Wednesday, November 27, 2013

 
Eminem - Rap God

เฮีย Eminem ยังคงความโหดอย่างคงเส้นคงวาตั้งแต่อัลบั้ม The Marshall Mathers LP เมื่อปี 2000 จนถึงอัลบั้มชื่อเดียวกันสิบสามปีให้หลัง ก็ยังคงสไตล์การแร็พประเภทเน้นความเร็วชิงถ้วยชนะเลิศอยู่ไม่มีเปลี่ยนแปลง สำหรับ Rap God นี่ใครได้ติดตามโชว์ของเขาใน Youtube Awards เมื่อต้นเดือนน่าจะได้ฟังกันไปแล้ว (และเชื่อว่าจนทุกวันนี้หลายคนก็ยังฟังไม่รู้เรื่องเหมือนเดิม จะเร็วไปไหน) ก็ตามสไตล์เอมิเน็มกันไป แต่แค่สงสัยว่าทำไมพักนี้แร็ปเปอร์เขาชอบสถาปนาตัวเองเป็น God กันจัง
 

Sunday, November 24, 2013

Out of Nowhere #3: Bliss - John Legend and Teyana Taylor


My mama say I'm too young for love, but loving you is all I'm thinking of...


ช่วง "มันมาจากไหน" วันนี้เราจะมาพูดถึงเพลงที่ครองใจเจ้าของบล็อกในช่วงวันนี้ของปีทีแล้วไปได้อย่างอยู่หมัด เป็นแทร็คที่แอบแฝงตัวอยู่ในอัลบั้ม compilation ที่ชื่อว่า Cruel Summer เมื่อปี 2012 โดยกลุ่มศิลปินที่เรียกตัวเองว่า GOOD MUSIC จะกู๊ดสมชื่อหรือไม่นั่นไม่รู้ แต่จริงๆ แล้วพวกเขาก็คือ Jay-Z กับ Kanye West บวกผองเพื่อนร่วมค่ายทั้งหลายนั่นแหละ เอาเป็นว่าอัลบั้มนี้เป็นโปรเจคพิเศษของคนในค่ายนี้ให้มาปล่อยของกันได้อย่างเต็มที่ ทั้งฝีมือโปรดิวเซอร์ แร็ปเปอร์มือใหม่อยากแจ้งเกิด หรือมือเก่าฝึกปรือวิชาก็มาปล่อยพลังกันได้ที่นี่

Cruel Summer นี่ไม่ใช่อัลบั้มที่เราโปรดปรานเป็นพิเศษอะไรหรอก แต่ก็ไม่ถึงขั้นจะทำให้คนฟังต้องเจอฤดูร้อนที่โหดร้ายหรือว่าอะไร มีติดไอพอดไว้เพื่อความหลากหลาย จนกระทั่งดันชัฟเฟิลมาสะดุด แทร็คหนึ่งกับน้ำเสียงคุ้นหูของ John Legend ที่มีชื่อว่า Bliss ที่ซ่อนอยู่เป็นเพลงอันดับที่รองสุดท้ายของอัลบั้ม

ความประทับใจแรกของเพลงเกิดจากเสียงแหบพร่าของนักร้องหญิงคนหนึ่ง ที่ทำให้ทุกอย่างหยุดชะงักไปชั่วขณะ เธอคือ Kelis ใช่หรือไม่? คำถามเกิดจนต้องหยุดเพื่อเงี่ยฟังให้ชัดเจนยิ่งขึ้น แต่ไม่ ถึงแม้จังหวะการออกเสียงบางคำจะใช่ แต่เคลิสไม่ได้มีเสียงที่หวานเหมือนเด็กวัยรุ่นแบบนี้ คำตอบจบลงที่ google ได้ความว่า เจ้าของเสียงท่อนแรกของเพลงนีคือ Teyana Taylor แร็ปเปอร์สาวผมหยิก จากฮาร์เล็ม นิวยอร์ก ที่ประเดิมงานดนตรีซิงเกิ้ลอย่างเป็นทางการเพลงแรกก็ได้ร้องคู่กับ John Legend ในอัลบั้มนี้ 

