Friday, January 18, 2013

Rita Ora จับคู่ Snoop Lion มาเที่ยวปักษ์ใต้


พักหลังมานี่รู้สึกจะดังใหญ่ ได้เสนอชื่อเข้าชิง Brit Awards ตั้งมากมาย แถมแฟนเพลงเริ่มหนาแน่นขึ้นทุกวัน เงินทองไหลมาเทมา ล่าสุด ริต้า โอรา เก็บผ้าผ่อนมาถ่ายเอ็มวีเพลงใหม่ล่าที่ภูเก็ตบ้านเรานี่เอง เธอแอบกระซิบชื่อเพลงมาว่า "Torn Apart" ซึ่งยังไม่แน่ใจว่าจะได้ดูกันวันไหน หรือเป็นซิงเกิ้ลจากอัลบั้มใหม่หรือไม่ จะให้เดาเพลงก็คงออกมาตามสไตล์เร็กเก้ป็อปใสๆ ส่วนเอ็มวีก็คงหนีไม่พ้นการนำเสนอภาพประมาณเกาะสวาทหาดสวรรค์ แต่งตัวน้อยๆชิ้นวิ่งเล่นกับเด็กโลกที่สามตาดำๆนั่นแหละ ไม่ว่าเอ็มวีจะเป็นยังไงแต่ที่แน่ๆ ภาพจากอินสตาแกรมฟ้องว่าหลังจากได้สัมผัสหาดทรายแถวปักษ์ใต้บ้านเรา กับรีสอร์ตหรูแถวภูเก็ตได้ไม่นานรู้สึกสาวเจ้าเธอจะพออกพอใจ กระหน่ำทวีตและอินสตาแกรมกันยกใหญ่บอกว่ามาแล้วไม่อยากกลับ ปลาบปลื้มมากผันตัวมาเข้าวงการเพลงไทยไปเลยดีไหมจ๊ะ? 

ส่วนทางฝั่ง Snoop Lion (AKA Snood Dogg นั่นแหละ พี่แกกลัวจะเป็นหมาแก่เลยเปลี่ยนใหม่แล้วหันมาทำเพลงเร็กเก้แทน) ก็มาเป็นแขกรับเชิญ ร่วมกลิ้งเกลือกกับหาดทรายสายลมในเพลงนี้ด้วย แค่นั้นกลัวไม่คุ้มก็เลยไปต่องาน Together Festival ร่วมกับ Justice ที่กรุงเทพในวันที่ 19 นี้ด้วย แค่นั้นยังไม่พอ กลัวจะมาไม่ถึง ต้องสวมชฎาถ่ายรุปซักหน่อยพอเสี่ยงให้โดนด่า แต่ส่วนตัวคิดว่าเฮียถอดออกเถอะไม่ค่อยเข้ากับหนังหน้าเท่าไหร่  ไหนๆ ก็ไหนๆ ฝากบอก ททท. จัดแคมเปญเอาชฎามาให้ดารานักร้องฝรั่งใส่โพสต์เป็น Signature ส่งเสริมการท่องเที่ยวไปซะเลยคงดี

Tuesday, January 15, 2013


เคยแอบคิดว่าการกลับมาของ JT จะเหมือนฟ้าผ่าเปรี้ยง! นางอื่นตายหมด แล้วนอนมาสวยๆ ไม่ต้องฟาดฟันอะไรกับใครมาก แต่บอกตามตรงว่าฟัง Suit & Tie เพลงใหม่ล่ามาได้สองสามวันเริ่มน่ากลัวว่ามันจะ "เปรี้ยง" เท่าไหร่ แต่ด้วยบุญญาบารมีของพ่อหยอยสุดหล่อที่สั่งสมมาตั้งแต่สมัย N'Sync ขอบอกเลยว่างานนี้ไม่มีทางแป๊ก

ถ้าหาก Sexyback หมายถึงการจินตนาการเพลงแดนซ์ให้ล้ำไปในอนาคตจากปี 2006 ไปสิบปี Suit & Tie ก็คงเหมือนการย้อนหลังไปในอดีตซัก 20 ปีเช่นกัน เพราะซิงเกิ้ลใหม่แห่งอัลบั้ม The 20/20 Experience นี้หอบขนมาทั้งวงมโหรีย์ปี่พาด มีทั้งพิณ ทั้ง Marimba เครื่องเป่าสารพัด เรโทรจัดถึงขั้น Marvin Gaye ขวัญใจพี่หยอยต้องนั่งน้ำตาปริ่มด้วยความตื้นตัน เหมือนยิ่งโตก็ยิ่งหวนกลับไปถึงวัยอดีตที่ยังเป็นเด็กหยอยร้องเต้นเพลงโซลยุค 70s อยู่อย่างเมามัน แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดีนะ อย่าเข้าใจผิด เพราะสิ่งนี้แหละทีแทบจะเป็นสิ่งเดียวที่เป็นจุดน่าสนใจของเพลง ที่ทำให้มันมีรสชาติหวานปนเซ็กซี่ แม้จะไม่เผ็ดจัดเหมือน Sexyback ที่กล้าเสี่ยงด้วยท่อนฮุคประหลาดแบบนั้นก็เถอะ

