าปี เหตุใดเจ๊เกวน สเตฟานี่ ถึงดูเด็กลง ??? ผู้หญิงคนนี้กินอะไรเป็นอาหารถึงได้สวยเอาสวยเอา แถมยังดูสมวัยไม่ฝืนธรรมชาติอีกต่างหาก เป็นเคล็ดลับอะไรของสไตลิสก็มิทราบ รู้แต่ว่ามันคือเสน่ห์เฉพาะตัวบางอย่าง ที่มีอิทธิพลทำให้ เอ็มวีธรรมด๊าธรรมดา ที่ไม่มีอะไรมากกว่าปล่อยสมาชิกวงมาโดดเป็นลิงเป็นค่างหน้ากล้อง ออกมาเลิศเลอเหมาะแก่การ วนดูซ้ำหลายๆ ครั้งแบบไร้สติยั้งคิดได้เช่นนี้ -- รอดูลุคผมบลอนด์ คิ้วโล้น แคทอายแบบนี้ในคลิปสอนแต่งหน้าต่างๆ ได้เลย มีให้เลือกเกลื่อนยูทูปแน่นอน

Wednesday, September 19, 2012

Fruity Review #4


Rita Ora
Ora
6/10

ท่ามกลางสภาวะนักร้องหญิงล้นตลาด รบราฆ่าฟันกันอยู่ทุกวันนี้ ที่ไปไม่รอดก็เห็นตายเกลื่อนเลือนหายไปจากคลื่นวิทยุก็ใช่น้อย จะมีซักกี่คนที่ได้สิทธิ์ถือไพ่เหนือกว่าได้ทัดเทียมกับนางที่จะพูดถึงวันนี้ได้ เพราะ Rita Ora  คือสาวหน้าเข้มชาวอังกฤษ วัยเพียง 22 ปี เชื้อสายอัลเบเนียที่ต้องสืบสาแหรกไปไกลถึงโคโซโวนู้น ที่ว่าได้เปรียบนั้นก็คงหนีไม่พ้นสัญญาพันล้านของค่าย RocNation ที่ส่งให้เธอกลายเป็นน้องสาวสุดที่รัก และไพ่ไม้ตายใบสุดท้าย Jay-Z ที่ลงทุนกระโหมโปรโมทป้อนงานอย่างไม่หยุดหย่อน แถมแท็กมือกับ VEVO ช่วยกันปั่นยอดวิวใน Youtube กันอย่างขะมักเขม้น จะไม่ให้ขึ้นอันดับหนึ่ง UK Single Chart สามเพลงรวดยังไงไหว แถมอัลบั้มเดบิวต์นามว่า Ora ที่ออกมาเมื่อเดือนที่แล้ว ยังได้ดีเจและนักแต่งเพลงมือฉมังมาร่วมสังฆกรรมกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ไม่ว่าจะเป็น Chase and Status, Stargate, Diplo, will.i.am, Drake, Sia Furler,  Kanye West และอื่นๆอีกมากมายเกินจะร่ายให้ศิลปินหญิงค่ายอื่นต้องตาร้อนผ่าว เรียกว่าเครดิตยาวเป็นหางว่าวพอๆกับอัลบั้มของศิลปินใหญ่ๆเลยทีเดียว นี่แหละหนาที่เค้าว่าเลือกลูกพี่ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง

แต่อนิจจา เมื่อชื่อเสียงย่อมมากับกระแสวิพากษ์วิจารณ์เป็นเงาตามตัว เมื่อเธอมักจะถูกค่อนแคะว่าเป็นรีฮานน่าตัวสำรองบ้าง รีฮานน่าเวอร์ชั่นบริติชบ้าง ถูกเทียบกับพันธมิตรยักษ์ใหญ่ของเจย์ซีแบบนี้ก็ต้องหงุดหงิดเป็นธรรมดา คำก็รีฮานน่า สองคำก็รีฮานน่า ก็แหงซิหล่อนแหงนขึ้นไปดูหน้าปกอัลบั้มให้ดี แล้วเทียบกับ Talk That Talk ว่ามันเหมือนกันขนาดไหน -- ต้องยอมรับว่าวงการเพลงป็อปโดยเฉพาะนักร้องหญิง เรื่องรูปลักษณ์นั้นสำคัญ จะขายได้ไม่ได้บางทีก็ต้องดูกันตรงนี้ อย่างแม่ริต้านี่ถึงแม้เสียงร้องออกจะประเสริฐเลิศล้ำ แต่ก็ต้องประสบปัญหาใหญ่เกี่ยวกับอัตลักษณ์ที่ไม่ใช่แค่เสื้อผ้าหน้าผม แต่ในเนื้อหาดนตรีในอัลบั้มที่ต้องงมกันยกใหญ่ เพราะดูหนูไม่รู้จะไปทางไหนซักทาง

Ora เปิดตัวด้วย Facemelt แทร็คอินโทรหวือหวาเดาไม่ยากว่าเป็นผลงานของนาย Diplo เป็น 1.30 นาทีที่อัดแน่นไปด้วยความดิบ กร่าง และสร้างความเข้าใจผิดให้กับแทร็คอื่นๆที่ตามหลัง Roc The Life ป็อปร็อคฟังง่ายกับท่อนฮุค "ไล ไล ไล" ฟังดูติดหู แต่พอหนักข้อเข้าก็เริ่มอิ่มเอียนชวนอ้วกอยู่ไม่น้อย ต่อด้วย How We Do (Party) เพลงปาร์ตี้ของสาววัยละอ่อนก่อนเข้าผับ น่ารักน่าเอ็นดูด้วยท่อนฮุคที่ถูกออกแบบมาให้แหกปากร้องพร้อมกันหลายๆคนได้สบาย เดินตามรอยเท้า Last Friday Night ไปติดๆ R.I.P ซิงเกิ้ลเปิดตัวในอเมริกา ที่จับเอากีตาร์ไฟฟ้ามาชนกับจังหวะกึ่ง Dubstep สไตล์ Chase and Status ออกมาได้หน่วง เหนื่อย ไม่ไปไหนซักที แต่ได้คะแนนดีตรงที่่มีเนื้อร้องเท่ๆ จึงรอดตัวไปอย่างหวุดหวิด

แต่ก็ใช่ว่าจะลุ่มๆ ดอนๆ เสมอไป บางเพลงที่ชนะใสๆ ก็มีมาให้เห็นเช่น Radioactivity จากปลายปากกาของสาว Sia Furler ที่เปิดด้วยอินโทรแว่วเสียง Jennifer Hudson มาแต่ไกล ปูพื้นด้วยอิเล็คโทรป็อปที่เหลือช่องไว้ให้เสียงร้องเพราะๆ ของริต้าอย่างพอดี Hot Right Now งาน Drum & Bass มันส์ๆจาก DJ Fresh ที่ได้สาวริต้ามาร้องให้จึงได้ผลบุญมาใส่ไว้ในอัลบั้ม ขอแนะนำว่าอย่าเปิดฟังขณะขับรถเพราะอาจมันส์จัดเหยียบเต็มคันเร่งจมไม่รู้ตัว

สำหรับอัลบั้มนี้ขอให้ 6 เต็ม 10 เพราะคิดว่ายังมีปัญหาเกี่ยวกับความเป็นตัวของตัวเองอย่างที่บอกอยู่ไม่น้อย คือไม่รู้ว่าจะอธิบายอัลบั้มนี้อย่างไรโดยที่ไม่ต้องยกงานของคนอื่นมาเทียบ Ora ฟังดูคล้ายกับรีฮานน่าเวอร์ชั่นไม่ดัดจริต ไม่ติดเรท เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย เข้าถึงง่ายแม้หลายเพลงดู playsafe ไปหน่อย แต่ก็ไม่ถึงขั้นต้องตกอับเพราะยังมีเสียงแหบกร้าน และมาดแมนแบบผู้ชายนิดๆ แต่ก็ดูน่ารักน่าชัง ผสมการเทคนิก add lip ที่ลื่นหูไม่แพ้ใคร ไม่เป็นไรเพราะยังคงต้องอาศัยการโตขึ้นในอัลบั้มต่อไปได้เสมอ ก็ได้แต่หวังว่าจะไม่โดนเจย์ซีเขี่ยทิ้งเหมือนพี่ฮิวโก้ซะก่อนละนะ

Love This, Try These: Jessie J, Cher Lloyd, Nicole Scherzinger, Chrisette Michelle

Monday, August 13, 2012

LONDON OLYMPICS 2012 CLOSING CEREMONY !!


พยายามจะทำตัวให้รู้สึกเศร้าสลดกับการจากลาและความประทับใจของมหกรรมกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติอย่าง London Olympic 2012 ที่เพิ่งเสร็จสิ้นไปเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่แล้ว แต่ก็ต้องขอเลิกล้มความพยายามคาดเค้นความปิติและบอกกันตรงๆเลยดีกว่าว่าไม่ได้อินอะไรกับกีฬาและดราม่าอะไรกับเขานัก สิ่งเดียวที่ทำให้ใครหลายๆต้องนั่งเกาะขอบจอดูแบบลุกไม่ขึ้นนั้นก็คือโชว์อลังการตระการตาของแต่ละเมืองในแต่ละปีว่าจะออกมาเป็นอย่างไรมากกว่า และสำหรับลอนดอนปีนี้ก็หมดเงินไปกว่าสี่พันล้านปอนด์ไปกับเฉพาะพิธีเปิดและปิดเท่านั้น งานใหญ่นี้คนดูเป็นพันล้านทั่วโลก ก็ได้ทั้งดอกไม้และก้อนหิน แต่คำวิจารณ์ส่วนใหญ่จากสื่อต่างชาติต่างพากันสรรเสริญความเป็นเลิศทางมนุษย์นิยมของเมืองลอนดอนแห่งนี้ ในขณะที่สื่ออังกฤษเองกลับบ่นเบื่อเรื่อง pop trash และ celebrity ล้นงาน ก็นะ ประเพณีนิยมตามธรรมเนียมผู้ดีเก่ากันไป

ก่อนเราจะเข้าคอนเซปต์บล็อกเพลงพูดถึงดนตรีและโชว์ต่างๆในงานนี้ โดยเฉพาะ Spice Girls ซึ่งผมแทบจะอดรนทนที่จะพูดถึงไม่ไหว ขอพูดเรื่องเวทีซึ่งเป็นอีกหนึ่งอย่างที่เก๋ไก๋น่าสนใจอยู่ทีเดียว สำหรับพิธีปิดนี้มีทั้งพิธีรีตองสำคัญมากมาย ที่กำหนดไว้ในคำสั่งของ IOC ไม่ว่าจะเป็นพิธีรับเหรียญมาราธอน หรือการกล่าวปิดงานโอวาทอะไรต่อมิอะไร จะให้มาสร้างหอสูงสามสิบเมตร เปลี่ยนพื้นหญ้าเป็นคอนกรีต เหมือนที่ Danny Boyle ทำตอนเปิดก็คงจะลำบาก งานนี้ Kim Gavin ทำเก๋ด้วยการออกแบบเวทีถาวรเป็นรูปธงอังกฤษที่มองเห็นได้ไกลจากระยะเฮลิคอปเตอร์ สร้างถนนวนรอบเตรียมพร้อมออกศึกให้ศิลปิน ดารา นางแบบ ออกมาเหาะเหินเดินอากาศได้สะดวก ส่วนพื้นด้านล่างที่เป็นลายธงชาติอังกฤษขนาดยักษ์ผลงานของ Damien Hirst ถือว่าเป็นผลงานที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา ต่อมาพื้นธงชาติที่ว่าก็กลายมาเป็นที่ชมคอนเสิร์ตแบบ ring-side สำหรับนักกีฬาได้อย่างแนบเนียน คราวนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ถ้ามีเวทีอัจฉริยะแบบนี้

Emily Sande
หลังจากเปิดตัวด้วยเมืองจำลองด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ และเอา London Eye มาตีเกราะเคาะเพอร์คัชชั่นแบบงงๆ แล้ว ก็ถึงตาของสาว Emily Sande เจ้าของอันดับหนึ่ง UK Chart ที่ป่านนี้คงน้อยใจแย่เพราะหลายคนติงว่าใยจึงไม่ใช่ Adele ล่ะนี่? อย่างไรก็ตาม เธอออกมาร้องเพลงที่คัดมาอย่างดีจากอัลบั้ม Our Version of Heavens ชื่อว่า Read All About It ที่เรียกน้ำตาของนักกีฬาที่ผ่านประสบการณ์เหนื่อยยากสุดประทับใจได้อย่างไม่มีที่ติ

Madness/Pet Shop Boys/One Direction
เมื่อเพลงชาติอังกฤษจบลงก็ถึงเวลา Street Party กับแก๊งค์กีฬาสีสุดน่ารัก รถราออกมาวิ่งว่อนสนามมิได้หยุดหย่อน และสามกลุ่มศิลปินสามรุ่น ที่หนึ่งในนั้นคือ Madness วงที่อยู่คู่อังกฤษมาไม่แพ้เพลงชาติ God Save the Queen เลยทีเดียว และ Pet Shop Boys เป็นตัวแทนวัยทำงานมากับเพลง West End Girls ซินธ์ป็อปรุ่นบุกเบิกใครไม่เคยได้ยินขอให้ฟังซะ และที่ขาดไม่ได้คือคู่ใจวัยติ่งอย่าง 1D ที่พกพาความน่ารักน่าชังมาอย่างเต็มเปี่ยม และ ... และ... และก็แค่นั้น  คือไม่ได้มีอะไรน่าสนใจเลยจริงๆ

"Imagine" และ George Michael
ต่อมาหลังจากการปรากฎตัวของคุณปู่ Ray Davies แห่ง The Kinks เสียงดีไม่มีแก่ลงเลย และกายกรรมเปียงยางก็อตทาเล้น และอีกหลายต่อหลายทรีบิวต์ให้แก่วงสี่เต่าทองเดอะบีทเทิ้ล ก็มาถึงอีกหนึ่งไฮไลท์ของงานที่หลายคนไม่ได้คาดคิดว่าจะได้ดู นั่นคือ Footage ส่วนตัวที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อนของ John Lennon ร้องเพลงสันติภาพสุดคลาสสิกอย่าง Imagine ที่ฉายขึ้นจอขนาดยักษ์ เคียงคู่ไปกับวงประสานเสียงเด็กออทิสติก พร้อมกับต่อตัวต่อเป็นหน้าเลนนอนราวกับศาสดาแห่งสันติภาพมาปรากฎให้เห็นเบื้องหน้า เรียกว่าตีโจทย์แตกชนะไปเลย ต่อด้วย George Michael ที่โชว์เก๋าด้วยการแสดงด้วยเวทีเปล่าไม่มีลูกเล่นใดเลย คือออกมาร้องเพลงฮิต Freedom แบบหนึ่งต่อแปดหมื่น คล้ายจะสื่อว่า มีสันติภาพแล้วต้องมีเสรีภาพด้วยนะ

เรือผีของ Annie Lennox
โชว์เริ่มสนุกขึ้นเรื่อยๆ เมื่อสนามทั้งสนามถูกย้อมให้เป็นสีแดงสด เหล่าผีพรายออกร่ายรำ เสียงสวดระงม ทำเอาเด็กๆทั่วโลกต้องรีบหนีเข้าตู้เสื้อผ้า และซากเรือผีก็พา Annie Lennox (ที่ดังมากช่วงกลางยุค 90s) มาปรากฎต่อหน้าสาธารณะชนอีกครั้งในวัยเกือบหกสิบแล้ว งานนี้เธอเกาะหัวเรือร้องเพลง Little Bird ได้ดีเหมือนสมัยก่อนไม่มีผิดเพี้ยน เป็นการจับธีมผีได้แบบคาดไม่ถึง เอ๊ะ หรือป้าจะบอกไปนัยว่าป้าหายไปแต่ป้ายังไม่ตายนะจ๊ะ ? และที่แดงแรงฤทธิ์ไม่แพ้กันคือสีเสื้อและสีผมของหนุ่ม Ed Sheeran เจ้าของเพลง Lego House ที่คราวนี้ออกมาคัฟเวอร์ Wish You Were Here ของ Pink Floyd ออกมาเอาใจเด็กบริทร็อคสายอัลเตอร์ระหว่างขั้นช่วงต่อไป


Fat Boy Slim/ Jessie J/ Tinie Tempah/ Taio Cruz
ปาร์ตี้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อปลาหมึกยักษ์ของ Fat Boy Slim เปลี่ยนรถฮิปปี้ของ Russell Brand ให้กลายเป็นบูธดีเจและระเบิดความมันส์อย่างต่อเนื่องกับเพลงฮิตอย่าง Right Here Right Now และ Funk Soul Brother สมกับเป็นดีเจคู่บุญเมืองลอนดอนมาตั้งนมนาน ต่อด้วย Jessie J ในลุคที่พัฒนาจากม้าอรนภา เป็นอาภาพร นครสวรรค์ไปแล้ว กับเพลง Price Tag บนรถ Rolls Royce สีครีมช่าง Irony ดีเหลือเกิน คือหล่อนร้องเพลงว่า Not about the money บนรถราคาสี่แสนปอนด์... ผนึกกำลังกับอีกสองหนุ่ม Tinie Tempah และ Taio Cruz กับเพลงฮิตของตัวเองพอให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ได้อุ่นใจ ว่าเออได้เห็นคนรุ่นตัวเองออกทีวีบ้าง

Spice Girls
และแล้วก็ถึงช่วงที่ทุกคนตั้งตารอคอย นั่นคือ การกลับมาของเกิรล์กรุ๊ปที่ทำยอดขายมากที่สุดในโลก และตำนานเพลงป็อปบับเบิ้ลกัมแห่งอังกฤษ นั้นคือ Spice Girls !! ด้วยทีมงานอาจจะกลัวว่าชัดเจนเกินไปจึงมีการสับขาหลอกด้วยส่งรถแท็กซี่สีดำหน้าตาจิ้มลิ้มมาวิ่งวนอยู่สิบกว่าคันไม่ให้เดาออกว่าคันไหนบรรจุทั้งห้านางไว้อยู่ จนกระทั่งอินโทร Wannabe ดังขึ้น เป็นสัญญาณในการเปิดไฟเผยธาตุแท้ของรถแต่ละคนออกมาเป็นสีต่างๆตามสัญลักษณ์ของสมาชิกวง ทั้งห้านางปรากฎตัวในชุดที่ถูกคัดสรรมาให้เข้ากับบุคลิกอย่างดี แต่ที่ชนะขาดคือชุดสีแดงของ Geri Halliwell ที่ยังรักษาคอนเซปเอาธงมาผูกเป็นโบว์ซ่อนไว้ข้างหลังได้อย่างน่ารักน่าตี ในขณะที่ Victoria Beckham ก็ไม่สนใจจะร่วมงานกับใครทั้งสิ้น คืออยากจะยืนคนเดียวร้องคนเดียวจิกหน้าจิกตาอยู่คนเดียวก็เอา Wannabe ต่อเมดเลย์เป็น Spice Up Your Life เพลงที่หลายคนเดากันว่าจะนำมาแสดง ห้าสาวก้าวขึ้นหลังคารถแล่นโร่ไปรอบเวทีอย่างน่าหวาดเสียว ที่น่าชื่นชมคือที่สแตนด้านบนมีการเก็บรายละเอียด Reference ด้วยการทำสีสแตนให้เหมือนสีตัวหนังสือในหน้าปกอัลบั้ม Spice Up Your Life ด้วย เอากับเค้าซิ! 