Bliss เป็นอาร์แอนด์บี ที่เกิดจากการปะทะกับระหว่างคียบอร์ดซินธ์เท่ห์ๆ กับเครื่องสายอลังการจากวงดนตรีบิ๊กแบนด์ เบสหนักหน่วงส่งให้เสียงของเทยาน่า ขับขานล่องลอยไปบนอากาศ เสียงนกอินทรีที่อินเสิร์ตเข้ามาโปรยปราย ดึงดูดคนฟังให้สะดุดหู หรูหราและสวยงามสมกับเนื้อหาของเพลงเกี่ยวกับการบรรยากาศโรแมนติกของคู่รักที่หลบหนีผู้คนไปบนเครื่องบินเจ็ทส่วนตัว

John Legend และ Teyana Taylor สร้างความน่าเชื่อถือได้อย่างดีเยี่ยมจากอารมณ์เพลงที่เร่าร้อน ระหว่างหนุ่มมหาเศรษฐีกับสาวน้อยผู้โชคดี ว่าทั้งสองเป็นคู่รักและกำลังบอกเล่าความในใจให้กันและกันจริงๆ แต่อีกคนหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังความสวยงามของเพลงนี้ที่พูดไม่ถึงไม่ได้เลยนั่นคือ Hudson Mohawk โปรดิวเซอร์หนุ่มน้อยจากเกาะอังกฤษ ที่มาฝากฝีมือไว้ที่เพลงนี้เป็นผลงานชิ้นแรกๆ เช่นเดียวกัน โดย instrumental ของเพลงนี้ทั้งหมด เขาได้อัดไว้เรียบร้อยมาก่อนหน้านี้แล้วในแทร็กที่ชื่อว่า Ice Viper เมื่อมาทำเป็น Bliss ก็เพียงใส่เนื้อเพลงของทั้งสองคนลงไปแค่นั้นเอง


Friday, November 22, 2013


M.I.A - Sexodus feat. The Weeknd

ไม่ได้จะเป็นซิงเกิ้ลใหม่หรืออะไร แต่อยากจะหัวเราะเยาะคุณแม่ Madonna เพราะ Sexodus เพลงแซ่บๆ เพลงที่เห็นข้างบนนี้คือเพลงที่คุณแม่เขี่ยออกจากอัลบั้ม MDNA แล้วดันไปคว้าเพลงห่วยๆ อย่าง B-Day Song มาใส่แทน ไม่อยากจะเทียบความต่างศักย์ทางคุณภาพการโปรดิวซ์และวาทะโวหารทางการแต่งเพลงอะไรซักเท่าไหร่ ฟังเอาด้วยหูตัวเองแล้วกัน ...ก็ไม่รู้สินะ

Tuesday, November 19, 2013

"In The Zone" 10th Year Anniversary


     นั่งดูหน้าปกอัลบั้มเท่าไหร่ก็ยังไม่รู้สึกว่าอัลบั้ม In The Zone ของบริทนีย์จะมีอายุได้ 10 ปีแล้ว เพราะผลงานเพลงอัลบั้มที่ 4 ของ Britney Spears ชิ้นนี้คืออัลบั้มโปรดของเจ้าของบล็อก เป็นเหมือนอัลบั้มสามัญประจำไอพอดที่หยิบขึ้นฟังบ่อยจนไม่รู้สึกว่ามันเก่าได้เลย หน้าปกอัลบั้มสีฟ้าเข้มกับใบหน้า ดวงตา ริมฝีปาก และเส้นผมปลิวสยาย ทำให้เป็นนี่เป็นปกอัลบั้มของบริทนีย์ที่สวยที่สุดโดยแทบจะไม่ต้องบรรยายอะไรมากมาย

