Madonna
MDNA
4.5/10
กลับมาให้แฟนๆหายคิดถึงกันซักพักแล้วหลังจากเลิกกับสามีผู้กำกับตัวแสบไปคั่วเด็กรุ่นหลานซักสองสามคนแล้วหันมา “พยายาม” กำกับหนังดูซักตั้ง มาดอนน่า ราชินีเพลงป็อปกลับมาคราวนี้ก็ 53 กะรัตเข้าไปแล้ว มาพร้อมกับ MDNA อัลบั้มใหม่ชื่อเก๋ชุดที่ 12 ของชีวิตการเป็นศิลปินของเธอ ตลอดเวลาหลายปีที่ห่างหายไปดูเหมือนผู้หญิงคนนี้ดูจะผ่านอะไรมามากมายไม่ว่าจะไปก่อตั้งมูลนิธิในมาลาวี หรือเรื่องครอบครัวบ้านแตก หลายคนคงคิดว่ามาดอนน่าคงจะพกพาเรื่องราวอัดแน่นมาเต็มกระเป๋าเหมือนกับคราวที่เธอเอาประสบการณ์เลี้ยงลูกครั้งแรกมาถ่ายทอดในงานชั้นครูอย่าง Ray of Light แต่ครั้งนี้ผิดคาดที่ MDNA เต็มไปด้วยเพลงป็อปแด๊นซ์ขายส่งเต็มไปหมด หลายคนคงหงายเงิบอารมณ์เดียวกับตอนที่ได้ยินเดโม่ Give me All Your Lovin’ เมื่อปลายเดือนก่อน ป้าแกอาจจะจีบปากจีบคอบอกว่า “เพราะเพลงเต้นรำคือชีวิตของฉัน อยากได้จิตวิญญาณก็ไปฟังงานเก่าๆซิ” จริงเจ๊ แต่เพลงเต้นรำที่เจ๊เคยทำมันเคยดูมีแก่นสารกว่านี้มาก และนั้นคือเหตุผลที่เรารักเจ๊ มาดอนน่าในวันนี้ดูราวกับราชินีที่นั่งกุมบัลลังก์ด้วยความเบื่อหน่ายกับวงการเพลงป็อปซ้ำซาก เพลงที่เธอทำดูเหินห่างจากผู้ฟังไปหลายล้านไมล์ ราวกับสองสิ่งที่เธออยากจะคุยด้วยคือธุรกิจและโบท็อกซ์เท่านั้น
MDNA ขนโปรดิวเซอร์ฮอตฮิตทั้งหน้าใหม่หน้าเก่ามาร่วมสังคายนากันตั้งแต่ Benny Benessi โปรดิวเซอร์สายเทคโนที่มีชื่อขึ้นหราแทบจะทุกอัลบั้มซีดีตามแผงนาทีนี้ William Orbit ที่เคยฝากผลงานมาดอนน่ายุคโรแมนติกอย่าง Ray of Light ก็กลับมาร่วมงานให้ชื่นใจอีกครั้ง และแทบจะเป็นธรรมเนียมปฏิบัติไปแล้วที่ทุกครั้งที่เจ๊แม่ถอยอัลบั้มใหม่เธอจะไปจิกหาโปรดิวเซอร์หน้าใหม่มาปั้นเพื่อสร้างเก๋แหวกแนวให้ตัวเอง สำหรับคราวนี้คือหนุ่ม Martin Solvieg จากเมืองน้ำหอมต้นคิดเพลงเชียร์ลีดเดอร์ซูเปอร์โบว์ Give Me All Your Lovin’ ที่ฟังกันอยู่ทุกวันนี้นั่นเอง อัลบั้มเปิดด้วย Girl Gone Wild เพลงลูกครึ่งเทคโนป็อปคุ้นหูสไตล์ Benessi ฟังดูไม่ต่างจาก Celebration ที่นายนี้เคยมิกซ์ไว้ให้เท่าไหร่ แต่ก็ถือว่าเต้นได้ไม่ขี้ริ้วขี้เหร่อะไร Turn Up The Radio เพลงป็อปสดใสไร้พิษสง แต่แอบฉุนที่มันฟังดูคล้าย Hello งานของ Solveig เมื่อปีกลายมาจับแต่งตัวใหม่ ทำกันได้ลงคอนะ แต่ที่แสบสันที่สุดคงเป็น I’m Addicted แทร็คเทคโนเฮ้าส์สุดโหดราวกับนั่งรถไฟเหาะตีลังกาตลอดสี่นาทีครึ่งแห่งการเร่งจังหวะไม่หยุดยั้ง