หลังจาก Spice Girls ขอบอกว่าดูการถ่ายทอดด้วยท่าทีที่ตึงเครียดน้อยลงมาก ประมาณว่าต่อไปจะมีอะไรก็ไม่ว่ากัน ไม่ได้มีการคาดหวังใดๆ เพราะถือว่าได้ในสิ่งที่ขอแล้ว (ขนาดนั้น) จึงขอเรียกช่วงหลังจากนี้ว่า Post-Spice Girls ละกัน (เคยเจออะไรลำเอียงกว่านี้ไหม)

Post-Spice Girls
หลังจากห้าสาวออกจากสนามไป ก็ต่อด้วย Oasis ที่งานนี้มาแค่พี่ Liam Gallegher ออกมาร้องเพลง Wonderwall อีกหนึ่งวงที่หลายคนคิดถึงจึงไม่แปลกที่เกิดการประสานเสียงกันทั้งสนามอย่างที่เห็น ในขณะที่ Muse มาในเพลงธีมโอลิมปิกอย่าง Survival ที่หนุ่ม Matthew Bellamy ทั้งอัดทั้งตะเบงจนเกินงาม เสียทีถูกวงรุ่นพี่กลบรัศมีไปเห็นๆ แต่ที่ "เจ๊ง" กว่าคือการบังอาจให้นังเจ็ดสี Jessie J มาร้องหนึ่งในเพลงที่ดังที่สุดในโลกอย่าง We Will Rock You ของ Queen แทน Freddy Mercury ผู้ล่วงลับและผลออกมาตามความคาดหมายคือเสียงหวีดแหลม และลูกเล่นแพรวพราวของเธอทำเอาจอดสนิทเสียมนต์ขลังไปอย่างน่าเสียดาย

หลังจากการกล่าวสุนทรพจน์ของประธานโอลิมปิกและเทศมนตรีเมืองริโอ เดล จาเนโร และประเพณีการให้เจ้าภาพในอีกสี่ปีข้างหน้ามาโชว์เรียกน้ำย่อยและแสดงโลโก้โอลิมปิกครั้งต่อไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ต่อด้วย Take That ในเพลง Rule the World ไร้เงาของ Robbie Williams หายตัวไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ และโชว์ดับคบเพลิงของนักบัลเลต์สาว เริงระบำเป็นนกไฟมอดไหม้แล้วเกิดไหม้ทุกๆสี่ปี สุดท้ายและท้ายสุดจริงๆคือ The Who ที่หลายคนคิดว่าทำไมเพิ่งมาเอาป่านนี้ ลุงๆ The Who ยังอยู่กับครบองค์และแสดงสดเพลง Baba O'Riley และ My Gerenation ถึงตรงนั้นถ้าใครยังไม่หลับก็ขอแสดงความยินดีเพราะคุณสามารถถ่างตาดูพิธีปิดโอลิมปิกเกมส์ได้อย่างสมบูรณ์เป็นเวลาสามชั่วโมงครึ่งไปเต็มๆ

ถึงตรงนี้ผมบอกได้เลยว่าผมชอบการจัดโอลิมปิกของอังกฤษที่สุด ถ้าเทียบกับทุกอย่างที่เคยดูมาไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการถ่ายทอดทางอินเตอร์เน็ทที่ลงทุนไปมหาศาลและเตรียมงานกันตั้งแต่ปี 2008 ส่วนเรื่องการแสดงนั้น หลังจากที่งานที่ปักกิ่งจบลงผมยังจำได้ว่าผมถามตัวเองในใจว่าแล้วอังกฤษจะสู้ไหวไหม แต่มีสิ่งหนึ่งที่เฉพาะอังกฤษเท่านั้นคือป็อปคัลเจอร์ที่แทรกซึมเข้าสู่ทุกอณูของวัยรุ่นทั่วโลก นอกจากนั้นยังเป็นมุมมองการออกแบบโชว์แบบน้อยแต่มาก ซึ่งทำได้ยากกว่าอัดให้เวอร์วังอลังการเป็นไหนๆ อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจของการแสดงของอังกฤษคือตัวประกอบในงานนี้ถึงแม้ว่าจะมีจำนวนคนเป็นพันไม่ต่างจากจีน แต่ทุกคนได้รับการสวมบทบาท เป็นมนุษย์จริงๆ ที่มีเลือดเนื้อเชื้อไขเป็นชาวอังกฤษ ในการร่วมเล่าเรื่องประวัติศาสตร์ชาติตัวเอง มีอารมณ์ร่วมกับคนดูได้ หากเทียบกับจีนที่ลงทุนไปไม่แพ้กันแต่คนหนึ่งคนกลับทำหน้าที่เป็นเพียงหนึ่งพิกเซลในการแปรขบวนเป็นรูปต่างๆในสนาม แค่นี้ก็บอกถึงหลักแนวคิดเรื่องสิทธิมนุษยชนที่ต่างกันมากพอรึยัง?

Monday, July 16, 2012

Premiere: No Doubt - Settle Down



เห็นรถสิบล้อแถวพระประแดงมาประชุมกันมากมายขนาดนี้ หาใช่ม็อบราคาข้าวแต่อย่างใด แต่มันคือเอ็มวี Settle Down เพลงใหม่ต้อนรับการกลับมาหลังจากหายหน้าไปตั้งสิบปีของ No Doubt ที่เพิ่งพรีเมียร์ไปทาง E! Entertainment เมื่อคืนวานนี้เอง การกลับมาครั้งนี้ทำให้ No Doubt กลายเป็นอีกวงหนึ่งในไม่กี่วงจากยุค 90s ที่อยู่ยั้งยืนยงมาได้ถึงยี่สิบปี! และยังเป็นหนึ่งในวงที่มีแฟนเพลงมากที่สุดวงหนึ่งอีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่าการกลับมาครั้งนี้ไม่ใช่แค่การสิ้นสุดการรอคอยแต่ยังพ่วงมาด้วยความคาดหวังสูงเสียดฟ้าของบรรดาแฟนเพลงอีกด้วย

Settle Down เลือกเปิดตัวด้วยอินโทรนวยนาดคลอเสียง นองแนงๆ เหมือนจะดูหนังตะลุงในบรรยากาศบอลลีวู้ดเล็กๆ สาวเกวนเธอก็ขยันสรรหาของแขกๆ จีนๆ ที่เธอรักมาผสมโรงได้ไม่ขาด จากนั้นก็เปิดจังหวะกึ่งเร็กเก้ กึ่งป็อปสนุกสนาน ทำเอางานเก่าเมื่อชาติที่แล้วอย่าง Hey Baby ผุดออกมาอย่างรวดเร็ว และท่อนคอรัส get get get in line and settle down ที่ได้ยินครั้งเดียวก็ก้องอยู่ในหัวเป็นชั่วโมง ถือว่าทำสำเร็จในฐานะเพลงป็อปเพลงหนึ่งที่ต้องการจับผู้ฟังให้อยู่หมัด จึงดูมีศักดิ์ศรีสมน้ำสมเนื้อกับการเป็นซิงเกิ้ลเปิดอัลบั้ม แต่ซาวน์แปลกใหม่ที่เลือกมาสร้างสีสันนั้นยังไม่กลืนเข้ากับเนื้อเดิมของ No Doubt ได้แนบเนียนนัก แลจะดูจับแพะชนแกะกันอลหม่าน ส่วนเอ็มวีก็สีสันฉูดฉาดพอกัน ด้วยฝีมือผู้กำกับ Sophie Muller ที่จับเอารถบรรทุกประจำตัวของทั้งสี่นางมาพบกัน นัยว่าเป็นการกลับมาเจอกันอีกครั้งพร้อมขนความมันส์มาเต็มกระบะ แม้หนุ่มๆ อาจดูชราภาพลงไปตามการเวลา มีแต่เจ๊เกวนเนี่ยแหละที่เอาแต่สาวขึ้นๆ เป็นที่พิศวงของผู้พบเห็น... จนกระทั่งทั้งสี่ขนพรรคพวกมาเต้นแร้งเต้นกาจนหนำใจก็ปล่อย outro นวยนาดออกไปอย่างสวยงาม

ถ้าพูดกันตามตรง คิดว่าอนาคตซิงเกิ้ลยังลุ่มๆ ดอนๆ เพราะแม้จะฟังออกป็อปแต่ก็ไม่ใช่ประเภทที่วัยรุ่นชาวบ้านร้านตลาดเขาฟังกัน ด้วยพลังของเกวนคนเดียวก็ยังยากจะสู้กับคนอื่นในคลื่นวิทยุได้ (แต่ยังมีใครคิดจะหาเพลงดีๆ ฟังตามวิทยุอีกเหรอ) และสำหรับบรรดาแฟนเพลงก็ไม่ถึงขั้นปลาบปลื้มปาดน้ำตากับซิงเกิ้ลนี้ เพราะมันคือการเดินหน้าต่อหลังจากอัลบั้ม Rock Steady ไม่ใช่การกลับไปทำสกาพังค์ประเภทล้างผลาญเหมือน Tragic Kingdom ที่ใฝ่ฝันหา แต่โดยส่วนตัวแล้ว Settle Down เป็นซิงเกิ้ลสนุกๆ ที่สมน้ำสมเนื้อกับการเปิดตัวอัลบั้มใหม่และถูกใจกับการแสดงออกพันธุ์บ้าดีเดือดแต่ดูมีความเป็นผู้ใหญ่ที่สุขุมนุ่มลึกขึ้น

Love this? Try these: Santogold, Nelly Furtado,

Premiere: Madonna - Turn Up the Radio



วันนี้ยอมสละละทิ้งทุกอย่างมานั่งรอดูพรีเมียร์ Turn Up The Radio ของเจ๊แม่ด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ ด้วยหวังว่าจะไม่ต้องด่ากราดเหมือนตอนรีวิวอัลบั้มครั้งก่อน เพราะเมื่อตอนได้ข่าวว่าเธอจะแวะถ่ายเอ็มวีระหว่างทัวร์ก็หวั่นจะออกมาสุกเอาเผากินแบบเอ็มวี Miles Away อีกรึเปล่า แต่แล้วก็ราวกับความฝันก็เป็นจริงเมื่อได้เห็นชีวิตชีวาของอีป้าฆ่าไม่ตายนางนี้กลับมาอีกครั้งพร้อมกับความไฉไลสนุกสนานในแบบฉบับที่เราคุ้นเคย

เอ็มวีเปิดฉากด้วยชีวิตรันทดของคุณเจ๊แม่ที่พะอืดพะอมกับชื่อเสียงและกองทัพปาปารัสซี่ ผลพวงของการเป็นเดอะควีนประหนึ่่งอีกสิบห้านาทีจะขาดใจตาย จึงตัดสินใจสั่งพลขับคู่ใจพารถคาดิลแลคเปิดประทุนคันโก้ออกไป Take a ride พาไปปล่อยแก่ซักที ป้าจึงยอมลงทุนหน้าดำกรำแดดยามบ่ายเมืองฟลอเรนซ์ เพื่อไปออกเริงร่าเขย่าเต้าอย่างสุดเหวี่ยงกับแก๊งค์ชายไม่จริงหญิงแท้ที่เก็บเล็กผสมน้อยเรื่อยมาตามทางและกองทัพแฟนเพลงที่ยอมวิ่งมาราธอนตามอีป้ากันอย่างหน้ามืดตามัว นั่งรถเล่นตากแดดกันจนสุกงอมได้ที่ จู่ๆ ก็ไม่พอใจพ่อหนุ่มคนขับก็จับเปลื้องผ้าโยนออกนอกรถกันอย่างหน้าตาเฉย ก่อนจะปิดฉากเสร็จพิธีด้วยโควเทชั่นภาษาอิตาเลี่ยนเก๋ๆ ที่ใครทราบว่าแปลว่าอะไรช่วยบอกที ?

ลูกเล่นการตัดต่อภาพและเพลงมีส่วนที่ทำให้ซิงเกิ้ลนี้น่าฟังขึ้นมาก บวกกับการที่เอ็มวีทำออกมาได้ตรงไปตรงมาชนิดกางเนื้อร้องแล้วผลิตภาพตามแบบครบทุกเม็ด ทำให้ดูง่าย เข้าใจง่าย ไม่คิดมาก นึกไม่ออกว่ามาดอนน่าทำเพลงเนื้อหาแนวปล่อยใจฝันแบบนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ จะให้นึกก็คงต้องย้อนกลับไปถึงยุค Holiday หรือ Into The Groove นู้น ซึ่งก็คงไม่แปลกที่แฟนเพลงรู้สึกแปลกใจและตื้นตันเล็กๆ ที่ได้มาดอนน่าผู้ร่าเริงกลับมาอีกครั้ง

Thursday, July 12, 2012

3 Next Best Songs




ขอสารภาพว่าตอนได้ยินเพลงนี้ในวิทยุครั้งแรก ก็มิวายต้องวิ่งแจ้นไปหาชื่อศิลปินอย่างด่วน แต่กลับไม่พบชื่อนายคนนี้อยู่ในสารบบในสมองแต่อย่างใด ก็อย่างว่าตามประสาเด็กโลกที่สามทั่วไป X Factor อะไรก็ไม่ค่อยได้ติดตามเท่าไหร่เลยพลาดลุ้นไปอย่างน่าเสียดาย และตั้งแต่ตกรอบก็หายไปตั้งแต่ปี 2010 มาตอนนี้น้อง Aiden Grimshaw ก็เปิดตัวโปรโมตซิงเกิ้ลใหม่ Curtain Call ที่จะรวมอยู่ในอัลบั้มแรกที่ใช้ชื่อว่า Misty Eye ที่วางแผงกลางเดือนสิงหานี้จึงจะได้เห็นหน้าค่าตากันอีกครั้ง ด้วยน้ำเสียงแบบนิ่มๆ กับโปรดักชั่นที่ไม่หวือหวามากมายแต่กลับฟังเพลินอย่างเหลือเชื่อ ทำให้พลางนึกไปถึง Jamie Woon อีกหนึ่งหนุ่มอังกฤษที่ชนะใจให้โล่ไปเมื่อปีที่แล้ว Aiden ทำเราคาดไม่ถึงว่านี่คือผลผลิตจากเวทีประกวด ที่มักจะเน้นผลิตป็อปสตาร์เสียงดีแสดงได้ แล้วเว้นที่โปรดักชั่นไว้ให้ทีมงานจัดการ แต่งานของ Grimshaw น่าสนใจตรงที่เขาเลือกที่จะไม่ตามสูตรสำเร็จใดๆ ทั้งสิ้น 




อย่างที่เรารู้ๆ กันว่าแฟนเพลงสายร็อคนั้นปากจัดช่างวิจารณ์กว่าสายป็อปมาก วงส่วนใหญ่ก็เลยเลือก play safe ทำเพลงหงอยๆ เอาใจแฟนเพลงกันไป แต่ไม่ใช่สำหรับ The Killers ที่ดูท่าทางในอัลบั้มใหม่นี้จะมีวิวัฒนาการก้าวล้ำกล้าเสี่ยงขึ้นมาก หลังจาที่กอัลบั้ม Day & Age เมื่อสี่ปีก่อนถูกวิจารณ์ว่าจะเป็นป็อปแดนซ์ไปซะแล้วหรือไง การแก้มือครั้งใหม่ในเพลง Runaways นั้น The Killers จึงเลือกเหยาะกลิ่นอายร็อคแอนด์โรลจากยุค 80s อย่าง Springsteen เข้ามาในท่อนคอรัส ร่วมไปถึงการดึงเอาเนื้อเพลงเกี่ยวกับความโรแมนติกของวัยรุ่นหนีไปใช้ชีวิตอิสระนอกบ้านที่ถูกผลิตซ้ำอย่างหนักเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้วมาใช้ สำหรับผมแล้ว เราคงคาดหวังจะฟังอัลบั้มแบบ Sam's Town หรือ Hot Fuss อยู่ตลอดก็คงไม่ได้ และยังไงเสีย เสียงของ Brandon Flowers ก็ยังคงเป็นเสน่ห์ประจำวงที่ใครๆ ก็คิดถึงอยู่เสมอ งานนี้จะพลาดท่าซ้ำสองรึเปล่าต้องคอยลุ้นกัน

Hanging On - Ellie Goulding :

กว่าวิทยุอเมริกาจะรู้จักเปิดซิงเกิ้ลอย่าง Lights ที่ชาวบ้านเขาฟังกันไปตั้งสองปี Ellie Goulding ก็เตรียมโปรโมทอัลบั้มใหม่แล้ว นี่ถ้าไม่ได้งานรีมิกซ์เพลง High For This ของ The Weeknd ที่นางลงทุนรีมิกซ์เองกับมือไปฟังก็คงไม่มีสิทธิ์ได้ไต่บิลบอร์ดชาร์ทแน่ๆ  สำหรับในเพลงใหม่ Hanging On นี้ที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือเสียงสุดแสนจะมหัศจรรย์ของเธอ ที่ถึงแม้จะผ่านการ Auto-Tune มาอย่างหนักแต่ก็เรียกได้ว่าเป็นเอกลักษณ์อย่างเหนือชั้นชนิดที่ว่าถ้าจะหาใครมาเทียบกับชั้นกับ Bjork ก็คงไม่ถือว่าข้ามขั้นเกินไปนัก (ถ้าไม่นับเสียงครวญโคตรอลังการของยัย Florence Welch) อย่างไรก็ตาม ติดใจอยู่อย่างเดียว ต้นสังกัดบังคับรึไง? หล่อนใส่ Tinie Tempah มาแร็พทำไมมิทราบ?!!!!