ในวันที่ชื่อของ Britney Spears พุ่งทะยานขึ้นสู่ทุกคลื่นวิทยุเหมือนพลุที่ระเบิดโชติ์ช่วง ลงมาสู่ผู้คนทุกหัวระแหง ตั้งแต่บรรดาเด็กๆ วัยรุ่นที่คลั่งไคล้ใฝ่ฝันจะสะบัดผมสีบลอนด์สุดเซ็กซี่ได้อย่างเธอ ไม่แพ้กับหน้าท้องแบนราบที่สร้างกระแสเสื้อเอวลอย กางเกงเอวต่ำไปทั่ว ในขณะที่วงสนทนาของนักวิจารณ์ก็พูดถึงอัลบั้มหน้าปกสีฟ้านี้กันอย่างไม่ขาดสาย สำหรับใครที่ไม่เคยฟัง In The Zone ก็ต้องบอกว่าอัลบั้มมีมากกว่าการจูบกับมาดอนน่ากลางเวที VMAs หรือซิงเกิ้ลดังอย่าง Me Against The Music หรือเพลงฮิตสุดแรดอย่าง Toxic แต่มันยังเป็นอัลบั้มที่ไปขุดหาเครื่องดนตรีแปลกใหม่สารพัดจากหลายแหล่งทั่วโลกมาผสานรวมกันในดนตรีป็อปได้โดยไม่ทำให้รู้สึกแปลก อีกทั้งยังมีอำนาจของเพศหญิงวัยแรกรุ่นที่ยั่วยวลเข้มข้นอยู่ในทุกอณู



     สมัยก่อนตอนเราเป็นเด็ก In The Zone หมายถึง Me Against The Music และเพลงเต้นๆ จังหวะสนุกๆ ในอัลบั้มอย่าง I Got That Boom Boom เท่านั้น ก็แค่เด็ก ม.2 คนหนึ่งจะไปประสาอะไรกับความหมายที่เหลือของอัลบั้ม ก็เลยกดข้ามแทร็คลิ้นเปลี้ย กระซิบกระซาบ อย่าง Showdown หรือ Breath On Me ไปไม่ได้ติดใจอะไรมากมาย ก็มันไม่เห็นจะสนุกน่าเต้นตรงไหนเลยนี่ แต่โชคดีที่เมื่อโตขึ้นเราก็ไม่ได้ทิ้งอัลบั้มนี้ไปเสียทีเดียว และปล่อยให้มันโตขึ้นไปกับเราตามกาลเวลา เมื่อกลับมาฟังใหม่แต่ละครั้ง เพลงเหล่านี้ก็เข้มข้นและละเอียดนุ่มนวลขึ้นอย่างน่าประหลาด

แทร็คแปลกๆ อย่าง Early Morning ได้โปรดิวเซอร์และศิลปินเดี่ยวชื่อดังอย่าง Moby มาโปรดิวซ์และเขียนเพลงให้ ออกมาเป็น Trip-Hop อ่อนๆ สไตล์คลอเคลียนัวเนีย และเชื่องช้าเหมือนฟัง trip-hop แท้ๆ แบบ Portishead ยิ่งโตก็ยิ่งไม่อยากเชื่อว่าสิ่งนี้จะอยู่ในอัลบั้มเพลงป็อปของศิลปินหญิงอันดับหหนึ่งของชาร์ทได้  ในขณะที่ Showdown เป็นอิเล็กโทรป็อป หนักเบส ซุกซนตื่นเต้น เรียบเรียงเนื้อร้องเป็นคำพูดเหมือนสาวๆ หัวเราะคิกคักกันในหนังสุดเซ็กซี่ของ Atom Egoyan


     สำหรับเนื้อเพลงใน Touch of My Hand นั้นขอบอกว่ายิ่งตั้งใจฟังยิ่งดี อย่ามัวแต่เคลิบเคลิ้มเครื่องดนตรีจีนและปล่อยให้ถ้อยคำโวหารที่เรียบเรียงมาอย่างตั้งใจมาหลอกเราได้ เพราะฟังไปฟังมาเพลงนี้ทั้งเพลงมันคือ ode to masturbation เลยนี่หว่า! น่าแปลกที่เนื้อหาแรงขนาดนี้แต่ทำไมยังดูดีกว่า work bitch ตั้งเยอะก็ไม่รู้เนอะ

