Usher
Looking For Myself
8/10
ดูเหมือนคติฝรั่งที่ว่า "ไม่เสียอย่าซ่อม" จะไม่ใช่คติประจำใจของอัชเชอร์อย่างแน่นอน เพราะหลังจาก Raymond V. Raymond อัลบั้มก่อนหน้าที่ขายดิบขายดีขึ้นอันดับหนึ่ง แถมยังคว้า Grammy สาขาอัลบั้มอาร์แอนด์บียอดเยี่ยมมาการันตีตอกย้ำความสำเร็จครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดสิบเจ็ดปีในวงการดนตรีก็ดูเหมือนอัชเชอร์ไม่จำเป็นจะต้องเบนเข็ม ทำเพลงเอาใจกระแส หาโปรดิวเซอร์ตลาดๆมาเขียนเพลงอย่าง OMG กันคนละสองสามเพลงก็คงอยู่ได้ แต่เราก็ต้องหงายเงิบเมื่อได้ฟัง Climax เป็นครั้งแรก ด้วยความปลื้มอกปลิ้มใจที่เฮียแกยังไม่ลืมเสน่ห์แบบอาร์แอนด์บีแท้ๆในอัลบั้มตำนานอย่าง Confessions เอาไว้ ในขณะเดียวกันถึงแม้ว่าจะไม่มีอะไรเสีย แต่อัชเชอร์ยังคงเดินหน้าซ่อมแซมสรรหาดนตรีแนวต่างๆเข้ามาผสมโรงกับอาร์แอนด์บีต้นตำรับของเขาได้ตั้งแต่ Dubstep ไปจนถึง Motown ทั้งหมดนี้มารวมกันอยู่ในอัลบั้มใหม่ล่าสุดของเขาที่มีชื่อว่า Looking For Myself ที่เพิ่งออกวางแผงให้จับจองกันเมื่อต้นเดือนนี้ แน่นอนการก้าวไปอีกขั้นหนึ่งของอัชเชอร์ ผู้ที่ ณ เวลานี้จะเป็นรองก็แต่ไมเคิล แจ็คสันคนเดียวเท่านั้น จะต้องเป็นที่น่าจับตามองที่สุดเสมอ สำหรับศิลปินที่มาไกลได้ขนาดนี้จะทำแนวเพลงเหยียบเรือทีละกี่แคมก็ทำได้ตามอำเภอใจ แต่คำถามต่อไปคือจะหาจุดลงตัวเจอไหมเท่านั้น
Looking For Myself ยกโขยงก๊วนเพื่อนหรรษาทั้งหน้าเก่าหน้าใหม่ตั้งแต่ will.i.am, Diplo, Rico Love, Swedish House Mafia ไปจนถึง Pharrell Williams แต่ละคนล้วนเป็นโปรดิวเซอร์แถวหน้าที่นักฟังเพลงอย่างเราๆรู้จักกันดี เป็นการการันตีคุณภาพไปแล้วกว่าครึ่ง อัลบั้มเปิดด้วย Can't Stop Won't Stop เพลงป็อปแบบบอยแบ๊นบอยแบนด์ ที่ต้องบอกตรงๆว่ายังทำคะแนนได้ศูนย์แต้มสำหรับแทร็คเปิด เพราะเราฟังเพลงแบบนี้จากอัชเชอร์เป็นครั้งที่พันล้านแล้วร้ายกว่าตรงที่มันมาพร้อมกับออโต้ทูนหนวกหูด้วย ต่อด้วย Scream ที่เพิ่งตัดซิงเกิ้ลออกมาให้ได้ฟังไป สำหรับเพลงนี้เป็นอีกหนึ่งสูตรสำเร็จตามสไตล์ DJ Got Us Felling in Love ที่เตรียมตัวรอฟังได้ตามคลับแถวบ้านคุณ Climax และ What Happened To You เหมาะมากสำหรับคนที่ไม่ชอบงานกระแสหลักเพราะสองแทร็คนี้ hipster-friendly มาก ทั้งแนวทั้งเพราะ อาศัยซินธ์น้อยๆจังหว่ะกลางๆ และเนื้อเพลงเซ็กซี่ในเสียงร้องฟอลเซตโต้ของเฮียแก แค่นี้ลงตัวแล้วจริงๆ Twisted ผลงานของฟาเรล วิลเลียมส์ ดีเด่นด้วยเพอร์คัชชั่นฉิ่งฉับนำร่องไปสู่บรรยากาศดนตรีโมทาวน์ย้อนยุคตามสไตล์นายฟาเรลนั้นแหละ Lemme See อัชเชอร์กลับสู่รากดนตรีฮิปฮอปอีกครั้ง วูบแรกฟังดูคล้าย Motivation ของ Kelly Rowland แม้จะเซ็กซี่พอกันแต่ทะลึ่งตึงตังกว่าเห็นๆ และสองแทร็คที่ถูกจับตามองที่สุดคือที่แปะป้าย Swedish House Mafia สามดีเจที่ฮ็อตที่สุดปีนี้นั้นคือ Numb และ Euphoria สำหรับเพลงแรกนั้นเป็นลูกครึ่งเทคโนป็อปแนวให้กำลังใจชีวิต แต่เดี๊ยวนะพี่ หวานแหววขนาดนี้นึกภาพยัยสิงโต Leona Lewis ร้องยังจะเข้าท่ากว่าอีกนะ ส่วน Euphoria นั้นคล้าย Numb แตกต่างกันตรงที่หนักกว่า โหดกว่า ไม่มีการประณีประนอมใดๆทั้งสิ้น ตัวเพลงเล่าเรื่องแนวโพรเกรสซีฟค่อยๆเป็นค่อยๆไป ก่อนจะตลบหลังด้วยท่อนฮุค เหมือนถูกพายุคลื่นเสียงโหมพัดถล่มอย่างหนัก ก่อนจะเว้นจังหวะไว้หายใจเป็นระลอกแล้วย้ำด้วยท่อนเดิมที่หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ เป็นการปิดอัลบั้มอย่างสมเกียรติ์ เป็นสิบสี่แทร็คที่ครบรสชาติความมันแบบเก็บครบทุกเม็ด
ถึงเวลาตอบคำถามว่าในอัลบั้มนี้อัชเชอร์สามารถหาจุดลงตัวเจอไหม? ผมเชื่อว่าคำตอบคงเป็นเอกฉันท์ถ้าหากตั้งใจฟังอัลบั้มนี้ครบสิบสี่เพลง จุดแข็งที่ชัดเจนที่สุดก็คือเสียงร้องเพราะไม่ว่าจะไปคว้าโปรดิวเซอร์ปราบเซียนแค่ไหนก็ไม่มีหลุดปล่อยให้อย่างอื่นเด่นกว่าได้เลย เมื่อไหร่เราได้ยินเสียงแบบนี้จะรู้ทันทีว่าเนี่ยแหละมันคืออัชเชอร์เท่านั้น อีกอย่างเราจะได้เห็นการเดินทางหาตัวเองด้วยการก้าวเข้าไปในพรมแดนของดนตรีต่างๆอย่างละนิดละหน่อยในขณะที่ยังคงทรงตัวอยู่บนมาตรฐานสูงเสียดฟ้าของเขาได้ เขาว่าอัชเชอร์ลูกก็สองแล้ว อายุก็ปาไปเท่านี้ตั้งชื่ออัลบั้มแบบนี้จะดีเหรอ Looking For Myself ในความคิดของผมมันไม่ใช่การหาตัวเอง แต่คือการไม่ย่ำอยู่กับที่ ลองของใหม่ และก้าวต่อไปเสมอ ซึ่งนั้นเป็นคงเป็นหลักพื้นฐานสำคัญสำหรับคนทำงานสร้างสรรค์ไม่ว่าจะแขนงไหน ท้ายที่สุดสำหรับนักฟังเพลงอย่างเราๆ Looking For Myself ก็เป็นอัลบั้มอาร์แอนด์บีสนุกๆที่ฟังง่าย หลากหลาย ขายได้ และก็ยังคงยึดเหนี่ยวกับเอกลักษณ์ส่วนตัวไว้ได้ดี
No comments:
Post a Comment