Monday, July 9, 2012

I DON'T WANT TO LIVE ON THIS PLANET ANYMORE




ข่าวด่วน!! รู้กันรึยัง ไมเคิล แจ็คสัน ราชาเพลงป็อปเนี่ยเขานิยมการละเมิดสิทธิ์เลียนแบบเสื้อผ้าของ มหาเทพจัสติน บีเบอร์นะ คิดเองไม่เป็นรึไง บีเบอร์เท่านั้นคือบร๊ะเจ้าาา ฮึ่ยยย...  ติดตามความฮาสุดมืดบอดของแฟนเพลงคนนี้ได้ที่ @MandaSwaggie ในทวิตเตอร์เอาละกัน แต่สำหรับวันนี้ ผิดหวังกับมนุษยชาติมาก ขอลา...

Saturday, July 7, 2012

แอบดูอัลบั้มใหม่ No Doubt ใกล้พรีเมียร์เต็มที




เลดี้ กาก้าฝากถามมาทั้งที ก็ตอบได้แบบไม่ต้องคิดเลยว่า "โคตรตื่นเต้นเลยแหละ!" ก็ No Doubt วงโปรดผมตั้งแต่เด็ก ที่หายหน้าหายตาไปตั้งสิบปีจะกลับมาอีกครั้งทั้งที ส่วน Gwen Stefani ก็เป็นผู้หญิงที่สวยเพอร์เฟกที่สุดในจักรวาลเสมอ เพราะฉะนั้นข่าวการกลับมารวมตัวกันในอัลบั้มใหม่นามว่า Push and Shove และซิงเกิ้ลใหม่ในเพลง Settle Down ที่กำลังจะปล่อยในวันที่ 16 เดือนนี้จึงเป็นอะไรที่น่าจับตามองอย่างมากกก!!

หนึ่งทศวรรษผ่านไปตั้งแต่ซิงเกิ้ล Hella Good เมื่อปี 2001 วงสกาพังค์สุดซ่าห์หลังจากไปทำอัลบั้มเดี่ยวกันบ้าง ไปตั้งครอบครัวมีลูกมีหลานกันบ้าง เมื่อประมาณปลายปีที่แล้วเจ๊เกวนนักร้องนำก็ลงทุนสมัคร Twitter พร้อมกับทวีตข่าวดี ว่าพวกเขากำลังเข้าสตูดิโอทำอัลบั้มใหม่กันอย่างขะมักเขม้น งานนี้แฟนเพลงรุ่นเล็กรุ่นใหญ่ทั่วโลกก็ตามฟอลโลว์พร้อมตื่นเต้นกันยกใหญ่ ไม่นานมานี้ No Doubt ก็ออกวีดีโอคลิปเล็กๆ สองคลิปในยูทูปให้ไปแอบดูความเป็นไปภายในสตูดิโอและการบันทึกเสียงเพลง Settle Down ภายใต้การโพรดิวซ์ของ Spike Stent ที่เคยผลิตอัลบั้มให้กับ Madonna, Gaga และ U2 มาแล้ว





ฟังจากทั้งจังหวะ ทั้งเครื่องเป่าที่ได้ยินในคลิปข้างบนก็พอจะบอกได้ว่า No Doubt คงไม่หนีห่างจากดนตรีสกาพังค์ เร็กเก้ แดนซ์ฮอลล์ อย่างที่เคยทำสมัยก่อนซักเท่าไหร่ และดูเหมือนจะเขยิบเข้าใกล้อีกนิดซะด้วย ฟังแค่อัดดนตรีสดอย่างเดียวก็อย่าเพิ่งรีบคิดว่างานนี้จะย้อนยุคกลับไปสมัยอัลบั้ม Tragic Kingdom หรือบินเข้าคิวบา จาไมกาไปซะแล้วหรือเปล่า เพราะเขาได้อีกสองโพรดิวเซอร์สุดฮิตในตอนนี้อย่าง Diplo และ Switch ในนาม Major Lazer กับซาวน์ล้ำๆ มาช่วยสมทบอีกต่างหาก

Settle Down จะพรีเมียร์ในวันที่ 16 กรกฎาคมนี้ ส่วนอัลบั้มจะวางแผงวันที่ 25 กันยานู้น ระหว่างนั้นวงก็จะเดินสายเปิดตัวเพลงทั้งในงาน Nickelodeon Teen Choice Awards, Jimmy Fallon Late Night Show ไปจนถึง Good Morning America ภายในเดือนนี้อีกเช่นกัน

เพราะฉะนั้น เลดี้กาก้า คุณไม่ใช่คนเดียวที่ตื่นเต้นแน่นอน!!

Thursday, July 5, 2012

Fruity Review #3



Scissor Sisters
Magic Hour
7/10

กุมภาพันธ์ปี 2004 วงการดนตรีอังกฤษมีอันต้องสั่นสะเทือนด้วยคลื่นความเกย์แก่นแก้วโหมกระหน่ำ โดยพลังความแรงของพี่น้องกรรไกร วงแกลมร็อคเท้าไฟหัวใจเกินหญิงอันมีนามว่า Scissor Sisters ที่ประกอบไปด้วยสมาชิกสุดเปรี้ยวทั้งสี่นาง ไม่ว่าจะเป็น Jake Shears นักร้องนำเกย์ซูเปอร์สตาร์แห่งวงการ มือกีตาร์ Del Marquis อดีตสามีนังเจค Babydaddy มือกีตาร์ เบส และคีย์บอร์ดผู้มากความสามารถ และ Ana Matronic หญิงเดี่ยวหนึ่งเดียวในวงที่ดีกรีความเปรี้ยวไม่แพ้กระเทยหน้าไหน Scissor Sisters ดีเด่นด้วยดนตรีแนว Glam Rock, Nu-Disco สุดแสบสันต์ ไปจนถึง Electroclash ที่พูดถึงสาวโสเภณีข้างถนนในนิวยอร์คได้อย่างสนุกสนานถึงแก่น พร้อมรางวัลชนะเลิศ Platinum แปดครั้งในอังกฤษ แม้ว่าทั้งสี่นางจะหอบเสื่อผืนหมอนใบมาจากอเมริกาก็ตาม

เวลาผ่านไปเกือบสิบปี Scissor Sisters กลายเป็นสาวใหญ่ใจเกินร้อยที่มีผลงานออกมาให้หายคิดถึงไม่ขาดสาย แต่ก็หนีไม่พ้นที่จะต้องตามสูตรเดิมที่ตัวเองสร้างไว้เพื่อรักษาความเผ็ดแบบเดิมไม่ให้เลือนหาย แม้ว่าจะมีการแวะทดลองของใหม่รายทางบ้างแต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับที่ดีเท่ากับของเก่าดั้งเดิม จึงเริ่มเป็นภาคบังคับกลายๆ ว่า Scissor Sisters จะต้องคงแบบต้นตำรับความแรงตามที่แฟนเพลงจำภาพไว้ ไม่ว่าจะเก๋าขี้นแค่ไหนก็ตาม

Magic Hour เป็นอัลบั้มหมายเลขสี่ที่วางแผงไปแล้วตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภา มาพร้อมกับหน้าปกม้าลายแบบงงๆ ทำเอาหลายคนแอบหลงผิดคิดไปว่าพวกเธอจะเริ่มปลงสังขารกันแล้วรึเปล่า แต่ไม่เลยเมื่อเราได้ยินเพลงอย่าง Let's Have A Kiki กึ่งเพลงกึ่งคลิปเสียงของสาวแอนนาฝากข้อความทิ้งไว้ในโทรศัพท์ได้อย่างฮากลิ้ง Best In Me ที่รู้สึกเหมือนได้ไปเหยียบย่าน Lower East Side ในนิวยอร์กด้วยตัวเอง Shady Love เพลงจังหวะกระฉึกกระฉักที่แอบเสียแต้มที่อุตสาห์ได้แร็พเปอร์ Azealia Banks มาร่วมร้องแต่นังเจคดันไปร้องท่อนแร็พแล้วให้ Azealia Banks ไปร้องท่อนฮุคเสียเฉย Self Control เกาะกระแสชิคาโกเฮาส์ที่กำลังกลับมาเฟื่องฟูที่กลุ่ม Azari & III ได้นำร่องนำไปแล้ว รวมไปถึง Only The Horses ซิงเกิ้ลนำสุดจะฟีลกู๊ดที่แปะป้าย Calvin Harris ร่วมลงไม้ลงมือปั้นหรา ออกมาเป็นป็อปติดหูฟังสนุกแม้ว่าจะมีลายเซ็นคอลวินอยู่พร้อยไปหมดก็ตาม ในขณะที่เพลงช้าก็เข้าท่าเข้าทางดีไม่หยอก เช่น Inevitable กับ Years of Living Dangerously เหมือนย้อนกลับไปฟังเพลงฮิตยุค 80s อย่าง George Michael หรือเพลงช้าของ Eurythemics เป็นที่แสดงอีกด้านหนึ่งที่ลึกซึ้งของวงหรือเรียกง่ายๆ คือช่วงสร่างเมาของนางนั่นเอง

แต่ก็หาใช่ว่าจะมีแต่เพลงดีๆ เสมอไป เพลงแดดิ้นตายซากบางเพลงก็มี เช่น San Luis Obispo ที่ไม่รู้คิดอะไรอยากจะเดินรอยตามเพลงเกาะสวาสหาดสวรรค์ La Isla Bonita ของเจ๊แม่แต่ออกมาได้แห้งแล้งแปลกปลอมสิ้นดี Keep Your Shoes On เป็นอีกหนึ่งเพลงเต้นรำ ทีไปไหนไม่ได้ไกลเพราะถูกเพลงร่วมอัลบั้มกลบรัศมีไปเรียบร้อยแล้ว Baby Come Home ก็ซ้ำซากย่ำต๊อกอยู่กับแพทเทิร์นเดิมๆ ของอัลบั้มเก่าที่ฟู่ฟ่ากว่าอย่าง I Don't Feel Like Dancing หรือ Take Your Mama เป็นต้น

ถึงเวลาให้คะแนนก็คงต้องบอกว่าพี่น้องกรรไกรสอบผ่านฉลุยในมาตรฐานของตัวเองหากพูดถึงเรื่องการรักษาความแซ่บไว้คู่รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า แม้ว่าจะสู้อัลบั้มก่อนอย่าง Night Work ไม่ได้ในเรื่องคอนเซปต์ที่ดาร์กกว่า เข้มข้นกว่า Magic Hour หันไปจับความสนุกสนานร่าเริงและแรดราวกับเพลงประกอบหนัง Priscilla Queen of the Desert ก็ไม่ปาน แม้จะอัลบั้มชุดนี้จะไม่ใช่งานระดับตำนาน แต่แน่ใจว่า Scissor Sisters จะเป็นวงแรกที่ผู้คนจะเอ่ยชื่อเมื่อคุณพูดถึงดนตรีในกลุ่มแกลมร็อคในยุคนี้เสมอแน่นอน

If you love this, try these:  vintage Madonnas, Azarii & III, Hercules and Love Affair, Sam Sparro

Sunday, July 1, 2012

Snippet: Ke$ha - Supernatural


เนื่องจากอัลบั้มก่อน Animal อะไรนั่นฟังไม่เข้าหูซักเพลง เลยแอบค่อนแคะในใจว่ายัย Silly White Party Girl อย่างหล่อนจะไปได้ซักกี่น้ำ แต่พอได้ข่าวว่าที่หายหน้าหายตาไปตอนนี้กำลังแอบไปซุ่มทำอัลบั้มใหม่ที่ Kesha เธออวดอ้างสรรพคุณว่าจะเป็นอะไรที่ได้รับอิทธิพลจาก The Beastie Boys เบะปากนิดหน่อยพอรู้ว่าเธอได้ร่วมงานกับ Wayne Coyne แห่ง The Flaming Lips ในอัลบั้มนี้อีกต่างหาก พอมาได้ยิน snippet สี่สิบวิฯของเพลง Supernatural ที่เธอบรรจงตัดเฉพาะท่อนเทคโนเบรคดาวน์มาเน้นๆ ในหลอดข้างล่างนี้ ก็บอกตามตรงว่า ขนลุกนิดหน่อย ...งานนี้มารอดูกันว่าอัลบั้มหน้าเคชช่าเธอจะได้เลื่อนระดับมาตรฐานใหม่หรือใครแถวนี้จะต้องหน้าแหกกันแน่

Saturday, June 30, 2012

Lana Del Rey serving it up with A$AP Rocky this week



จุดแข็งข้อสำคัญทีทำให้ Lana Del Rey นั้นขายดิบขายดีนั้นไม่ใช่แค่น้ำเสียง แต่รวมไปถึงการรักษาลุ๊คสุดแสนจะวินเทจ สไตล์ Nancy Sinatra ผสมกับ Brigitte Bardot ผสมปนเปกับไอดอลหญิงยุคห้าศูนย์หกศูนย์อีกหลายคนทั้งทางด้านดนตรีหรือรูปลักษณ์ แถมเธอยังรักษาคอนเซปต์ได้อย่างมั่นคงกว้างไกลไปถึงเอ็มวีแต่ละตัวที่ทำออกมาได้สวยสดงดงามอย่าบอกใคร

สำหรับครั้งนี้ก็คงไม่แพ้กันในเพลง National Anthem ที่เพิ่งออกมาล่าสุดอาทิตย์นี้ที่ LDR เธอแปลงโฉมเป็น Marilyn Monroe เวอร์ชั่นผมตรงยาวสุดคลาสซี่ พร้อมดัดเสียงอ่อนเสียงหวานร้องเพลง Happy Birthday ให้กับท่านประธาธิปดีเคเนดี้ ล้อกับเหตุการณ์สุดฉาวบ้านแตกสาแหรกขาดเมื่อครั้งสมัยก่อน ก่อนจะแปลงโฉมไปเป็น Jackie O หรือ Jacqueline Kennedy สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งคอยปรนนิบัติพัดวีประธานาธิปดีเคเนดี้ ที่รับบทโดย A$AP Rocky แร็พเปอร์สายอินดี้ร่วมรุ่น ออกมาเป็นเอ็มวีที่ทั้งแรงทั้งล่อเป้า สวยงามด้วยการบรรจงถ่ายทำด้วยกล้องโบราณ และเสื้อผ้าหน้าผมราวกับดูโฆษณายุค 60's ของ Ralph Lauren แถมยังฉลาดตอบโจทย์ตามชื่อเพลง National Anthem อีกต่างหาก

แต่รู้สึกว่าระหว่าง LDR กับ A$AP Rocky จะมีกลิ่นอะไรตะหงิดๆ อยู่ ในเมื่อคนที่จะรับบทปธน.ได้ดีกว่าก็มีตั้งเยอะแยะไปทำไมต้องเป็น A$AP Rocky หรือนาย Rakim Mayers แร็พเปอร์ตัวแสบที่เพิ่งมีผลงานอัลบั้มแรกเมื่อปลายปีที่แล้วช่วงๆ เดียวกับลานา และทั้งสองยิ่งดูแน่นแฟ้นไปกันใหญ่เมื่อลานาเธอไปโผล่หน้าเบลอๆ ปากเจ่อๆ ร่วมร้องในเพลง Ridin' (หรือเพลง My Bitch ตามชื่อเดิมที่ A$AP ตั้งไว้) อีกต่างหาก ถึงแม้เพลงนี้จะยังไม่มีเอ็มวีมาให้ชมแต่ก็รู้สึกว่าลานาเธอมีเซ็กซ์แอพเพียลแบบผู้หญิ๊งผู้หญิงที่ลงตัวกับจังหวะและการร้องแบบฮิปฮอปโอล์ดสคูลแบบนี้มาก เรียกว่าได้ใจไปเต็มๆเลย


ส่วนเรื่องทั้งสองคนนี้เขาเดทกันอยู่หรือเปล่าอะไรยังไง แร็พเปอร์เจ้าตัวแม้จะลุ๊คแรงพูดจาแรงแต่ก็ขอตอบแมนๆว่าเธอก็น่ารักดี แต่ยังไม่ได้คิดอะไรกันมากมาย เอาล่ะ ใครจะว่าอะไรได้ ถ้าทั้งสองคบกันแล้วมีเพลงดีๆ ออกมาแบบนี้ คนฟังจะไม่ให้เชียร์ได้ยังไงใช่ไหมล่ะ ส่วนลานาก็ไม่ได้ตอบอะไรมากมาย นอกจากเนื้อเพลงในเพลง Blue Jeans ที่ฟ้องไว้ว่าใครจะมาดร็อคยังไงแต่ฉันเนี่ยชอบสายฮิปฮอปหรอกนะจ๊ะ

สุดท้ายนี้แฟน LDR เตรียมตัวไว้เลยเพราะเธอกำลังเตรียมจัดชุดใหญ่จากอัลบั้ม Born to Die ไว้อีกหลายเพลงไม่ว่าจะเป็น Summertime Sadness ที่เริ่มได้ยินกันตามคลื่นวิทยุ (ต่างประเทศ) แล้ว ยังมีข่าวมาว่าเธอกำลังเตรียมถ่ายเอ็มวีเพลง Dark Paradise ให้ได้รอชมกันอีกด้วย 

Wednesday, June 27, 2012




ข่าวล่ามาแรง! Princess Die เพลงใหม่ชื่อเพราะของเลดีกาก้า เล่นให้ฟังกันสดๆเป็นที่แรกในคอนเสิร์ตที่เมลเบิร์น!