ประเด็นเรื่องแตกเนื้อสาวไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับ Britney Spears เราเคยฟังกันมาแล้วในหลายๆ ซิงเกิ้ลจากอัลบั้มก่อนหน้า และอีกมากมายจากนักร้องหญิงคนอื่น แต่ความน่าสนใจของอัลบั้มนี้คือมันยืนอยู่ระหว่างความเป็นเด็กสาวรักสนุก ที่พยายามปิดบังความเป็นเด็กที่แท้จริงของตัวเองไว้ กับเด็กสาวอีกคนทีโตเป็นผู้ใหญ่แต่ก็ไม่แก่เกินที่จะพูดเรื่องเพศได้ด้วยความสนใจใคร่รู้ ต่างกับอัลบั้มหลังๆ ที่พูดถึงเรื่องเซ็กซ์ได้อย่างชินชาราวกับมันเป็นหน้าที่ของป็อปสตาร์ไปแล้ว

     Brave New Girl คือตัวอย่างของสาวคนแรก ที่ก้าวเข้าสู่ชีวิตวัยรุ่นด้วยนัยน์ตาเบิกกว้าง ออกสนุกสนานกับโลกยามค่ำคืนเป็นครั้งแรก แฝง irony เล็กๆ ไม่ต่างกับประโยค Brave New World ที่ตัวละครของเชคสเปียร์เคยพูดไว้ใน The Tempest แม้ตัวเพลงกลับมาเป็นบับเบิ้ลกัมป็อปแบบตอนอัลบั้มแรกแต่หอกก็แอบแฝงนัยยะสำคัญโดยการเรียกเด็กสาวคนนั้นด้วยบุคคลที่สาม ให้รู้ว่า Brave New Girl นี่ไม่ใช่ตัวเธอหรอกนะ... ใครจะไปรู้อันที่จริงแล้วเธออาจกำลังแสดงความเป็นพี่สาวให้ตัวเธอเองก็ได้...



ผู้หญิงคนที่สองที่เป็นผู้ใหญ่เต็มตัว คือคนที่กำลังเสียใจกับความสัมพันธ์ของตัวและกำลังพูดถึงความรักของตัวเองในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ใน Shadow ที่มาในบัลลาดครบเครื่อง แม้จะยังอ่อนเรื่องการร้องไปหน่อย แต่ก็ยังถือว่าชนะในเชิงรูปแบบและเนื้อเพลงเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ห่างเหินของคนที่ครั้งหนึ่งเคยใส่ใจกัน Everytime แสดงให้เห็นถึงความเปราะบางของผู้หญิงคนเดิมที่กลับไปเป็นเด็กน้อย รอคอยความรักของคนของเธออีกครั้ง ไม่ว่าจะยังพอมีความหวังอยู่หรือไม่ก็ตาม

     ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ศิลปินทุกคนจะมีสิ่งที่เรียกว่า Masterpiece เป็นของตัวเอง และ "เวลา" นี่แหละคือสิ่งที่จะบอกว่าสิ่งไหนใช่ สิ่งไหนไม่ใช่ผลงานที่จะให้คำจำกัดความตัวศิลปินคนนั้นต่อไปในอนาคต In The Zone มีทั้งความสนุกสนานแบบเพลงป็อปในยุคนั้นและความเซ็กซี่ที่เป็นไปอย่างธรรมชาติตามตัวศิลปิน โดยที่ไม่ต้องอาศัยการออกแบบใดๆ ทั้งสิ้น จนทำให้เมื่อเวลาผ่านไป 10 ปี In The Zone กลายเป็นอัลบั้มที่ครบเครื่อง ละเอียด นุ่มลึก และทรงคุณค่าให้นำกลับมาฟังใหม่ได้จนถึงปัจจุบัน


Monday, November 11, 2013

Fruity Review #14: Lady Gaga - ARTPOP

If video killed the radio star, did Gaga's "ARTPOP" killed Pop Art?