ทำเอาตกใจเฮ้ย นี่มาดอนน่าจริงเหรอเนี้ย! โดยเฉพาะท่อนจบ MDNA MDNA ทำเอาแฟนเจ๊สวดตามกันแทบไม่ทัน Love Spent และ I’m a Sinner ผลงานโปรดิวซ์ของ William Orbit ที่ครั้งนี้ดูเหมือนจะซอพท์ลงไปมากแต่ก็สร้างความลื่นไหลไปกับภาพรวมได้ดี ผิดกับ Falling Free ที่ดูจะโชว์ซาวน์อวกาศลอยละล่องแต่พอมาป๊ะกับทำนองเนื้อร้องโบราณอย่างกับสมัยเล่นหนัง Evita เลยดูกล้าๆกลัวๆ กลายเป็นเพลงบัลลาดน่าเบื่อไร้จุดจบไปเลย นอกจากนั้นเพลงทั้งหลายในซีดีแผ่นนี้ก็มีแต่เพลงที่ปราศจากการจัดระเบียบ เนื้อเพลงที่แทบจะไม่มีความหมายอะไร เมโลดี้สั้นๆ เหมือนนั่งฟังเพลงที่ยังทำไม่เสร็จ รวมไปถึง Gang Bang ที่มีคนพูดถึงกันมากที่สุดก่อนหน้านี้ ปรากฏว่าเพลงเต็มไม่มีอะไรมากกว่าที่ได้ยินใน Snippet เล่นวนซ้ำไปมาพอให้ป้าแกมีจังหวะได้ตะโกน Die, bitch! ให้ได้ป้ายมา Parental Advisory มาแปะสวยๆเท่านั้น ไปโกรธแค้นกันมาจากไหนไม่ทราบ รู้แต่ว่าผิดหวังมาก ตามนั้น
สรุปว่า MDNA แทนที่จะเป็นอัลบั้มสารกระตุ้นความพึงพอใจตามชื่อ กลับกลายเป็นโศกนาฏกรรมของสาววัยทองที่ถูกโปรดิวเซอร์ดูดกินพลังชีวิตไปหมด เพราะแต่ละคนก็ต่างงัดเอาสไตล์ของตัวเองมาอัดลงอัลบั้มกันอย่างเอาเป็นเอาตาย อย่าง I’m Addicted แทร็คดีเด่นประจำแผ่นก็ไม่เหมือนงานเฮ้าส์ที่เคยทำมาก่อนอย่าง Runaway Lover, Impressive Instant ตรงที่มันมีความเป็นมาดอนน่าผสมอยู่อย่างเจือจางมาก ก็เพราะตัวตนของเธอครั้งนี้ดูอ่อนลงไปมากถ้าเทียบสมัยก่อนกุมบังเหียนสั่งงานเยี่ยงทาสอย่างที่เราคุ้นเคย และด้วยความผิดพลาดอันใดไม่ทราบที่เลือกตัวแรงอย่าง M.I.A มาพ่นแร็พในเพลงเด็กน้อยอย่าง Give Me All Your Lovin’ การปรากฏตัวของ Nicki Minaj ก็ไม่น่าจดจำและไม่เป็นส่วนหนึ่งขององค์รวมอย่างยิ่ง ทั้งสองดูเป็นนักร้องจับฉ่ายมาบ่นสองสามบรรทัดตามหน้าที่แล้วแยกย้ายกลับบ้าน นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับจากการดันทุรังดึงเอาทุกสิ่งที่ฮ๊อตฮิตติดชาร์ทมาประโคมตัวเพื่อเกาะกระแสคนฟังรุ่นใหม่ให้ได้มากที่สุดทั้งๆที่มีชั่วโมงบินพอจะสร้างแนวทางของตัวเองได้ MDNA ทำให้เราตั้งคำถามว่า มาดอนน่าคนที่ท้าทายทุกความ controversial หายไปไหน มาดอนน่า trendsetter คนนั้นจะกลับมาอีกไหม ท้ายที่สุดแม้อัลบั้มนี้จะทำหน้าที่จูงคนออกมาเต้นเป็นบ้าเป็นหลังได้ดี แต่ผ่านไปอีกซักสิบยี่สิบปีจะยังมีคนพูดถึงมันอยู่ไหม
No comments:
Post a Comment