เหตุการณ์เกิดจากว่ามีลิตเติ้ลมอนสเตอร์มือบอนโยนมงกุฎขึ้นมาบนเวที เลดีกาก้าจึงฉุกคิดขึ้นได้ถึงเพลงใหม่ที่แต่งขึ้นที่เธอออกตัวไว้ชัดเจนว่าอาจจะมีอยู่หรือไม่มีในอัลบั้มใหม่ก็ได้ (คล้ายว่าหล่อนยังไม่ได้ตัดสินใจ) ก็เลยถือโอกาสร้องเพลงเศร้าๆ นี้อันมีนามว่า Princess Die ให้แฟนเพลงได้ฟังกันเป็นของกำนันพิเศษเอาซะเลย

ฟังจบครั้งแรกรู้สึกก็ทึ่งกับฝึมือการแต่งเพลงของเธอเข้าเต็มๆ อีกครั้ง ด้วยบรรยากาศคอนเสิร์ตที่อบอุ่นบวกกับวิญญาณนักดนตรีในเสียงเปียโนเบาบาง ฟังดูคล้ายกำลังฟัง Tori Amos ร้องเพลงของ Elton John อยู่ก็ไม่ปาน ถึงแม้ว่าตอนนี้จะฟังดูคล้ายหนึ่งในหลายเพลงบัลลาดร็อคที่มักซ่อนเข้ามาในอัลบั้มต่างๆ อย่าง Speechless หรือ You and I แต่เราเดาไม่ได้เลยว่าเพลงนี้เมื่อไปอยู่ในอัลบั้มใหม่ของเธอจริงจะมีหน้าตาออกมาเป็นเช่นไร คล้ายกับครั้งแรกที่เราได้ยินเธอร้อง Born This Way ในงานเอ็มทีวีที่เธอใส่ชุดเนื้อสดนั้น ก็ไม่ได้มีเค้าของซิงเกิ้ล Born This Way ที่ออกมาหลังจากนั้นเลย

ไม่ว่าเพลงใหม่นี้จะมีให้ฟังในอัลบั้มใหม่หรือไม่ อย่างน้อยเธอก็แอบเผยไต๋ว่าแอบแต่งเพลงใหม่มาหลบซ่อนไว้ตามหลืบตามกรุไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ที่สำคัญคนที่คุ้มที่สุดก็คือเหล่าลิตเติ้ลมอนสเตอร์จ่ายตังค์ซื้อบัตรมาดูรอบนี้ เรียกว่าคุ้มโคตรๆ ทีเดียว!

Monday, June 25, 2012

Calvin Harris อัลบั้มใหม่ อีกนานไหมพี่?


สำหรับโพสต์นี้ขอใช้เป็นที่ระบายความร้อนอกร้อนใจเกี่ยวกับอัลบั้มที่สามที่ไม่เคยมาถึง (และยังไม่คิดแม้แต่จะตั้งชื่อ!) ของโปรดิวเซอร์หนุ่มหน้าหวานที่ฮ็อตที่สุดในวงการขณะนี้ ซึ่งก็คงนึกถึงใครอื่นไม่ได้นอกจาก Calvin Harris นั่นเอง อาจเป็นเพราะช่วงนี้พี่คอลวินแกจะหมกมุ่นอยู่กับงานเบื้องหลังปั้นเพลงให้กับศิลปินดังมากหน้าหลายตา ตั้งแต่งานดังๆที่ทุกคนบนโลกนี้ต้องเคยได้ยินอย่าง Rihanna กับ We Found Love หรือจะเป็น LMFAO, Tinchy Stryder, The Ting Tings, Kylie Minogue ไปจนถึงล่าสุด ที่กำลังอยู่เบื้องหลัง Magic Hours อัลบั้มล่าสุดของพี่น้องกรรไกร Scissor Sisters ก็มาขอเข้าคิวใช้บริการของพี่เค้าด้วย นอกจากนี้ยังแอบไปเป็นดีเจเปิดตัวให้ Katy Perry ใน California Dreams Tour ร่วมทัวร์ตะลอนกับเค้าด้วย งานล้นมือแบบนี้พี่คอลวินแกจะหาเวลาส่วนตัวที่ไหนมาสร้างสรรค์งานของตัวเองได้ เลยได้แต่ออกเป็นซิงเกิ้ลกะปริบกะปรอยอย่างที่เห็น จนทุกวันนี้ก็ศิริรวมครบหนึ่งปีแล้วตั้งแต่ซิงเกิ้ลแรกอย่าง Bounce ที่ปล่อยออกมาอย่างลอยลม ไม่มีวี่แววจะมีอัลบั้มเต็มมาออกให้แฟนได้ชื่นชมให้เสนาะหูแต่อย่างใด แต่สำหรับวันนี้เราไม่ขอนั่งรอตาละห้อยอย่างเดียว ฟรุตตี้สปูนขอถือโอกาสนี้มานั่งไล่ซิงเกิ้ลทั้งหลายที่พ่อหนุ่มคนนี้ปล่อยออกมาให้ฟังกันตั้งแต่เดือนนี้ของปีที่แล้วนู้น มาดูกันว่าพี่แกมีทีเด็ดมัดใจอะไรถึงทำเอาเรานั่งรอจนอยู่หมัดได้เยี่ยงนี้



10 มิถุนายน 2011 ทั้งแม่ยกชาวเน็ตและบล็อกเกอร์ทั่วโลกก็ได้ฤกษ์กรี๊ดกร๊าดกันยกใหญ่เมื่อได้ยินแทร็กเฮาส์ผสมป็อปสุดจี๊ดที่ลือกันว่าจะเป็นซิงเกิ้ลใหม่ของหนุ่มคอลวิน ฮารริส -- เดือนต่อมาวีโว่ก็เปิดตัวเอ็มวีเพลงที่มีชื่อว่า Bounce นี้อย่างเป็นทางการบนยูทูปให้ทุกคนได้ชมกัน ดูเหมือนการกลับมาครั้งนี้ พี่คอลวินแกจะรื้อรากเก่าระเกะระกะแบบที่ได้ยินกันในงานเก่าๆ อย่าง Ready For The Weekend แล้วสร้างบรรยากาศแบบทีเล่นที่จริงด้วยซาวน์ 8 bit เหมือนเสียงเกมส์บอยกวนๆ ที่ทุกคนคุ้นเคย บวกกับการถอนตัวเองออกจากตำแหน่งนักร้องและยกให้ Kelis ที่ช่วงนั้นเพิ่งกระเถิบเข้ามาในวงการอิเลคโทรมาร้องแทน ออกมาเป็นเพลงคลับแดนซ์แปลกหู จังหวะกลางๆ ที่ไม่ทันไรก็โดดพรวดขึ้นไปที่อันดับสอง UK Dance Chart นู้น


ต่อมาในเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว หลังจากประกาศว่าจะเป็นดีเจอย่างเดียวไม่ร้องเพลงตอนทัวร์คอนเสิร์ตอีกซะดิบดี คอลวินก็ตัดสินใจขอมีเอี่ยวในการร้องเพลงตัวเองอีกครั้ง โดยในเพลง Feel So Close นี้นอกจากจะร้องเองแล้วพี่แกยังเข้าไปเล่นเอ็มวีกับเขาด้วย โดยเพลงนี้มาแปลกกับอินโทรด้วยเสียงร้องเก้ๆ กังๆ ของพี่แกควบไปกับเปียโนเชื่องช้าฟังเพลินๆ ตามด้วยเสียงกีตาร์อิเลคโทรนิกแสบแก้วหู ก่อนจะระเบิดออกเป็นจังหวะสนุกๆ ให้ได้กระโดดกัน แต่สำหรับใครที่คิดว่าแค่นี้ยังแรงไม่พอ ในแผ่นซิงเกิ้ลนี้ก็ครบมือด้วยรีมิกซ์โหดๆ จากดีเจดังๆ ออกมาวาดลวดลายกันมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Benny Benassi ที่ไว้ลายมือรีมิกซ์เบอร์หนึ่งด้วยเวอร์ชั่นทรานซ์ให้เต้นกันคลับแตก ส่วนใครที่ชอบ dubstep ต้องลองเวอร์ชั่นของ Nero ที่ทำเอาคอลวินจ๋อยไปเลย


หลังจากหายไปตั้งนานสองนาน มีนาคมปี 2012 เป๊ปซี่ก็อยากจะตอบรับกระแสฟุตบอลยูโร 2012 ด้วยการเอานักบอลทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น เมซซี่ ตอเรส หรือแฟรงค์ แลมพาร์ด มามะรุมมะตุ้มเตะบอลกันกลางคอนเสิร์ตอย่างสนุกสนานในโฆษณาเป๊ปซี่นี้ แต่เอ๊ะเดี๋ยวก่อนนี่มันเพลงใหม่ของคอลวิน ฮารริสนี่! ว่าแล้วไม่นานวีโว่เจ้าเดิมก็ปล่อยเอ็มวีแบบไม่ใช่โฆษณาของเพลงล่าสุดอย่าง Let's Go มาให้ประชาชีชาวโลกได้ดูกัน เอ็มวีก็ดูง่ายแค่รวมพลฉายภาพชีวิตสุดเหวี่ยงของคนสามคู่จากสามมุมโลกเช่น Los Angeles, Rio del Janeiro ไปจนถึงหนุ่มสาว Tokyo ก็ขอมีเอี่ยวร่วม เลทซึโกะ! กับเขาด้วย แต่แหมรู้สึกหนุ่มสาวพวกนี้จะดื่มเป๊ปซี่กันเป็นว่าเล่นเชียวนะ ...ส่วนทางด้านดนตรีคราวนี้คอลวินจับมือกับ Ne-Yo ขาแดนซ์จากอเมริกามาร่วมร้องให้ด้วย ดูเหมือนตั้งใจมาถล่มทุกคลับด้วยบีทคลับแดนซ์เต้นกระจาย เอาสิ คราวนี้ใครไม่โยกให้มันรู้ไป


เหมือนจะรู้ทันว่ามือกำลังขึ้น คอลวินก็ไม่รีรอรีบปล่อยซิงเกิ้ลอย่างไม่เป็นทางการมาอีกหนึ่งดอกเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมานี่เอง เป็นอีกหนึ่งดอกที่ทุกคนแอบหวังว่ามันจะเป็นนัดสุดท้ายก่อนอัลบั้มเต็มจะมาซักที สำหรับแทร็กนี้หลังจากแดนซ์มันส์กันไปแล้ว มาคราวนี้ในเพลง We'll Be Coming Back ก็เปลี่ยนแนวมาทำแนวโรแมนติกกันบ้าง แต่ก็ยังคงเหนียวแน่นกับแนวเฉพาะตัวไว้อย่างดี สำหรับเพลงนี้ก็พาคู่ซี้ Elliot John Gleave หรือ Example ศิลปินสายอิเล็กโทรนิกจากเกาะอังกฤษมาโชว์เสียงร้องแมนๆ ที่เข้ากันอย่างพอดิบพอดีกับเมโลดี้ของซินธ์นุ่มๆ ที่ปูพื้นไว้ ออกมาเป็นแทร็คเท่ๆ ที่จะแดนซ์ก็ได้จะฟังก็เพลินมาให้ฟังกันระหว่างรออัลบั้มเต็มครับ

อย่างไรก็ตามสำหรับอัลบั้มใหม่ดีเจหน้าหวานของเราก็ยังไม่มีการประกาศวันให้ตั้งตาคอย ได้แต่บอกไว้ลอยๆ ว่าคงจะเป็นซักช่วงในปีนี้ ถ้ามีอะไรคืบหน้าเราจะรายงานทันที เอาเป็นว่าช่วงนี้ฟังอีสามสี่เพลงที่มีไปก่อนละกัน :( 




Sunday, June 24, 2012



มิได้หลงไหลได้ปลื้มอะไรไปเป็นพิเศษ แต่จะขอทำนายว่าเพลงนี้จะต้องเป็นฮิตรับซัมเมอร์ (ของฝรั่ง) อย่างแน่นอน เพราะ Good Time เพลงใหม่ของ Owl City ศิลปินป็อปชายที่แบ๊วที่สุดของยุค ได้โคจรมาเจอกับ Carly Rae Jepsen เด็กแก่แดดเจ้าของเพลง Call Me, Maybe ที่ฮิตระเบิดอยู่ตอนนี้แหละ ไม่มีอะไรเหมาะเหม็งไปกว่าสองคนนี้อีกแล้ว ทั้งคู่มาพร้อมกับเพลงป็อปโลกสวยสดใส ฟังไปก็นึกเห็นภาพสนามหญ้าสีเขียว คุณพ่อยืนรดน้ำต้นไม้ หมาพันธุ์ลาบราดอร์วิ่งเล่น และพระอาทิตย์ยิ้มแฉ่ง แถมด้วยท่อนฮุค โว้โวโว้ ให้เด็กนักเรียนบนรถบัสคันเหลืองๆ ได้ร้องตามกันเป็นแถว ใครว่าหนูน่ารักไปก็ช่าง แต่เพลงป็อปใสๆแบบนี้จะหาได้ที่ไหนในยุคนี้อีกเล่าว่าไหม ไหนจะลงสังเวียนป็อปแล้วก็ต้องทำเพลงแบบป็อปสุดๆให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยน้องเอ้ย!

เเรงดีไม่มีตกต้องยกให้คนนี้เค้าจริงๆ สำหรับ Azealia Banks แร็พเปอร์สาวหน้าใหม่วัยเพียงยี่สิบปีคนนี้  ที่หลังจากไปโผล่ทัวร์ตามเทศกาลดนตรีต่างๆมาตั้งแต่ต้นปี ล่าสุดเพิ่งออกเพลงใหม่อย่าง Liquorice ที่แค่ซิงเกิ้ลอย่างเป็นทางการเพลงแรกก็ทำเอานิกกี้มินาจต้องหนาวๆ ร้อนๆ ซะแล้ว เพราะอาซีเลียเธอทั้งเด็กกว่า ก๋ากั่นกว่า มีระดับกว่า และที่สำคัญพี่แกแร็พหูดับตับไหม้ชนิดไม่เว้นช่องไฟไว้ให้หายใจ ของเขาขลังชนิดที่ว่าหลับตาไปก็นึกว่ารุ่นใหญ่อย่างป้าอึ่ง Missy Elliot ไม่ก็ Lil'Kim มาแร็พซะเอง สำหรับซิงเกิ้ลนี้ก็ทำออกมาได้อย่างมีสไตล์ด้วยการยำเอาดนตรีเฮาส์ยุค 90's ชวนขยับกับบีทตึ๊บๆมาชนกับไรห์มแร็พของอาซีเลียได้อย่างลงตัว แถมเอ็มวียังเก๋กว่าตรงที่ได้ Rankin ผู้กำกับสายแฟชั่นสุดเนี้ยบจากอังกฤษที่แปลงโฉมจากเด็กสลัมฮาร์เล็มนิวยอร์กเป็นคาวเกิรล์มาดดุ ดูดีทุกอย่างตั้งแต่แฟชั่นเสื้อผ้าหน้าผมไปจนถึงไส้กรอกเลยทีเดียว ...ยังไงดีสู้ไหมจ๊ะนิกกี้?

ส่วนตัว EP ที่ออกมาก็ดูเหมือนจะเป็นที่นิยมชมชอบของเหล่านักวิจารณ์เหมือนกัน โดยอีพีนี้มีนามว่า 1991 อันเป็นปีเกิดของเธอเอง เดาว่านี่อาจจะเป็นที่มาของซาวน์เฮ้าส์ย้อนยุคสุดไฉไลอันจะบอกเป็นนัยว่าชั้นเด็กไนน์ตี้นะจ๊ะ ในอีพีนอกจากจะมี Liqourice แล้วก็ยังมี 212 ซิงเกิ้ลแรกที่ออกมาให้ได้ฟังไปก่อนแล้วและเพื่อนของมันอีกสองเพลงคือ Van Vogue และไตเติ้ลแทร็ก 1991 ที่ชวนขยับแข้งขยับขาไม่แพ้กัน ฟังที่ไรเป็นอันเสพติดเปิดฟังแล้วฟังอีกทุกที จะว่าอะไรก็ดีมีแววไปได้ไกล แต่ทำไมไม่ออกอัลบั้มเต็มซักทีเพราะในนี้มันมีแค่สี่เพลงงงง!!!