Lady Gaga
ARTPOP
7.5/10

Andy Warhol เคยตั้งชื่อสตูดิโอของตัวเองว่า The Factory โรงงานผลิตศิลปะและแหล่งซ่องสุมของศิลปินและเซเลปชื่อกระฉ่อนแห่งโลกยุคโพสโมเดิร์น ที่ให้กำเนิดวงดนตรีอย่าง The Velvet Underground ดารานางแบบอีกเพียบอย่าง Edie Sedgwick เป็นต้น ไฉนเลยจะไม่ให้พูดถึงกระป๋อง Campbell Soup อันลือเลื่องที่กลายมาเป็นผลงานที่ใช้จำกัดความคำว่า Pop Art ศิลปะแขนงที่จับเอาความอาร์ตและความแมสมาอยู่ในบรรทัดเดียวกัน มันแหวกแนวขนาดไหนก็ลองนึกดูซิว่า (ในสมัยนั้น) ถ้ามีใครเอาปลากระป๋องตราสามแม่ครัวมาแขวนจัดแสดงในแกลเลอรี่ แถมยังพิมพ์ออกมาได้ทีละเป็นพันๆแผ่น เราจะยังเรียกสิ่งนั้นว่าศิลปะอยู่หรือเปล่า?

หลายทศวรรษต่อมาจึงกำเนิด Lady Gaga ผู้ที่เคลมตัวเองไว้ในซิงเกิ้ล Applause ว่า "Art's in Pop, Culture, in me" ศิลปินหญิงที่มีคนพูดถึงมากที่สุดในโลก และครึ่งหนึ่งของโลกที่เอ่ยชื่อเธอมักจะพูดถึงในลักษณะสรรเสริญ ในขณะที่ครึ่งหนึ่งของคนที่ได้ยินชื่อเธอมักจะกลอกตาด้วยความหมั่นไส้ และคนเหล่านั้นจะยิ่งเบะปากเป็นทรงโค้งรัศมีโปรเจกไตล์เมือได้ยินว่าเธอตั้งชื่ออัลบั้มล่าสุดว่า ARTPOP

คำถามว่า Lady Gaga และ Andy Warhol มีความเหมือนต่างกันอย่างไร เป็นคำถามที่บุคคลประเภทที่สองจะตอบอย่างเหนื่อยหน่ายว่า Lady Gaga ยังไม่ควรไปเทียบชั้นกับใครทั้งสิ้น แต่ในความจริงแล้วทั้งสองมีใจความสำคัญเหมือนกันอยู่หนึ่งอย่างคือ ทั้งคู่ต่าง "จงใจ" วางตัวเองอยู่ในขั้วตรงข้ามกับความวิจิตรบรรจงและความลึกล้ำทั้งปวง และผลักดันให้ผลงานของตัวเองเข้าถึงผู้คนกระแสหลักให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ โดยไม่สนว่ามันจะถูกดูแคลนหรือถูกลดทอนคุณค่าไปอย่างไรบ้าง นั่นคือเหตุผลว่าทำไมกาก้าถึงมาได้ไกลขนาดนี้ และทำไมภาพพิมพ์รูปมาริลีน มอนโรยังมีประดับอยู่ตามร้านกาแฟใกล้บ้านคุณ

โอเค เราเข้าใจว่าการให้ Jeff Koons มาออกแบบหน้าปกอัลบั้มให้ ร่วมงานกับ Marina Abramovic และ Inez & Vinoodh รวมถึงดีไซน์เนอร์จากห้องเสื้ออีกครึ่งโลกที่ลงมือตัดชุดให้นางใส่ในการปรากฎตัวแต่ละครั้ง พร้อมทั้งยังเอ่ยถึง Botticelli อยู่เป็นระยะๆ คือส่วนที่เราควรจะเรียกว่า ART แต่สิ่งสำคัญกว่าอื่นใดคือภาคดนตรี POP ในฐานะสินค้าที่ผ่านการประโคม ลดแลกแจกแถมกันมาครึ่งปีนี่ต่างหาก ที่จะชี้เป็นชี้ตายให้กับอัลบั้มที่มีคนรอคอยมากที่สุดของปีนี้ แม้ใครๆ ก็รู้ว่าเพลงของเธอไม่เคยประหลาดล้ำเหมือนลุ๊คการแต่งตัวเลย

สิ่งที่น่าสนใจสำหรับภาคโปรดิวเซอร์ของอัลบั้มคือ นอกจากที่ก้าจะยังคงเส้นคงว่ากับ DJ White Shadow ที่เคยร่วมงานกันใน Born This Way แล้ว เธอยังหันไปใช้บริการโปรดิวเซอร์หนุ่มๆ วัยแรกแย้ม เช่น Zedd ดีเจที่เคยฝากผลงานอย่าง Clarity ที่ดังระเบิดไปเมื่อปีที่แล้ว และ Madeon ดีเจหนุ่มน้อยวัย 19 ปี มาร่วมลงแรงในหลายเพลงของอัลบั้มนี้ด้วย โดยเนื้อเพลงทั้งหมดในอัลบั้มผ่านปลากปากกาของสาวก้าเจ้าตัวล้วนๆ ทั้งหมดนี่รวมกัน บวกกับ reference จากศิลปินยุคก่อนหน้าอีกนิดหน่อย จับยัดลงไปในเครื่องปั่นโรยกากเพรชสีชมพู ออกมาเป็น 15 เพลงจากอัลบั้มป็อปแดนซ์อลังการดาวล้านดวง

เพลงในอัลบั้มส่วนใหญ่มักจะไม่พูดถึงประเด็นความสัมพันธ์เหมือนศิลปินหญิงทั่วไป ก้ามักจะแสดงความสนใจส่วนตัวเรื่องแฟชั่น แฟนเพลง การเดินทาง หรือไม่ก็หลุดไปอวกาศไม่ก็เรื่องเซ็กซ์โจ่งครึมไปอย่างที่เห็น ตัวอย่างเช่น Sexxx Dreams ที่ถึงแม้จะไม่ได้เซ็กซี่เท่าที่ชื่อเพลงพยายามบ่งชี้ แต่ก็โดดเด้งด้วยเบสไลน์ตอนท้ายเพลงที่ทำให้นึกถึงงานเก่าของ Prince ได้ไม่ยาก หรือ Venus ที่ไม่ได้ฟังดูอวกาศหลุดโลกมากมาย แต่เป็นเพลงป็อปลงตัวในจังหวะกลางๆ ฟังง่าย เหมาะสมสำหรับการตัดเป็นซิงเกิ้ลอย่างยิ่ง //สำหรับผู้ที่เคยได้ยิน Aura เวอร์ชั่นก่อนสำเร็จมาแล้ว ต้องขอบอกว่า Aura เวอร์ชั่นอัลบั้มนั่นคือความผิดหวัง เพราะนางกลัว Zedd เด็ดกว่าหรือไรก็ไม่ทราบจึงตัดท่อนเทคโนตอนท้ายออกเกือบหมด แถมยังอัดเสียงใหม่ตัดเสียงป่วงๆ ตอนแรกออกเกลี้ยง แนะนำให้หาเวอร์ชั่นเก่ามาฟังจะดีกว่า ถ้าอยากได้อารมณ์บ้าๆ บวมๆ เหมือนได้ยัย Courtney Love ตอนเมายามาร้องให้ฟังพร้อม Spanish Guitar และซาวน์แบบ EDM แดนซ์กระจายสไตล์ Zedd


"I'm the rich bitch I'm the upper class!"
แรดที่สุดต้องยกให้ Donatella ที่แต่งไว้อวยเพื่อนสาวต่างวัยประจำห้องเสื้อ Versace สาธยายชีวิตสุด fabulous ชะนีไฮโซในท่อนฮุคติดหูเกินคำบรรยาย หลับตาเห็นตุ๊ดจำนวนมากกรีดกรายบนแคทวอล์คด้วยท่าขาไขว้บนรองเท้าส้นเข็มสูง 8 นิ้วของ Thierry Mugler // Do What You Want อาจฟังดูเหมือนเพลงที่อีหมีเขี่ยออกจากอัลบั้ม Butterfly ถ้าไม่ได้เสียงนุ่มๆ ของ R Kelly เข้ามาช่วยเพลงนี้อาจเสียศูนย์ไปไม่น้อย ท่อนที่ร้องว่า "If you let me go, I would fall apart" ทำให้นึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างกาก้าและนักวิจารณ์ประมาณว่าชั้นยอมให้เธอด่า (do what you want) ดีกว่าให้จะให้เธอจะทอดทิ้งชั้นไป // ส่วน Manicure ยังคงหนีไม่พ้นเรื่องผู้ชายและความงาม จังหวะตบหน้าตักเชียร์ลีดเดอร์แบบนี้ทำให้นึกถึง Hollaback Girl เวอร์ชั่นมีเท่าไหร่ใส่ไม่ยั้ง และ Swine เพลงเนื้อหาแรงๆ ที่บิ้วให้ตายก็ไม่ขึ้นเพราะภาคดนตรีเหมือนยังทำไม่เสร็จ