  Azealia Banks - 1991 EP by Interscope Records

Monday, June 18, 2012

Fruity Review #2



Usher
Looking For Myself
8/10

ดูเหมือนคติฝรั่งที่ว่า "ไม่เสียอย่าซ่อม" จะไม่ใช่คติประจำใจของอัชเชอร์อย่างแน่นอน เพราะหลังจาก Raymond V. Raymond อัลบั้มก่อนหน้าที่ขายดิบขายดีขึ้นอันดับหนึ่ง แถมยังคว้า Grammy สาขาอัลบั้มอาร์แอนด์บียอดเยี่ยมมาการันตีตอกย้ำความสำเร็จครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดสิบเจ็ดปีในวงการดนตรีก็ดูเหมือนอัชเชอร์ไม่จำเป็นจะต้องเบนเข็ม ทำเพลงเอาใจกระแส หาโปรดิวเซอร์ตลาดๆมาเขียนเพลงอย่าง OMG กันคนละสองสามเพลงก็คงอยู่ได้ แต่เราก็ต้องหงายเงิบเมื่อได้ฟัง Climax เป็นครั้งแรก ด้วยความปลื้มอกปลิ้มใจที่เฮียแกยังไม่ลืมเสน่ห์แบบอาร์แอนด์บีแท้ๆในอัลบั้มตำนานอย่าง Confessions เอาไว้ ในขณะเดียวกันถึงแม้ว่าจะไม่มีอะไรเสีย แต่อัชเชอร์ยังคงเดินหน้าซ่อมแซมสรรหาดนตรีแนวต่างๆเข้ามาผสมโรงกับอาร์แอนด์บีต้นตำรับของเขาได้ตั้งแต่ Dubstep ไปจนถึง Motown ทั้งหมดนี้มารวมกันอยู่ในอัลบั้มใหม่ล่าสุดของเขาที่มีชื่อว่า Looking For Myself ที่เพิ่งออกวางแผงให้จับจองกันเมื่อต้นเดือนนี้ แน่นอนการก้าวไปอีกขั้นหนึ่งของอัชเชอร์ ผู้ที่ ณ เวลานี้จะเป็นรองก็แต่ไมเคิล แจ็คสันคนเดียวเท่านั้น จะต้องเป็นที่น่าจับตามองที่สุดเสมอ สำหรับศิลปินที่มาไกลได้ขนาดนี้จะทำแนวเพลงเหยียบเรือทีละกี่แคมก็ทำได้ตามอำเภอใจ แต่คำถามต่อไปคือจะหาจุดลงตัวเจอไหมเท่านั้น

Looking For Myself ยกโขยงก๊วนเพื่อนหรรษาทั้งหน้าเก่าหน้าใหม่ตั้งแต่ will.i.am, Diplo, Rico Love, Swedish House Mafia ไปจนถึง Pharrell Williams แต่ละคนล้วนเป็นโปรดิวเซอร์แถวหน้าที่นักฟังเพลงอย่างเราๆรู้จักกันดี เป็นการการันตีคุณภาพไปแล้วกว่าครึ่ง อัลบั้มเปิดด้วย Can't Stop Won't Stop เพลงป็อปแบบบอยแบ๊นบอยแบนด์ ที่ต้องบอกตรงๆว่ายังทำคะแนนได้ศูนย์แต้มสำหรับแทร็คเปิด เพราะเราฟังเพลงแบบนี้จากอัชเชอร์เป็นครั้งที่พันล้านแล้วร้ายกว่าตรงที่มันมาพร้อมกับออโต้ทูนหนวกหูด้วย ต่อด้วย Scream ที่เพิ่งตัดซิงเกิ้ลออกมาให้ได้ฟังไป สำหรับเพลงนี้เป็นอีกหนึ่งสูตรสำเร็จตามสไตล์ DJ Got Us Felling in Love ที่เตรียมตัวรอฟังได้ตามคลับแถวบ้านคุณ Climax และ What Happened To You เหมาะมากสำหรับคนที่ไม่ชอบงานกระแสหลักเพราะสองแทร็คนี้ hipster-friendly มาก ทั้งแนวทั้งเพราะ อาศัยซินธ์น้อยๆจังหว่ะกลางๆ และเนื้อเพลงเซ็กซี่ในเสียงร้องฟอลเซตโต้ของเฮียแก แค่นี้ลงตัวแล้วจริงๆ Twisted ผลงานของฟาเรล วิลเลียมส์ ดีเด่นด้วยเพอร์คัชชั่นฉิ่งฉับนำร่องไปสู่บรรยากาศดนตรีโมทาวน์ย้อนยุคตามสไตล์นายฟาเรลนั้นแหละ Lemme See อัชเชอร์กลับสู่รากดนตรีฮิปฮอปอีกครั้ง วูบแรกฟังดูคล้าย Motivation ของ Kelly Rowland แม้จะเซ็กซี่พอกันแต่ทะลึ่งตึงตังกว่าเห็นๆ และสองแทร็คที่ถูกจับตามองที่สุดคือที่แปะป้าย Swedish House Mafia สามดีเจที่ฮ็อตที่สุดปีนี้นั้นคือ Numb และ Euphoria สำหรับเพลงแรกนั้นเป็นลูกครึ่งเทคโนป็อปแนวให้กำลังใจชีวิต แต่เดี๊ยวนะพี่ หวานแหววขนาดนี้นึกภาพยัยสิงโต Leona Lewis ร้องยังจะเข้าท่ากว่าอีกนะ ส่วน Euphoria นั้นคล้าย Numb แตกต่างกันตรงที่หนักกว่า โหดกว่า ไม่มีการประณีประนอมใดๆทั้งสิ้น ตัวเพลงเล่าเรื่องแนวโพรเกรสซีฟค่อยๆเป็นค่อยๆไป ก่อนจะตลบหลังด้วยท่อนฮุค เหมือนถูกพายุคลื่นเสียงโหมพัดถล่มอย่างหนัก ก่อนจะเว้นจังหวะไว้หายใจเป็นระลอกแล้วย้ำด้วยท่อนเดิมที่หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ เป็นการปิดอัลบั้มอย่างสมเกียรติ์ เป็นสิบสี่แทร็คที่ครบรสชาติความมันแบบเก็บครบทุกเม็ด

ถึงเวลาตอบคำถามว่าในอัลบั้มนี้อัชเชอร์สามารถหาจุดลงตัวเจอไหม? ผมเชื่อว่าคำตอบคงเป็นเอกฉันท์ถ้าหากตั้งใจฟังอัลบั้มนี้ครบสิบสี่เพลง จุดแข็งที่ชัดเจนที่สุดก็คือเสียงร้องเพราะไม่ว่าจะไปคว้าโปรดิวเซอร์ปราบเซียนแค่ไหนก็ไม่มีหลุดปล่อยให้อย่างอื่นเด่นกว่าได้เลย เมื่อไหร่เราได้ยินเสียงแบบนี้จะรู้ทันทีว่าเนี่ยแหละมันคืออัชเชอร์เท่านั้น อีกอย่างเราจะได้เห็นการเดินทางหาตัวเองด้วยการก้าวเข้าไปในพรมแดนของดนตรีต่างๆอย่างละนิดละหน่อยในขณะที่ยังคงทรงตัวอยู่บนมาตรฐานสูงเสียดฟ้าของเขาได้ เขาว่าอัชเชอร์ลูกก็สองแล้ว อายุก็ปาไปเท่านี้ตั้งชื่ออัลบั้มแบบนี้จะดีเหรอ Looking For Myself ในความคิดของผมมันไม่ใช่การหาตัวเอง แต่คือการไม่ย่ำอยู่กับที่ ลองของใหม่ และก้าวต่อไปเสมอ ซึ่งนั้นเป็นคงเป็นหลักพื้นฐานสำคัญสำหรับคนทำงานสร้างสรรค์ไม่ว่าจะแขนงไหน ท้ายที่สุดสำหรับนักฟังเพลงอย่างเราๆ Looking For Myself ก็เป็นอัลบั้มอาร์แอนด์บีสนุกๆที่ฟังง่าย หลากหลาย ขายได้ และก็ยังคงยึดเหนี่ยวกับเอกลักษณ์ส่วนตัวไว้ได้ดี



Sunday, June 17, 2012

ฟังอะไรกัน?

ถ้าเปรียบดนตรีเป็นอาหาร ช่วงเดือนกว่าที่หายหน้าหายตาไปคงเป็นการกินเพื่ออยู่ซะมากกว่า ร้ายกว่าตรงที่เป็นอาหารฟาสต์ฟู้ดขาดแคลนคุณค่าทางโภชนาการไปซะส่วนใหญ่ เพราะด้วยความยุ่งจึงต้องอาศัยฟังเพลงแบบสุกเอาเผากินตาม 8tracks ไปวันๆเลยรู้สึกเหมือนหลุดออกจากวงการดนตรีไปพักใหญ่ เลิกแก้ตัวดีกว่า เพราะไม่ว่ายังไงฟรุตตี้สปูนก็จะยังตามราวีคุณไม่ไปไหนโดยเฉพาะวันนี้วันดีได้กลับมาอัพเดตดนตรีใหม่ๆอีกครั้งในรอบหลายเดือนก็เลยอยากขอโอกาสนี้มาแก้ตัวเนียนๆด้วยการเอาแทร็คและอัลบั้มเล็กๆ น้อยๆ ที่คอยมาวนเวียนอยู่ในชีวิตตอนนี้มาเล่าให้ฟังแล้วกัน


Kylie Minogue - Timebomb - พูดถึงแทร็คนี้ตอนนี้ทุกคนคงได้ฟังกันตามคลื่นวิทยุให้หายคิดถึงไปนานแล้ว สำหรับซิงเกิ้ลใหม่ของน้าไข่นี้เป็นการหยั่งเสียงทายกระแสสำหรับอัลบั้มรวมฮิตชุดที่แปดล้านของน้าที่เพิ่งวางแผงไปไม่นานมานี้ กลับมาคราวนี้ก็อยู่ในวงการไปยี่สิบห้าปี ปาเข้าไปสี่สิบสี่กะรัตซะแล้วซิ แต่ Sex Appeal ยังคงพุ่งพรวดขึ้นเรื่อยๆ ไม่แพ้เพลงระเบิดเวลานี้เองที่ลดความหวือหวาแพรวพราวสาวแตก เปลี่ยนไปจับเพลงจังหวะกลางๆพร้อมเสียงกีตาร์ไฟฟ้าและแจ็กเก็ตหนังให้แมนขึ้นเล็กน้อย ราวกับเป็นการเซ็นอนุมัติอย่างเป็นทางการจากน้าให้เปิดเพลงนี้ในที่อื่นนอกจากคลับเกย์ได้ โดยรวมแล้วก็เป็นเพลงที่ติดหูมากเลยทีเดียว แม้บางครั้งเพลงจะจบเร็วเกินไปแต่ก็ไม่เป็นไรจะได้เปิดฟังได้ทีละหลายๆครั้ง ยังไงก็จะรอรวมฮิตนะ รักน้าเสมอ



Will Young - I Just Want a Lover - คำพูดมิอาจบรรยายความปลื้มปิติที่ได้เห็น I Just Want a Lover เพลงเด็ดจากอัลบั้มสุดโปรดของผมอย่าง Echoesได้เป็นตัวเป็นตนกับเขาซักที ส่วนเอ็มวีก็สุดจะบรรยายไม่แพ้กัน กับความรู้สึกก้ำกึ่งไม่รู้ว่าอยากจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เพราะคราวนี้หนุ่มวิลรับบทเป็นเสมียนซูเปอร์มาเก็ตผู้โดดเดี่ยวที่ถูกความเหงาครอบงำให้หน้ามืดตามัวไปคว้ารถเข็นมามโนว่าเป็นศรีภรรยาเสียนี่! อย่ากระนั้นเลยชีวิตไม่มีเวลาให้รีรอ ว่าแล้วพี่แกก็ออกลีลาแทงโก้กับรถเข็นอย่างเผ็ดร้อนในดนตรี Nu-Disco เก๋ไก๋ เรื่องความคิดสร้างสรรค์ก็ยังคงไอเดียกระฉูดไม่แพ้เพลงอื่นๆของเขาในยุคนี้ไม่ว่าจะเป็น Losing Myself หรือ Jealousy เลย ... ไม่ผิดใช่ไหมที่จะเทียบว่าครั้งหนึ่งวิล ยังผู้โด่งดังจากรายการ Pop Idol บัดนี้มาเป็นพนักงาน Tesco นี่มันช่างใกล้เคียงสถานะทางชื่อเสียงบางอย่างบนโลกดนตรีของหนุ่มคนนี้อย่างบอกไม่ถูก ... UK Official Charts หนอเมินกันได้ลงคอ มีตาหามีแววไม่!  


Melody Thornton - Bulletproof - โปรโมทมาได้ซักพักแล้วสำหรับอัลบั้มเดี่ยวกับค่ายเล็กๆของเมโลดี้ ธอร์นตัน อดีตสมาชิกวง The Pussycat Dolls ที่ล่าสุดได้เปลี่ยน Bulletproof เพลงซินธ์ป็อปสุดจี๊ดของ La Roux หัวหลิมเมื่อปี 2009 ให้กลายเป็นบัลลาดเชื่องช้าว่าหัวใจกันกระสุนนี้จะไม่ยอมให้เธอมาทำให้อารมณ์เสียอีก ข้อแรกคือเป็นการพลิกโฉมหน้าเพลงต้นฉบับแบบจำไม่ได้ แต่ข้อสำคัญมันคือการพลิกภาพลักษณ์เธอไปอย่างกู่ไม่กลับ ข้อแนะนำเดียวสำหรับคนที่ฟังอัลบั้ม P.O.Y.B.L หรือ Piss on your Black List ของสาวเมโลดี้คือต้องลืมผู้หญิงผิวน้ำผึ้งเสียงแหลมตัวเล็กๆคนนั้นให้หมด เพราะเธอย้ำนักย้ำหนาว่าครั้งนี้เธออยากจะเป็นแบบไอดอล Tina Turner ส่วนเพลงในอัลบั้มก็ไม่มีการทิ้งคราบเพลงป็อปสไตล์ตุ๊กตาจิ๋มแมวไว้ดูต่างหน้า เพราะเต็มไปด้วยซาวน์แบบคนดำ อึมครึมและดนตรีทั้งฟังก์ทั้งโซลจัดหนักจัดเต็มทั้งเสียงทั้งซาวน์ งานนี้ก็แล้วแต่เราว่าจะเลือกแบบไหน เก่าหรือใหม่ แต่ที่แน่ๆเสียงของเมโลดี้มีดีเป็นไหนๆ ไปเต้นแรงเต้นกาให้ยัยนิโคลมันบดบังรัศมีอยู่ได้ตั้งนานสองนาน ... นั่นไง ว่าจะไม่กัดนิโคลแล้วนะ


Keane - Strangeland (Album) - น่าตกใจเมื่อมานั่งคิดดูว่าผ่านมาแล้วตั้งสี่ปีตั้งแต่อัลบั้มชุดล่าสุดของ Keane ถ้าไม่นับ EP อย่าง Night Train เมื่อสองปีก่อนก็ถือว่านานทีเดียว แม้ว่าจะไม่ได้มีเพลงดังฮ็อตฮิตติดชาร์ตเหมือนเมื่อก่อนแต่กลับรู้สึกว่า Keane ไม่ได้หายไปจากหน้าปัดวิทยุมานานซักเท่าไหร่ จะพูดไปก็กลัวจะหาว่าผู้อ่านที่น่ารักของผมไปอยู่ในถ้ำที่ไหนมา แต่ Strangeland แดนสนธยานี้เป็นอัลบั้มใหม่ของสี่หนุ่มที่เพิ่งออกมาต้นเดือนก่อน และปล่อยมาสองซิงเกิ้ลแรกอย่าง Silenced by the Night และ Disconnected มาให้ฟังกันไปแล้ว ครั้งนี้ดูเหมือนคีนจะเริ่มหาจุดลงตัวของตัวเองเจอแล้วหลังจากไปผจญกับการทดลองทำดนตรีอิเลคโทรป็อปกับ Stuart Price ในอัลบั้ม Perfect Symmetry หรือไปหาร้องคู่กับแร๊ปเปอร์หน้าไหนก็ไม่เวิร์คซักที พี่ทอม แชปลินก็มาตระหนักได้ว่าการให้ความสำคัญกับการแต่งเพลงด้วยเปียโนเรียบง่ายบวกกับน้ำเสียงและเนื้อร้องที่อบอุ่นเหมือนมีพี่ชายที่แสนดีมาร้องเพลงให้ฟังแบบในอัลบั้ม Hopes and Fears เนี้ยแหละลงตัวที่สุด

แถมส่งท้ายให้นิดหน่อยด้วยงานรีมิกซ์แทร็ค Spectrum ของฟลอเรนซ์และเครื่องจักร ฝีมือดีเจหนุ่ม Calvin Harris คนโปรดของวงการ จากเพลงแม่มดเคลติกกลายเป็นคลับแทร็กสนุกๆ ตอแหลกว่าเดิมเป็นไหนๆ

Wednesday, May 2, 2012

Fruity Spoon's Top 10 Sexiest Songs on Earth!!