แม้ Gypsy จะตวงตามสูตร The Edge of Glory มาแบบช้อนต่อช้อน แต่ก็มีดีที่เนื้อหาที่ถอดออกมาจากชีวิตจริงได้อย่างกินใจ ว่าด้วยคนที่ชีวิตต้องเดินทางบ่อยเสียจนเหลือแต่ความอ้างว้าง เป็นหนึ่งในเทคนิคที่กาก้าใช้เรียกศรัทธาในฐานะนักดนตรีกลับมาได้สำเร็จทุกครั้งด้วยการนำเพลงป็อปแดนซ์มาถอดรูปเหลือเพียงเสียงเปล่าๆ กับเปียโน เพื่อโชว์ศักยภาพการร้องเพลง ฝีมือการแต่งเพลงและการเล่นเปียโนที่อวดโลกได้อย่างไม่อายใคร

ถึงแม้ว่า ARTPOP จะติดป้ายให้ตัวเองว่ามันคือ pop trash แต่ก็ไม่ได้ฟังง่ายย่อยง่ายเหมือน The Fame ในอัลบั้มแรก เพราะ ARTPOP มีความจงใจบางอย่างที่เห็นได้ชัดเจนว่ากาก้าต้องการผลักดันอัลบั้มไปในทิศทางที่ไม่เคยมีคนไปมาก่อน นั่นคือการดันให้เพลงมันขยะเสียจนทะลุออกจากกฎเกณฑ์กลายเป็นความล้ำในรูปแบบหนึ่งที่เธอน่าจะเรียกมันว่า ART ได้ด้วยซ้ำ ในแบบเดียวกับที Andy Warhol ทำกับผลงานของเขา ก็เพื่อที่จะแสดงความย้อนแย้งของรสนิยมและทำลายกฎเกณฑ์มาตรวัดเก่าๆ ที่ใช้ชี้ว่าสิ่งใดคืออาร์ต สิ่งใดไม่ใช่อาร์ต เพราะฉะนั้นเพื่อตอบคำถามว่า ARTPOP kills Pop Art หรือไม่ ก็ต้องตอบได้เลยว่า ไม่ เพราะมันคือรูปแบบหนึ่งของ pop art ที่คงไม่ต่างกับเป็ดยางสีเหลืองขนาดยักษ์ของ Florentijn Hofman ที่ลอยอยู่ในอ่าวฮ่องกงเมื่อต้นปี มันสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับคนดูที่ผ่านไปผ่านมาในลักษณะอาจจะดูฉาบฉวย แต่ถ้าอย่างน้อยมันมีศักยภาพพอที่ทำให้เรารู้สึกถึงมันได้ เราก็คงไม่กล้าบอกว่าสิ่งนั้นไม่ใช่ศิลปะหรอกจริงไหม

และด้วยคุณภาพของอัลบั้มแล้วเราอาจพูดไม่ได้เต็มปากว่าอีกสิบปีข้างหน้า Rolling Stones จะจัดให้เป็น 100 อัลบั้มแห่งทศวรรษ แต่สำหรับตัวกาก้าแล้วนี่คือผลงานที่ใช้เป็นหลักฐานว่าเธอไม่ได้อยู่ในขาลง แถมยังพุ่งทะยานขึ้นไปอีกด้วยซ้ำ สำหรับคนฟังอย่างเรา นี่คืออัลบั้มที่ฟังสนุกดีไม่น้อย เป็นผลงานขยะชิ้นโบว์แดงที่สามารถดึงผู้ชมมาเต็มสเตเดียมได้ในเวลาชั่วข้ามคืน

Friday, November 8, 2013


The Smith - How Soon Is Now?
สุขสันต์วันเสาร์ วันแห่งการอยู่เฉยๆ คนเดียวไม่ทำอะไรครับ...