สวัสดีครับทุกคน อากาศเมืองไทยร้อนขึ้นทุกวันแบบนี้เป็นโอกาสอันดีสำหรับ Fruity Spoon ที่จะได้ทำตัวเหมือนเหล่าแม็กกาซีนตามแผงทั้งหลายที่ชอบกลั่นแกล้งคนขี้ร้อน ให้นอกจากร้อนกายจนเหงื่อแตกท่วมแล้วยังจะให้มันร้อนข้างในให้ซาบซ่านสาดกระเซ็นกันเข้าไปอีก ด้วย 10 อันดับเพลงสุดเซ็กซี่ที่คัดมาแล้วทั้งชายหญิง ไม่ว่าจะร็อคหรือป็อป จากทุกยุค ทุกเพลงที่ผมเคยฟังแล้วคิดว่ามันเซ็กซี่เข้าขั้นก็กวาดมารวมกันให้หมด เตรียมคัตตั้นบัดคันหูไว้เลยเพราะมันเป็นอะไรที่เซ็กซี่ที่สุดในโลกกกกกกก!!


อันดับที่ 10 : Arctic Monkeys - Suck It and See



ยอมรับมาซะดีๆว่าคุณก็เป็นหนึ่งคนที่แอบมีแฟนตาซีถึงการใช้ชีวิตโลดโผน สุดเหวี่ยง ไม่ต้องเกรงใจใครหน้าไหนอีกต่อไป ถ้าคุณเป็นหนึ่งในนั้น ขอแนะนำ Suck It And See เพลงนี้เลยครับ มันคือ Teenage Dream แห่งโลกร็อคแอนด์โรลที่พร้อมจะลดทอนภาระหนักอึ้งบนโลกนี้ให้เหลือเพียงคุณกับคนรักที่ไม่ว่าเธอจะทำอะไรก็สวยงาม น่าเทิดทูนบูชาไปซะหมด เอ็มวีเพลงนี้ได้ Matt Helders พ่อหนุ่มมือกลองของวงมารับบทสิงห์มอเตอร์ไซค์สุดเท่ห์ ที่ไม่ว่าจะยิ่งใหญ่มาจากไหนก็ต้องหงอเป็นแมวน้อยให้กับแฟนสาวนางแบบสุดเซ็กซี่ ใช้ชีวิตกันอย่างสุดสวิงกับเซ็กซ์และความบ้าระห่ำแบบระเบิดเถิดเทิง ถามจริงๆชีวิตนี้จะต้องการอะไรอีก

อันดับที่ 9 : Janet Jackson - I Get So Lonely



อันดับเก้าเปลี่ยนอารมณ์มาย้อนกลับไปสมัยยุคท็อปฟอร์มของเจเน็ท แจ็คสัน กันบ้างดีกว่า I Get So Lonely นี้เป็นอาร์แอนด์บีบัลลาดเบาๆที่ถ้าเปรียบเป็นเบียร์ก็คงเป็นประเภทที่มีฟองละเลียดชวนให้ลิ้มลอง แต่เมื่อได้สัมผัสก็ต้องติดใจในความเข้มข้นเต็มเม็ดเต็มหน่วยของมัน เพราะเสน่ห์ความเซ็กซี่นั้นอยู่ที่เนื้อเพลงเพลงนี้เต็มไปด้วยแรงปรารถนาที่ไม่มีวันสมหวัง ความอ้างว้างรอวันให้ใครซักคนมาเติมเต็ม นานวันยิ่งพอกพูนหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ส่วนเอ็มวีก็ไม่มีอะไรนอกจากเจเน็ท เต้น เต้น และก็เต้นจนอะไรที่มันคับอกคับใจมันระเบิดออกมาเท่านั้นเอง

อันดับที่ 8 : The Weeknd - What You Need



อันดับแปดปรับอุณหภูมิขึ้นอีกหน่อยแต่ยังคงอยู่กับอาร์แอนด์บีเหมือนเดิมกับ What You Need ของศิลปินหนุ่มจากแคนาดาในนาม The Weeknd ที่เมื่อปีที่แล้วได้มีผลงานอัลบั้ม House of Balloons ที่เต็มไปด้วยเพลงเซ็กซี่ปรอทแตกแบบนี้เต็มไปหมด จะให้หยิบที่ฮ็อทที่สุดก็คงเป็นเพลงนี้ ที่เปิดขึ้นมาด้วยจังหวะเนิบนาบ เสียงลมหายใจแผ่วเบาสลับกับบีทเชื่องช้า ตามด้วยเสียงร้องสุดรัญจวนของนาย Abel ที่คอยพร่ำบอกว่าไอ้หมอนั้นมันคือสิ่งที่คุณต้องการ แต่ผมต่างหากคือสิ่งที่คุณปรารถนา ฟังแล้วถูกใจสาวสองใจอยากเก็บเธอไว้ทั้งสองคนกันหรือเปล่า

อันดับที่ 7 : The Kills - U R A Fever



สำหรับอันดับเจ็ดนี่จะอธิบายยังไงได้ในเมื่ออย่างเดียวที่ผมคิดคือ สิ่งนี้มันคือการเสพย์สังวาสทางดนตรีชัดๆ !! ถึงแม้เนื้อเพลงจะฟังแทบไม่ได้ศัพท์ว่าจะสื่ออะไรกันแน่ แต่จะคิดเป็นอะไรไปได้ เพราะนอกจากเสียงโทรศัพท์ลอยไปมา กับกีตาร์ที่แผดเข้ามาเป็นระยะ มันก็มีแต่การผลัดกันกระซิบกระซาบกันระหว่างชายหญิง คนละนิดละหน่อยสลับกันอย่างเร่าร้อนระหว่างนักร้องนำสาวสุดกรันจ์ที่เปี่ยมไปด้วยเซ็กซ์แอพพีลอย่าง Alison Mosshart กับนาย  Jimmy Hince มือกีตาร์หนึ่งเดียวในวง ที่ป่านนี้คงได้ไปนอนร้องเพลงนี้กับเคทมอสแฟนสาวของเขากันสองต่อสองไปนานแล้ว

อันดับที่ 6 : Robin Thicke - Sex Therapy



จะว่าไปหน้าที่หลักของ Robin Thicke ในวงการดนตรีทุกวันนี้ก็คือการตั้งหน้าตั้งตาทำเพลงเซ็กซี่ปรอทแตกออกมาหว่านเสน่ห์หนุ่มสาวจนกระเจิดกระเจิงกันให้รู้แล้วรู้รอดไป นั่นละคืองานของเขา และดูเหมือนจะทำสำเร็จมาตลอดซะด้วย เพราะไม่ว่าจะหลับตาจิ้มซักกี่อัลบั้มของพ่อยอดชายก็คนนี้ ประเด็นหลักมันก็ไม่ยอมเลื้อยลงมาจากเตียงซักที สำหรับเพลงนี้พี่ร็อบบินแกก็ขี่โรลส์รอยซ์คันโก้มาขออาสาเสนอวิธีการเซ็กส์บำบัดด้วยเพลงประมาณว่า ถ้าอยากร้องก็ร้องได้นะครับ ไม่ต้องกลัวผมนะครับ ผมจะบำบัดให้เอง เอิ่มใครสนใจอยากจะเข้าทรีตเม้นต์นี้ก็อย่าลืมขออนุญาติ Paula Patton ศรีภรรยาของเขาก่อนนะครับ



อันดับที่ 5 : Donna Summer - Love To Love You Baby



มาถึงครึ่งทางอันดับห้าผมขอพาคุณย้อนยุคกลับไปฟังเพลงที่โด่งดังและเซ็กซี่ที่สุดในยุค 70s กันครับสำหรับเพลงนี้ถ้าใครไม่คุ้นให้นึกถึงท่อนนึงในเพลง Naughty Girl ของบียอนเซ่ก็คงจะนึกออก ส่วน Love To Love You Baby ของราชินีเพลงดิสโก้ Donna Summer ที่ผมเอามาแปะนี้เป็นเวอร์ชั่นเต็มสิบเจ็ดนาทีที่จะพาคุณล่องลอยชวนฝันไปกับเมโลดี้จากคีย์บอร์ดย้อนยุค เบสไลน์ดิสโก้ และที่สำคัญเสียงของดอนน่าที่ในสมัยนั้นหลายคนคุยกันให้แซ่ดว่าเธอทำอะไรอยู่ในขณะอัดเพลง? ไม่ใช่อย่างที่คิดใช่ไหม? จะจริงหรือไม่อันนี้ต้องสัมผัสเอง แต่บอกไว้ก่อนว่าเพลงนี้ฟังๆไปมันมีถึงจุดสุดยอดด้วยนะ เอากับมันซิ

อันดับที่ 4 : The Stooges - I Wanna Be Your Dog



อันดับสี่เราก็ยังไม่หนียุค 70s ไปไหนเเต่ขอสลับกลับมาที่ฝั่งร็อคกันบ้าง เป็นอีกหนึ่งเพลงที่มีคนเอากลับมาคัฟเวอร์กันซ้ำแล้วซ้ำเล่าตั้งแต่ Joan Jett ไปจนถึง Futon วงเก่าพี่จีนกษิดิษฐ์ก็มีเอี่ยวกับเขาด้วย สำหรับ I Wanna Be Your Dog ของ The Stooges นี้ถ้ามันคือ Sexual Fantasy มันก็จะต้องจัดอยู่ในหมวด Hardcore อย่างไม่ต้องสงสัย ลืมความนุ่มนวลชวนฝันไปให้หมดเพราะมันจะเหลือแต่ความดิบ เถื่อน โหดล้วนๆ ตั้งแต่กีตาร์ตอนอินโทร เสียงร้องหยาบๆของ Iggy Pop ที่พาจินตนาการคุณไปถึงไหนต่อไหน (ได้โปรดจินตนาการเขาตอนหนุ่ม) จึงไม่แปลกที่เพลงนี้มักถูกจัดอยู่อันดับต้นๆในลิสต์เพลงประเภท Sexy, Striptease อะไรเทือกนี้อยู่เสมอ

อันดับที่ 3 : Britney Spears - Breathe On Me



เพลงนี้ไม่ต้องอาศัยเอ็มวีหรือการตัดเป็นซิงเกิ้ลโด่งดังใดๆทั้งสิ้นก็เข้าตาขึ้นมาอยู่อันดับสามของผมได้ Breathe On Me เป็นเพลงเล็กๆที่ซ่อนอยู่ในอัลบั้ม In The Zone ของหนูหอกบริทนีย์เมื่อสมัยปี 2003 นู้น ร้อนๆแบบนี้บริทนีย์เธอไม่ได้ขออะไรมาก ขอเพียงแค่คุณหายใจรดลงมาบนตัวฉันเบาๆซิคะ แล้วฉันจะดับร้อนให้เอง ส่วนที่เหลือก็ไปจินตนาการกันเองครับ -- ผมไม่คิดว่าจะอะไรเหมาะกับเสียงร้องประเภทลิ้นจุกปากของนังหอกมากไปกว่าซาวน์กึ่ง Trip-Hop ลอยๆ กับเนื้อร้องเย้ายวนไปมากกว่านี้แล้ว มันเลยกลายเป็นเพลงที่ผมคิดว่าเซ็กซี่มีชั้นเชิงที่สุดของบริทนีย์ไปโดยปริยาย คิดแล้วก็อยากจะจับนังหอกมานั่งฟังเพลงเก่าๆที่ตัวเคยร้องจังจะได้เรียนรู้จากประสบการณ์เอาไปปรับใช้กับปัจจุบันบ้าง

อันดับที่ 2 : Serge Gainsbourg & Jane Birkin - Je T'aime Moi Non Plus



เกือบแล้วครับ เกือบจะอันดับหนึ่งแล้ว มาต่อที่อันดับสองคราวนี้ไปฟังเพลงในภาษาที่เซ็กซี่ที่สุดระดับโลกกันครับ มันคือภาษาฝรั่งเศสนั้นเอง ภาษาที่ถ้าคุณแค่พูดว่า I Love You มันจะแปลว่าฉันอยากจะกลืนกินคุณไปทั้งตัว เพลงนี้ของหนุ่มสุดแสบ (และฉาว) Serge Gainbourg นั้นว่ากันว่าแรงจนถูกแบนทั่วยุโรปในสมัยนั้น โดยเพลงนี้ดั้งเดิมแล้วแต่งขึ้นมาเพื่อร้องกับแฟนสาว Brigitte Bardot ดาราเซ็กซ์บอมบ์ของฝรั่งเศสในยุคนั้น วันดีคืนดีก็ต้องมาเลิกรากันเสียก่อนจนได้มาได้ร้องคู่กับ Jane Birkin ภรรยาคนใหม่ของเขา (ใช่แล้ว Birkin นี่แหละที่มาของกระเป๋า Birkin ของ Hermes ครับ) ส่วนเขาร้องว่าอะไรนี่ผมก็คร้านจะเปิดดิกครับ แต่ยังไงมันก็รัญจวนใจเหลือเกินอยู่ดี

อันดับที่ 1 : Madonna - Justify My Love



อันดับหนึ่งแน่นอนครับ คงไม่มีใครพูดถึงความเซ็กซี่โดยไม่เอ่ยชื่อ Madonna ได้ Justify My Love ตอบโจทย์ที่สุดเพราะมันคือเพลงที่ว่าด้วย Sexual Fantasy โดยตรง ในเพลงนี้เจ๊แม่เดินดุ่มๆแบกกระเป๋าราคะหนักอึ้งไปตามทางเดินจนจู่ๆก็ลากชายหนุ่มหน้ามนที่ไหนไม่รู้ลากเข้าห้องไป ระหว่างนั้นเราจะได้ยินเสียงกระเส่าในเนื้อเพลงที่แทบจะไม่ได้เป็นเพลงด้วยซ้ำ กับเสียงผู้ชายในท่อนคอรัสนั้นคือเสียงของเซียนกีตาร์ Lenny Kravitz ที่ในขณะนั้นเจ๊แม่ก็เป็นข่าวกับเขาอยู่ -- มาดอนน่าทั้งถูกแบน ถูกกำหนดเวลาฉาย และถูกวิพากษ์วิจารณ์โจมตีอย่างหนัก แต่ท้ายที่สุดมาดอนน่าคือผู้หญิงที่เปิดหน้าต่างให้กับศิลปินหญิงรุ่นหลังให้สามารถพูดถึงเรื่องความปรารถนาทางเพศบนสื่อกระแสหลักได้อย่างเสรีเหมือนทุกวันนี้ เธอคือคนที่ยืดอกบอกว่าทำไมล่ะ ฉันก็มีหัวใจไม่ต่างจากผู้ชายเท่าไหร่หรอก และดนตรีป็อปก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

Monday, April 30, 2012

Premier: Where Have You Been - Rihanna



Where have you been ? คงเป็นประโยคคำถามที่แฟนห่านอยากจะร้องใส่ดังๆว่าหล่อนหายไปไหนมา เพราะหลังจากที่ We Found Love ดังระเบิดเป็นเพลงชาติไปเมื่อปีที่แล้วอัลบั้ม Talk That Talk ก็ทำท่าว่าจะไม่รอด อย่ากระนั้นเลย ก่อนถูกครหาว่าเป็น Single Artist ดังเป็นเพลงๆ ก่อนกระแสจะถูกกลบ ก่อนคนจะเริ่มทึกทักว่าห่านจะลอยแพอัลบั้มนี้ไปแล้วรึเปล่า นางจระเข้สาวก็เลื้อยขึ้นบกกลับมาทวงศักดิ์ศรีคืนทันทีด้วยการงัดแทร็คที่ถูกขอมาทางคลื่นวิทยุอย่างล้นหลามเพลงนี้ขึ้นมาเป็นซิงเกิ้ลมันซะเลย -- สิ่งหนึ่งที่ห่านสู้ไม่เคยถอยก็คือเรื่องเอ็มวี เพลงนี้ก็อีกเช่นกันที่เธอลงทุนจำแลงกายสารพัดสรรพสัตว๋์ตั้งครึ่งบกครึ่งน้ำบ้าง นอนในรังนกบ้าง เป็นเจ้าแม่พันมืออะไรต่อมิอะไร แต่ท้ายที่สุดก็หนีไม่ค่อยพ้นสิ่งที่เคยทำๆไปในเอ็มวีก่อนๆอย่าง Disturbia เท่าไหร่ แต่สิ่งที่พาวเวอร์อัพเพลงนี้จริงๆคือสเต็ปหน้ากระดานเป๊ะๆที่เป็นที่เห็นบ่อยๆเมื่อทศวรรษที่แล้ว อาจมีภาพ Together Again ของป้าบาบูนเจเน็ทวิ่งเข้ามาแทรกเป็นระยะ แต่ก็นับเป็นทิศทางใหม่สำหรับรีฮานน่าผู้พยายามจะเซ็กซี่เท่าไหร่ก็ไม่สำเร็จซักที หันไปเอาดีแนวเต้นก็ดีเหมือนกันนะห่าน -- งานนี้จะเปรี้ยงไม่เปรี้ยงมารอดูกันครับ

Saturday, April 28, 2012


ใบประกาศทำไว้เล่นๆครับ แต่หายจริง เป็นหนึ่งในต้นเหตุความหมดอาลัยตายอยากช่วงนี้ครับ

Tuesday, April 24, 2012

Wiz Khalifa เตรียมปล่อย "Work Hard, Play Hard"

Work Hard Play Hard by Atlantic Records

ปกติไม่ได้อะไรมากกับแร๊ปเปอร์นายนี้ซักเท่าไหร่ แต่พอมาเจอบีทฮิปฮ็อปชัดๆ หนักๆ สลับกับท่อนฮุคป็อปผสมซินธ์เท่ๆใน "Work Hard, Play Hard" ที่เตรียมตัวจะปล่อยเป็นซิงเกิ้ลใหม่ของ Wiz Khalifa เข้าไปแล้วถึงกับต้องรีบหันขวับมาจดจ่อกับเพลงนี้ทันที ตลกดี นานๆทีจะได้เจอเพลงแร็พรู้จักหน้าที่ ไล่ไปทำงานทำการให้เสร็จก่อนแล้วค่อยมา Play Hard ด้วยกัน --- สำหรับวีดีโอเพลงนี้คาดว่าคงอีกไม่นาน ส่วนอัลบั้มใหม่ที่ชื่อว่า "O.N.I.F.C" ซึ่งเป็นอัลบั้มที่สองของนายคนนี้ กว่าจะปล่อยก็จนกว่าจะเสร็จทัวร์กับ Mac Miller ก็กลางเดือนสิงหานู้น  เริ่มส่อเค้าไปในทางที่ดีก็น่าจะคุ้มการรอคอยนะครับ

ไหนๆ วันนี้ก็มาทางฮิปฮอปแล้วก็ขอว่าต่ออีกเรื่องนึงเลยแล้วกัน จากวันก่อนที่มีข่าวว่า Dr.Dre กับ Snoop Dogg จะเอาโฮโลแกรม Tupac มาออกทัวร์นั้น สัปดาห์นี้ป๋าเดรแกออกมาประกาศแล้วว่า ... เป็นข่าวลือครับ หาใช่ความจริงแต่อย่างใด โดยเดรทำคลิปสั้นๆห้าสิบกว่าวินาทีฝากมาบอกว่า โฮโลแกรมในงานนั้นทำขึ้นมาเฉพาะสำหรับ Coachella ให้หายคิดถึงและอึ้งนิดหน่อยเท่านั้น ยังไม่คิดถึงขั้นจะเอาคนตายมาหากินหรอกคร้าบ

Friday, April 20, 2012




หากใครแวะเวียนไปใน Youtube ช่วงนี้ก็คงคุ้นหน้าคุ้นตากับสาวผิวแทนผมบลอนด์ในชุดหน้ากากบันนี่ที่มักจะมาเสนอหน้าให้เห็นริมขอบวิดีโออยู่เนืองๆ แถมยังมาพร้อมคำโปรยว่าเธอเซ็นสัญญาเป็นศิลปินค่าย Roc Nation ด้วยการโทรไปร้องเพลงให้ Jay-Z ฟังเพียงครั้งเดียว! อะไรยังไง Rita Ora คนนี้นี่คือใครกันหนอ อ้อ! เธอก็คือนักร้องเชื้อสายอัลเบเนีย วัย 21 ปี โตที่ลอนดอนแล้วบินข้ามน้ำข้ามทะเลมาสร้างชื่อเสียงที่อเมริกาเหมือนคนอื่นนั่นแหละครับ แต่ดังชั่วข้ามคืนเหมือนที่ VEVO เยินยอเชิงยัดเยียดนั่นไม่จริงซะทีเดียว สาวโอราเองก็ต้องเริ่มจากการไปปรากฎตัวตามเอ็มวีต่างๆของเจย์ซีบ้าง ของเดรคบ้าง แถมยังต้องแวบเข้าไปแจมตามคอนเสิร์ตต่างๆอีกนับไม่ถ้วน อัลบั้มที่เตรียมจะออกปีนี้ก็ซุ่มทำกันมาตั้งเกือบสองปี จะเก่งขนาดไหนโลกนี้ก็ไม่มีอะไรง่ายขนาดนั้นหรอกครับ

พอจะเริ่มออกตัวแรงก็ถูกค่อนแคะให้ระคายเคืองว่าเป็นตัวสำรองรีฮานน่าบ้าง เป็น copycat บ้าง โอร่าเธอบอกเลยว่าลุ๊คผมบลอนด์ปากแดงและเสื้อผ้ารียูสสไตล์ 90s ที่เธอใส่อยู่นี่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Gwen Stefani ต่างหาก ว่าแต่ R.I.P ซิงเกิ้ลล่าสุดที่ปล่อยออกมานี่มันเป็นเพลงที่รีฮานน่าเขี่ยทิ้งจากอัลบั้ม Loud มิใช่หรือ? ถ้าตัดเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกไปโอราก็มีสุ้มเสียงที่ชนะขาดไปเลย เพราะนอกจากเธอจะมีเทคนิคการร้องแบบโซลแพรวพราวแล้วเธอยังแฝงไปด้วยเสน่ห์แบบ Masculine ที่หลายคนอาจจะต้องหลงรัก (ไม่เชื่อลองแวะมาฟังเธอคัฟเวอร์ Somebody That I Used To Know ดูก่อนสิ) -- น่าเสียดายที่ตลาดเพลงป็อปอเมริกายังต้องอิงกระแสหลัก ไม่สามารถขายเสียงอย่างเดียวเหมือน Jessie J หรือ Adele ได้ ทำให้ Stargate และ Chase and Status ผู้อยู่เบื้องหลังซิงเกิ้ลนี้ก็ต้องเอาจังหวะ Dubstep สุดฮิตเข้ามาดันซิงเกิ้ลแล้วให้เรื่องเสียงร้องเป็นรองไป เธอเลยหมดโอกาสโชว์ความเทพในฐานะซิงเกิ้ลตัวเองตามรายการต่างๆไปโดยปริยาย

แต่ผู้อยู่เบื้องหลังซิงเกิ้ลนี่ตัวจริงก็คือ Nneka ศิลปินจากประเทศไนจีเรียที่ไม่รู้จะดีใจหรือจะเศร้าใจดีที่เพลง Heartbeat ของเธอถูกดึงไปแซมเปิ้ลให้โอร่าโดยดูจากสัดส่วนแล้วเธอน่าจะได้เครดิตมากกว่าคำว่าแซมเปิ้ลด้วยซ้ำนะครับ เอาเป็นว่า Nneka ก็ได้ผลพลอยได้จากตรงนี้ที่ทำให้คนหลายล้านคนแห่กันเข้ามาฟังเพลงนี้ของเธอรวมถึงตัวผมเองด้วย (ขอสารภาพว่าจริงๆผมชอบ Heartbeat มากกว่าโขอยู่) เพราะมันอุดมไปด้วยความดิบๆ บ้านๆ ความตรงไปตรงมาแบบแอฟริกัน รวมถึงเครื่องดนตรีน้อยชิ้น กับท่อนฮุคที่ติดหูกว่ากันเป็นไหนๆ เล่นเอาเพลงของโอร่าดูเป็น "สินค้า" ไปเลย

Thursday, April 19, 2012

Fruity Focus: หนัง Flashdance และ "เพลงนั้น" ของเจโล


ที่ว่า "เพลงนั้น" ก็เพราะว่าหลังจากปล่อยซิงเกิ้ลนี้ออกมาในปี 2003 ก็ลอยหายเข้ากลีบเมฆไปอย่างรวดเร็วไม่ปรากฏหลักฐานการมีตัวตนในชาร์ทตำแหน่งบนๆกับเขาเลย เพลงนั้นก็คือ I'm Glad จากอัลบั้ม This is me...Then ของเจโล เมื่อเกือบสิบปีก่อนนู้น แต่จะได้ตำแหน่งเท่าไหร่ไม่ใช่ประเด็นครับ เรื่องของเรื่องก็อย่างภาพที่เห็นข้างบนครับ มันคือไอเดียบรรเจิดของผู้กำกับสุดเปรี้ยว David Lachapelle ที่เล่าเรื่องราวของเพลงด้วยการขุดเอาหนังเต้นดราม่าสุดคลาสสิกจากยุค 80s อย่าง Flashdance ขึ้นมาปัดฝุ่นใหม่ จับเจโล ยีผมฟูฟ่อง ใส่เครื่องทรงนักเต้นแปลงโฉมให้เป็น Jennifer Beals ในยุคนั้นออกมาเหมือนกันอย่างกับแกะ แถมทั้งฉากทั้งแสง ท่าเต้นที่ถอดแบบออกมาอย่างไม่มีผิดเพี้ยน



สำหรับคนที่เคยดู Flashdance จะรู้ว่ามันคือหนังเต้น รักโรแมนติกสู้เพื่อฝัน ของสาวนางหนึ่งชื่อว่า Alexandra Owens ที่ต้องใช้ชีวิตอย่างลำบากยากเข็ญเพื่อที่จะได้เป็นนัก Jazz Dance กับเขาบ้าง ในขณะที่เช้าก็ต้องไปเป็นกรรมกรก่อสร้าง ตกเย็นก็ต้องเต้นกินรำกินอีก แต่ทั้งนี้ก็เพราะเธอมีแฟนหนุ่มรูปหล่อคอยให้กำลังใจอยู่เคียงข้างเสมอ ... เห็นเป็นหนังพล็อตเน่ายุงหึ่งแบบนี้แต่ขอบอกเลยว่าหนังเรื่องนี้ถูกจัดว่าเป็นตำนานหนังเต้นสุดคลาสสิกเลยนะครับ เพราะสมัยนี้มันได้กลายเป็นต้นแบบพล็อตให้กับหนัง Step Up ที่เราดูๆกันอยู่นี่แหละ แถมมันยังมาพร้อมกับเพลงประกอบอย่าง What A Feeling ที่ฮิตทั่วบ้านทั่วเมือง ไม่เชื่อลองไปถามผู้ใหญ่(ที่มีรสนิยมเก๋ไก๋)ใกล้ตัวดูซิครับ รับรองรู้จักทั้งนั้น



ต่อมาเกือบยี่สิบปีให้หลัง David Lachapelle ก็นำหนังเรื่องนี้กลับมารีเมคใหม่เป็นเอ็มวี I'm Glad โดยธีม Old-School แบบนี้ก็หวานหมูเฮียแกอยู่แล้ว และเลือกไม่ผิดเลยที่เป็นเจโล เพราะเธอเองก็มีดีกรีเคยเป็นครูสอนเต้น เป็นนักออกแบบท่าเต้นมาก่อน แถมยังมีประวัติแร้นแค้นเติบโตมาจากย่าน Bronx ซึ่งเป็นย่านคนดำในนิวยอร์คอีกต่างหาก งานนี้เรียกได้ว่านอกจากจะเล่าเรื่องในหนังของ Jennifer Beals แล้วยังมีประสบการณ์ชีวิตของอีกเจนนิเฟอร์นึงซ้อนทับอยู่ด้วย -- ตัวเอ็มวีก็ทำการรวบเอาเนื้อหาและฉากเด่นๆของเรื่องมารวบยอดให้เหลือสั้นๆแค่สี่นาทีครึ่งโดยมีการปรับเปลี่ยนท่าเต้นในฉากสุดท้ายจากนักเต้นสาวหน้าหวานให้เซ็กซี่ขึ้นให้สมกับสาวสะโพกดินระเบิดมากขึ้นนิดหน่อย (โดยเฉพาะท่ากระโดดควงสว่านลงมาจากโต๊ะนั้นมันช่าง!) ส่วนองค์ประกอบอย่างอื่นนั้นแทบจะแยกกันไม่ออกเลยทีเดียว

ถามว่าอ้าวแล้วถอดแบบมาซะเหมือนเปี๊ยบแบบนี้ไม่โดนฟ้องเหรอ โดนซิครับ Paramount Picture ก็กระแอมมาว่า ถ้าเกิดน้องจะลอกของพี่มาซะเหมือนขนาดนี้น้องจ่ายตังค์ค่าลิขสิทธิ์มาหน่อยดีไหม? ทำไงได้ก็ต้องเสียเงินซิครับ แต่ก็ไม่ต้องขึ้นโรงขึ้นศาลอะไร ต่อมาก็โดนซ้ำซ้อนรอบสองอีกเมื่อ Maureen Marder ต้นเรื่องของหนัง Flashdance ก็ออกมาฟ้องว่าป้าให้ลิขสิทธิ์เรื่องราวของป้าไปทำหนังเท่านั้น ส่วนเอ็มวีนี้ถือว่าละเมิด! แต่ก็เคราะห์ดีที่ศาลก็ทำการไกล่เกลี้ยเรื่องนี้ไว้ได้

I'm Glad เป็นเพลงป็อปอาร์แอนด์บีที่ที่ไม่ได้ขี้ริ้วขึ้เหร่อะไรเลย เพียงแต่ว่าในยุคนั้นเพลงแบบนี้ถือว่ามีเยอะล้นตลาดไปหน่อยจึงไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร แต่ที่ผมนับถือว่าน่าเอาเป็นเยี่ยงอย่าง คือความเนี้ยบในการทำงานของเขาที่อุตส่าห์สรรหาทั้งฉาก เสื้อผ้า สถานที่ แต่งหน้า แม้กระทั่งแสงให้เหมือนเปี๊ยบไม่มีที่ตินั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ถ้าใครเห็นถึงความพิถีพิถันตรงนี้ก็คงไม่ยากที่จะเห็นถึงความน่าจดจำของซิงเกิ้ลที่ถูกลืมนี้ได้

ใครที่ยังมีซีดี This is me... Then ก็ลองเอาเพลงนี้มาเปิดฟังดูเล่นๆนะครับ

Wednesday, April 18, 2012

Tupac is ALIVE!!

ไม่ใช่ผีแร็พเปอร์ที่ไหน แต่เป็นการแสดงสุดฮือฮาจากงานเทศกาลดนตรี Coachella ปีล่าสุดที่เพิ่งผ่านไปสดๆร้อนๆเมื่อสองวันก่อนนี้เอง เรียกว่าเป็นช็อตหนึ่งที่น่าจดจำที่สุดในประวัติศาสตร์งานนี้เลยก็ว่าได้ ผู้คนต้องตื่นตะลึงเมื่อได้เห็น Tupac แร็พเปอร์ตัวพ่อที่ตายไปแล้วตั้งสิบสามปี มาแร็พให้เห็นกันจะๆ แต่ไม่ใช่การปลุกผีเสกวิญญาณมาจากไหน มันคือเทคโนโลยี Hologram ที่ฉายภาพจำลองของ Tupac ขนาดเท่าตัวคนจริงมาจากโปรเจคเตอร์ด้านล่าง นอกจากนี้ยังถอดรายละเอียดของตัวเขาจริงๆมาแบบเหมือนเปี๊ยบ แถมยังออกมาแจมกับป๋า Snoop Dogg ร้องตอบโต้กันได้ ปฏิสัมพันธ์กับคนดูได้ แถมแสดงเสร็จยังหายแว๊บไปต่อหน้าต่อตาอีกต่างหาก ดูแล้วขนลุกกันเลยทีเดียว

งานนี้คงไม่ใช่แค่ช็อคอย่างเดียว มันคือการทลายทฤษฎีการดูคอนเสิร์ตของคนเราอย่างราบคาบ คิดดูซิครับว่าถ้าเกิดเรายืนอยู่ตรงนั้น เราจะรู้สึกอย่างไร? เราควรจะส่งเสียงเชียร์ไหม ในเมื่อรู้ว่านั่นไม่ใช่คนจริงๆ เราจะรู้สึกเหมือนดูหนัง หรือดูคอนเสิร์ตกันแน่ อย่างไรก็ตามข่าวจาก Wallstreet Journal บอกว่าตอนนี้ Snoop Dogg กับ Dr. Dre หลังจากได้รับผลตอบรับอย่างล้นหลาม ทั้งสองก็ลองสำรวจความเป็นไปได้ วางแผนเอา 2pac Hologram มาออกทัวร์มันซะเลย! ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงอีกไม่นานเราคงต้องเตรียมตัวกับประสบการณ์ชมคอนเสิร์ตแบบที่ไม่เคยเจอมาก่อน อีกหน่อยในอนาคตความฝันจะได้ดูคอนเสิร์ต Elvis หรือได้ดู Michael Jackson บนเวทีอีกครั้งก็คงไม่เกินเอื้อม



อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีโฮโลแกรมกับ Pop Culture ก็ไม่ได้เพิ่งโคจรมาป๊ะกันครั้งแรกนะครับ เสด็จป้ามาดอนน่าก็ทะลุจอเข้าไปแจมกับ Gorillaz มาแล้วในงาน Grammy เมื่อปี 2006 -- Alexander McQueen ก็เคยจับ Kate Moss ลอยพริ้วในชุดฟินาเล่ของเขามาแล้วด้วย -- อีกต่อไปใครจะไปรู้เราอาจจะเชิญอากงอาม่า Hologram มาร่วมงานแต่งด้วยก็ได้

Saturday, April 14, 2012



สุขสันต์วันสงกรานต์ครับทุกคน ไปเล่นที่ไหนก็อย่าให้ถึงกับไม่สบายนะครับ ในขณะที่สงกรานต์บ้านเรามาถึงวันสุดท้าย อีกฟากหนึ่งของโลก เทศกาลดนตรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกพึ่งเริ่มต้นขึ้นครับ นั้นคือ Coachella Music Festival ที่แคลิฟอร์เนียนู้น น่าจะร้อนแรงพอกับบ้านเราเพราะเขาจัดกลางทะเลทรายครับ มีทั้งเวทีร็อค ฮิปฮอป อินดี้ อิเล็คโทรนิก คนมาดูจากทั่วโลก แหมพูดแล้วก็อยากจะไปแสวงบุญกับเขาบ้าง