Thursday, November 7, 2013

 

Will.i.am - Feeling Myself
เห็นชื่อ will.i.am พ่วงกับชื่อยัยเหมยในเพลงเดียวกัน กับหน้าปกสีส้มลอยเด่นแต่ไกล อย่าพึงเบะปากแล้วเบือนหน้าหนี นี่คือซิงเกิ้ลใหม่จากเฮีย will.i.am ในอัลบั้มเดิมที่เอาออกมาขายใหม่ Feeling Myself เพลงนี้มาแปลก กับฮิพฮอพผสมเรียบง่าย ท่อนฮุคติดหูหนึบฟังสนุกโดยเฉพาะตอนร้องตามทัน

Sunday, November 3, 2013



THIRTY SECOND TO MARS - CITY OF ANGELS

Los Angeles ในนาม City of Angels เมืองแห่งเหล่าทวยเทพ หรือเมืองคนโฉด ชื่อเสียง หนังฮอลลีวู้ด อาชญากรรม ความสับสนวุ่นวาย อะไรก็ตามแต่เป็นภาพจำที่ถูกผลิตซ้ำจนผูกพันกับผู้ที่ดูอยู่ผ่านจอแก้วทั่วโลก ผ่านมุมมองของศิลปินต่างๆ มากมายแม้จะไม่เคยได้ไปเหยียบเลยซักครั้ง

Thirty Second to Mars ตอบรับกับภาพจำตรงนี้และสำรวจความคิดของผู้คนที่ทั้งเกิด และแจ้งเกิด รวมถึงคนที่ยังรอวันแจ้งเกิดทีนี่ โดยการพาไปคุยกับบรรดาเซเลบและมนุษย์ปุถุชนมากมายตั้งแต่ แร็ปเปอร์ชื่อดัง (ที่ขึ้นชื่อเรื่องความหลงตัวเอง) ดาราเด็กดาวรุ่ง ดาราเด็กดาวร่วง หญิงสาวทิ้งลูกมาเป็นดารา คนไร้บ้านตามหาแม่ นักแสดงฮอลลีวู้ดหญิง-ชาย ศิลปินข้างถนน นักแสดงเลียนแบบไมเคิล แจ็คสัน มาริลีน มอนโร และอีกมากมาย ตัดสลับกับภาพถ่ายทางอากาศของเมืองที่เราเห็นจนคุ้นตา ที่ถ่ายอย่างปราณีต และบรรจงคัดสรรมาอย่างดี เพื่อบอกเล่าเรื่องราวชีวิต ความฝันและความผิดหวัง ที่เดินขวักไขว่สวนกันไปมาใน City of Lost Angels แห่งนี้

ถือว่าผลงานน่านับถืออย่างยิ่งสำหรับ Thirty Second to Mars ที่ยอมลดความสำคัญของเพลงลงไป แล้วเปลี่ยนเอ็มวีให้เป็นสารคดีสั้นๆ เพื่อเล่าให้ถึงสิ่งที่ใจความหลักที่เพลงต้องการจะสื่อจริงๆ 

"Dreams are what set us apart from being a brain and body"
...



Perfume - Britney Spears
เพลงที่สองจากอัลบั้ม Britney Jean หอกปรับเข้าสู่โหมดบัลลาดป็อปหวานๆ หนึ่งนาทีแรกเหมือนจะไปได้สวย จนมาตายตอนท่อนฮุค ลุ่มๆดอนๆ จนจบเพลง ใช้ความพยายามลุ้นเป็นพิเศษเพราะรอคอยฟังเพลงที่ "ดี" ของนางนี้มานานแล้ว




About Me

My photo
my name is mish my favorite color is turquoise when i grow up I want to be an architect