สำหรับวันนี้รู้สึกว่าจะมีบางคนเริ่มรู้ตัวแล้วว่าการปั่นยอดแอร์เพลย์ด้วยการทำเพลงเต้นฉิ่งฉับคลับแตก อัดท่อนฮุคติดหัวคนฟัง และ Mr. Over-produced (aka Pitbull) เพียงเพื่อที่จะให้ได้อันดับหนึ่งบิลบอร์ดมันเทียบไม่ได้เลยกับศิลปะแห่งความพอดี -- ซิงเกิ้ลล่าสุดจาก Usher นุ่มนวล ชวนฝัน และเซ็กซี่แต่พอควร ดึงพลังของอัชเชอร์จากอัลบั้ม Confessions เมื่อปี 2004 แต่ผนวกกับซาวน์ที่ร่วมสมัยขึ้น แฟนอาร์แอนด์บีคงใจชึ้นขึ้นหลังจากที่จะต้องไปเสาะหาอาร์แอนด์บีดีๆจากศิลปินกระแสรองอย่าง Frank Ocean หรือ The Weeknd มาตั้งปีสองปี ก็ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีสำหรับอัลบั้ม Looking for Myself ที่มีกำหนดจะวางแผงภายในปีนี้ครับ

Fruity Focus: Yoanne Lemoine (And a Bit About Me)

สวัสดีครับ
ผมได้ฤกษ์กลับมานั่งเขียนบล็อกกับเขาบ้างซักที หลังจากที่ทิ้งร้างให้บล็อกเก่าเน่ามดขึ้นมาหลายเดือนพอกลับมาเช็ค pageview ใหม่ก็พบว่าที่เข้ามาดูส่วนใหญ่มันคนไทยเกินครึ่งเลยนี่หว่า! ก็มะพร้าวห้าวไปขายสวนอยู่ตัั้งนานสองนาน อย่ากระนั้นเลย ตั้งบล็อกใหม่เขียนเป็นภาษาไทยให้คนไทยอ่านกันซะเลยดีกว่า ฝีมือการเขียนภาษาไทยอาจจะยังไม่จัดจ้านเท่าไหร่นัก ก็ต้องพัฒนากันไป แต่ยังไงก็ค่อยหายใจหายคอคล่องกว่าภาษาฝรั่งอยู่แล้วจริงไหม -- แนะนำตัวกันหน่อย ผมชื่อ ฮามิช ครับ อายุก็ยังไม่แก่เท่าไหร่ยี่สิบต้นๆ ตอนเด็กๆโตขึ้นอยากเป็นครู ตอนนี้ก็ยังอยากเป็นอยู่แต่น้อยกว่าอย่างอื่นนิดนึง ฟังเพลงป็อปฝรั่งมาตั้งแต่จำความได้ ชอบดูหนังมาก บ้าผู้กำกับมากกว่าดารา ก็คลั่งเป็นคนๆไป เวลาว่างชอบพยายามทำตัวเป็นนักอ่านนักเขียน แต่ก็เท่าที่เห็น คือไม่ค่อยเวิร์คเท่าไหร่ -- ใครที่สงสัยว่าทำไมต้อง Fruity Spoon ผมตอบได้แค่ว่าผมชอบผลไม้รวมครับ ขนาดยาสีฟันยังผลไม้รวม ดูแล้วสดชื่นดี ยังไงบล็อกนี้ก็ขอบล็อกแค่เรื่องดนตรีอย่างเดียวนะครับ เก็บเรื่องศิลปะกับภาพยนตร์ไว้ให้บล็อกฝรั่งได้ทำมาหากินบ้าง

มาหาสาระกันบ้างดีกว่าครับ
เอ็มวีที่เห็นข้างล่างนี้ เอามาแปะไว้เพราะอยากจะให้รู้จักกับผู้กำกับวัยละอ่อนแต่ฝีมือเด็ดคนนี้ครับ เขามีชื่อว่า Yoanne Lemoine (โยอานน์ เลมัวนี่)เป็นคนฝรั่งเศส นายคนนี้เขา high-profile อย่างมากมาตั้งแต่เด็กครับจบเกียรตินิยมสาขา Illustration and Animation มาตั้งแต่อายุยังน้อย เคยร่วมงานกับผกก.ดังๆอย่าง Sophie Coppola (ลูกสาว Francis Ford Coppola เจ้าพ่อ Godfather) Hype Williams และ David Lachapelle ด้วย ถ้าจะให้นึกออกหนุ่มคนนี้ก็คือผู้กำกับเอ็มวี Teenage Dream ของเคธี่ เพอร์รี่ นั่นแหละครับ ช่วงต้นปีมานี้จะมีผลงานออกมาให้เห็นอยู่บ่อยๆ หลายคนคงสังเกตได้จากความน้อยแต่มากในผลงานของเขา เจาะถ่ายวัตถุไปเป็นตัวๆ สื่อความหมายแยกๆกันไป สโลโมชั่นสวยๆไปพร้อมกับภาพขาวดำ ผมดูกี่ทีก็หลงครับ



Blue Jeans เอ็มวีนี้เป็นซิงเกิ้ลที่สามของสาวหน้าเบลอ Lana Del Rey และเป็นวีดีโอตัวที่สองต่อจากซิงเกิ้ลแรกของอัลบั้มคือ Born To Die ที่เขากำกับให้ดังไปเป็นพลุแตกเมื่อปลายปีก่อน ในเอ็มวีนี้ก็ยังเห็นภาพขาวดำ signature ชัดเจน ปล่อยสาวลานาลงไปลอยตุบป่องอยู่ในสระว่ายน้ำ เมคอัพยังครบเครื่องเหมือนสตรีฝรั่งเศสยุค 60s ผู้ชายหนุ่มในมาดแบดบอยที่ยืนอยู่ริมสระก็ไม่ใช่ใครที่ไหนก็ Bradley Soleil ในเอ็มวี Born To Die นั้นแหละครับ เนื้อหาก็คงหนีไม่พ้นการตกหลุมรักชายโฉดก็รังแต่จะพาชีวิตตกต่ำเหมือนไอ้เข้จะงาบลงน้ำไม่รู้เนื้อรู้ตัว คิดไปก็ทำให้นึกถึงความสัมพันธ์ของหนุ่มแบดบอย Serge Gainsbourg กับสาวเซ็กซ์ซิมโบล์ Brigitte Bardot เมื่อสมัยก่อนอยู่เหมือนกันนะครับ



ขาวดำไปแล้วลองมาดูแบบโมโนโทนดูบ้าง ใน Take Care เพลงใหม่ล่าสุดจากอัลบั้มชื่อเดียวกันของ Drake ครับ (เป็นอัลบั้มหนึ่งที่ผมเปิดฟังบ่อยมากๆช่วงนี้) กลับมาร่วมงานกับรีฮานน่าอีกครั้ง หลังจากที่ฟัง What's My Name กันจนหูชา รีฮานน่าในเอ็มวีนี้ย้อมผมบลอนด์แล้วดูแปลกตาไปมากแต่ก็ไม่ได้ทำให้เธอเด่นขึ้นเท่าไหร่ในความคิดผม เพลงเนิบๆก็ต้องเข้ากับเอ็มวีเรียบๆ Minimalism ซูมเข้าซูมออก ตัดกับ montage แรนดอมกันเข้ามา สิงห์สาราสัตว์ทั้งหลายที่ขยันขนกองทัพกันมาในเอ็มวีนี้ก็คร้านจะตีความนะครับ รู้แต่ว่ามันก็เป็นอีกหนึ่ง signature หนึ่งของโยอานน์เหมือนกัน มีสเน่ห์อย่างบอกไม่ถูก



ส่วนเพลง Iron นี้ผม (และคาดว่าพร้อมกับเกมเมอร์อีกหลายล้านคนบนโลก) ได้ยินเพลงนี้ครั้งแรกในฐานะเพลงประกอบเทรลเลอร์เกมส์ Assassins Creed: Revelation พอได้ยินเพลงนี้ปุ๊บก็รีบค้นเจอเอ็มวีเพลงนี้เอาใจผมไปทันทีเลย เอ็มวีตอบโจทย์ความเป็นมหากาพย์ของเกมส์โคตรนักฆ่าล่าล้างอธรรมได้ดีมากด้วยการสรรหาเอาองค์ประกอบต่างๆที่ทำให้นึกถึงความหนักแน่นทะมัดทะแมง การต่อสู้ ความรุนแรง แซมด้วยมนตร์ดำ สงคราม ความยิ่งใหญ่ -- เอ็มวีนี้ได้สาว Agyness Deyn นางแบบลุ๊คทอมบอยจากอังกฤษมายืนให้นกฮูกเกาะด้วย องค์ประกอบทุกอย่างดูแล้วเข้าตาไปหมด ไม่ว่าจะกับเพลง หรือกับเกมส์เอง

ส่วน Woodkid นี้เป็นชื่อโปรเจควงของโยอานน์เองนั้นแหละครับ เขาทำ EP ออกมาให้ฟังกันไปแล้ว อัลบั้มเต็มคิดว่าคงอีกไม่นาน นอกจากนี้หนุ่มคนนี้ยังเป็นทั้งช่างภาพ กราฟฟิกดีไซนเนอร์ด้วย คนอะไรทำได้ทุกอย่าง ดีเลิศซะทุกอย่าง โว๊ะ

Fruity Review #1


Madonna
MDNA
4.5/10

     กลับมาให้แฟนๆหายคิดถึงกันซักพักแล้วหลังจากเลิกกับสามีผู้กำกับตัวแสบไปคั่วเด็กรุ่นหลานซักสองสามคนแล้วหันมา พยายามกำกับหนังดูซักตั้ง มาดอนน่า ราชินีเพลงป็อปกลับมาคราวนี้ก็ 53 กะรัตเข้าไปแล้ว มาพร้อมกับ MDNA อัลบั้มใหม่ชื่อเก๋ชุดที่ 12 ของชีวิตการเป็นศิลปินของเธอ ตลอดเวลาหลายปีที่ห่างหายไปดูเหมือนผู้หญิงคนนี้ดูจะผ่านอะไรมามากมายไม่ว่าจะไปก่อตั้งมูลนิธิในมาลาวี หรือเรื่องครอบครัวบ้านแตก หลายคนคงคิดว่ามาดอนน่าคงจะพกพาเรื่องราวอัดแน่นมาเต็มกระเป๋าเหมือนกับคราวที่เธอเอาประสบการณ์เลี้ยงลูกครั้งแรกมาถ่ายทอดในงานชั้นครูอย่าง Ray of Light แต่ครั้งนี้ผิดคาดที่ MDNA เต็มไปด้วยเพลงป็อปแด๊นซ์ขายส่งเต็มไปหมด หลายคนคงหงายเงิบอารมณ์เดียวกับตอนที่ได้ยินเดโม่ Give me All Your Lovin’ เมื่อปลายเดือนก่อน ป้าแกอาจจะจีบปากจีบคอบอกว่า เพราะเพลงเต้นรำคือชีวิตของฉัน อยากได้จิตวิญญาณก็ไปฟังงานเก่าๆซิจริงเจ๊ แต่เพลงเต้นรำที่เจ๊เคยทำมันเคยดูมีแก่นสารกว่านี้มาก และนั้นคือเหตุผลที่เรารักเจ๊ มาดอนน่าในวันนี้ดูราวกับราชินีที่นั่งกุมบัลลังก์ด้วยความเบื่อหน่ายกับวงการเพลงป็อปซ้ำซาก เพลงที่เธอทำดูเหินห่างจากผู้ฟังไปหลายล้านไมล์ ราวกับสองสิ่งที่เธออยากจะคุยด้วยคือธุรกิจและโบท็อกซ์เท่านั้น

   MDNA ขนโปรดิวเซอร์ฮอตฮิตทั้งหน้าใหม่หน้าเก่ามาร่วมสังคายนากันตั้งแต่ Benny Benessi โปรดิวเซอร์สายเทคโนที่มีชื่อขึ้นหราแทบจะทุกอัลบั้มซีดีตามแผงนาทีนี้ William Orbit ที่เคยฝากผลงานมาดอนน่ายุคโรแมนติกอย่าง Ray of Light ก็กลับมาร่วมงานให้ชื่นใจอีกครั้ง และแทบจะเป็นธรรมเนียมปฏิบัติไปแล้วที่ทุกครั้งที่เจ๊แม่ถอยอัลบั้มใหม่เธอจะไปจิกหาโปรดิวเซอร์หน้าใหม่มาปั้นเพื่อสร้างเก๋แหวกแนวให้ตัวเอง สำหรับคราวนี้คือหนุ่ม Martin Solvieg จากเมืองน้ำหอมต้นคิดเพลงเชียร์ลีดเดอร์ซูเปอร์โบว์ Give Me All Your Lovin’ ที่ฟังกันอยู่ทุกวันนี้นั่นเอง  อัลบั้มเปิดด้วย Girl Gone Wild เพลงลูกครึ่งเทคโนป็อปคุ้นหูสไตล์ Benessi ฟังดูไม่ต่างจาก Celebration ที่นายนี้เคยมิกซ์ไว้ให้เท่าไหร่ แต่ก็ถือว่าเต้นได้ไม่ขี้ริ้วขี้เหร่อะไร Turn Up The Radio เพลงป็อปสดใสไร้พิษสง แต่แอบฉุนที่มันฟังดูคล้าย Hello งานของ Solveig เมื่อปีกลายมาจับแต่งตัวใหม่ ทำกันได้ลงคอนะ แต่ที่แสบสันที่สุดคงเป็น I’m Addicted แทร็คเทคโนเฮ้าส์สุดโหดราวกับนั่งรถไฟเหาะตีลังกาตลอดสี่นาทีครึ่งแห่งการเร่งจังหวะไม่หยุดยั้ง ทำเอาตกใจเฮ้ย นี่มาดอนน่าจริงเหรอเนี้ย! โดยเฉพาะท่อนจบ MDNA MDNA ทำเอาแฟนเจ๊สวดตามกันแทบไม่ทัน Love Spent และ I’m a Sinner ผลงานโปรดิวซ์ของ William Orbit ที่ครั้งนี้ดูเหมือนจะซอพท์ลงไปมากแต่ก็สร้างความลื่นไหลไปกับภาพรวมได้ดี ผิดกับ Falling Free ที่ดูจะโชว์ซาวน์อวกาศลอยละล่องแต่พอมาป๊ะกับทำนองเนื้อร้องโบราณอย่างกับสมัยเล่นหนัง Evita เลยดูกล้าๆกลัวๆ กลายเป็นเพลงบัลลาดน่าเบื่อไร้จุดจบไปเลย นอกจากนั้นเพลงทั้งหลายในซีดีแผ่นนี้ก็มีแต่เพลงที่ปราศจากการจัดระเบียบ เนื้อเพลงที่แทบจะไม่มีความหมายอะไร เมโลดี้สั้นๆ เหมือนนั่งฟังเพลงที่ยังทำไม่เสร็จ รวมไปถึง Gang Bang ที่มีคนพูดถึงกันมากที่สุดก่อนหน้านี้ ปรากฏว่าเพลงเต็มไม่มีอะไรมากกว่าที่ได้ยินใน Snippet เล่นวนซ้ำไปมาพอให้ป้าแกมีจังหวะได้ตะโกน Die, bitch! ให้ได้ป้ายมา Parental Advisory มาแปะสวยๆเท่านั้น ไปโกรธแค้นกันมาจากไหนไม่ทราบ รู้แต่ว่าผิดหวังมาก ตามนั้น

     สรุปว่า MDNA แทนที่จะเป็นอัลบั้มสารกระตุ้นความพึงพอใจตามชื่อ กลับกลายเป็นโศกนาฏกรรมของสาววัยทองที่ถูกโปรดิวเซอร์ดูดกินพลังชีวิตไปหมด เพราะแต่ละคนก็ต่างงัดเอาสไตล์ของตัวเองมาอัดลงอัลบั้มกันอย่างเอาเป็นเอาตาย อย่าง I’m  Addicted แทร็คดีเด่นประจำแผ่นก็ไม่เหมือนงานเฮ้าส์ที่เคยทำมาก่อนอย่าง Runaway Lover, Impressive Instant ตรงที่มันมีความเป็นมาดอนน่าผสมอยู่อย่างเจือจางมาก ก็เพราะตัวตนของเธอครั้งนี้ดูอ่อนลงไปมากถ้าเทียบสมัยก่อนกุมบังเหียนสั่งงานเยี่ยงทาสอย่างที่เราคุ้นเคย และด้วยความผิดพลาดอันใดไม่ทราบที่เลือกตัวแรงอย่าง M.I.A มาพ่นแร็พในเพลงเด็กน้อยอย่าง Give Me All Your Lovin’ การปรากฏตัวของ Nicki Minaj ก็ไม่น่าจดจำและไม่เป็นส่วนหนึ่งขององค์รวมอย่างยิ่ง ทั้งสองดูเป็นนักร้องจับฉ่ายมาบ่นสองสามบรรทัดตามหน้าที่แล้วแยกย้ายกลับบ้าน นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับจากการดันทุรังดึงเอาทุกสิ่งที่ฮ๊อตฮิตติดชาร์ทมาประโคมตัวเพื่อเกาะกระแสคนฟังรุ่นใหม่ให้ได้มากที่สุดทั้งๆที่มีชั่วโมงบินพอจะสร้างแนวทางของตัวเองได้ MDNA ทำให้เราตั้งคำถามว่า มาดอนน่าคนที่ท้าทายทุกความ controversial หายไปไหน มาดอนน่า trendsetter คนนั้นจะกลับมาอีกไหม ท้ายที่สุดแม้อัลบั้มนี้จะทำหน้าที่จูงคนออกมาเต้นเป็นบ้าเป็นหลังได้ดี แต่ผ่านไปอีกซักสิบยี่สิบปีจะยังมีคนพูดถึงมันอยู่ไหม

About Me

My photo
my name is mish my favorite color is turquoise when i grow up I want to be an architect