แต่ถามหน่อยนะพี่หยอย ห้าสิบวิแรกคืออะไร? Timbaland ต้องการอะไรจากจุดนั้น? ง่วงๆ เหนื่อยๆ จะไปก็แล้วไม่ไป ต้องกลั้นใจฟังให้ผ่านนาทีแรกไปถึงจะใช้ได้ ตอนตัดเป็นซิงเกิ้ลเปิดลงวิทยุแนะนำให้ตัดท่อนนี้ทิ้งไปเลยก็ได้ อีกหนึ่งสิ่งที่สมควรถูกอัปเปหิออกจากเพลงโดยเร็ววัน คือท่อนแร็ปของเจย์ ซีตอนท้ายเพลง อีกแล้วใช่ไหมกับการแร็ปราวกับเป็นหน้าที่่ เหมือนไปงานแต่งแล้วโดนลากขึ้นไปร้องเพลงบนเวที อันที่จริงวัฒนธรรมการแร็ปบนซิงเกิ้ลเปิดตัวเพื่อบูสต์เรตติ้งแบบนี้ฆ่ามากี่ศพแล้ว? ควรหยุดหรือไม่? แทนที่จะเป็นเจย์ ซี แอบคิดว่าน่าจะเป็น Cee Lo Green ไม่ก็ Lenny Kravitz หันมาร่วมงานกับศิลปินโซลจริงๆ ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยดูจะเข้าท่ากว่า ส่วนตัวหยอยคงไม่มีอะไรให้ติเท่าไหร่ นอกจากตัวเพลงโดยรวมที่แบนระนาบไม่มีขึ้นลง แยกไม่ออกว่าอันไหนฮุคอันไหนเวิรส์นั่นแหละ

ด่ากราดขนาดนี้ ก็ยังเชื่อว่าวงการนี้คงมีอะไรมาเซอร์ไพรซ์อีกเยอะ อีกหน่อยคงมีการอัดเปิดในแอร์เพลย์ฟังกันจนหูชา แล้วก็ร้องได้ทุกท่อนในที่สุด ไม่ก็ตามสไตล์หยอย เอ็มวีออกมาทีเห็นทีปากดีก็เสียทีกันมานักต่อนักแล้ว 
...

Saturday, January 12, 2013

Premiere: Destiny's Child Nuclear

 

โบราณเขาว่าน้ำขึ้นให้รีบตัก 3 ดรุณีอภินิหาร Destiny's Child ก็เลยกลับมาจ้วงตักกันอย่างเมามันส์ เพราะแว่วข่าวมาว่า 3 กุมภานี้ บียอนเซ่จะขึ้นโชว์พักครึ่งในการแข่งขัน Superbowl พร้อมกับอีกสองสาว เคลลี่ และมิเชลที่จะกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ได้กลับมามือเปล่า พวกหล่อนมาพร้อมกับอัลบั้มรวมฮิตชุดใหม่ติดไม้ติดมือมาขายกินกันอีกด้วย โดยรวมฮิตชุดนี้ให้ชื่อว่า Love Songs ซึ่งก็ตรงตัวตามชื่อเพราะมันรวมเอาเพลงรักเก่าๆ ที่หลบซ่อนอยู่ในทั้งหกอัลบั้มในอดีตเอาไว้ พร้อมหนึ่งเพลงใหม่ที่เพิ่งพรีเมียร์ไปวันนี้ นั่นคือ Nuclear เพลงนี้นั่นเอง  

เห็นชื่อเพลงน่ากลัวแบบนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับระเบิดปรมาณูหรอกนะ แต่มันประมาณเปรียบเทียบว่าคนสองคนที่สนิทชิดเชื้อกันในระดับอะตอมเลยทีเดียว (ว่าไปนู้น) แม้ว่าจะไม่ค่อยตูมตามเหมือนชื่อเท่าไหร่แต่ขอบอกว่าแอบดีใจที่ไม่พยายามทำเพลงฮิตจนเกินตัว ไม่ใช่ว่าโผล่มาเต้นกันเป็น LMFAO ก็ไม่ไหวเพราะนี่ไม่ใช่ซิงเกิ้ลคัมแบ็คอะไร แค่เพลงแถมในรวมฮิตเฉยๆ แต่สามสาวเธอกลับนำเสนอซาวน์และสไตล์การร้องแบบอาร์แอนด์บียุค 90s กลับมาโลดแล่นอีกครั้ง และยังคงดีเด่นอยู่ที่การประสานเสียงของสามสาวที่ยังทีมเวิร์คกันได้แจ่มเหมือนเมื่อสิบปีก่อน เป็นเพลงจังหวะกลางๆ ที่สมัยนี้หาฟังกันได้ยากแล้ว ก็แหมใครจะไปเข้าใจยุค 90s ได้เท่าศิลปินที่ดังจากยุค 90s กันล่ะ?


Friday, January 11, 2013

YASS!! THE WAIT IS OVER! JUSTIN TIMBERLAKE IS "READY" !!


สิ้นสุดการรอคอย! พี่ใหญ่ Justin Timberlake ทวีตเมื่อคืนนี้ว่าพร้อมแล้วสำหรับสตูอิโออัลบั้มใหม่ พร้อมกับฝากคลิปสั้นๆ ความยาวหนึ่งนาทีให้ได้ตื่นเต้นกันเล่นๆ ถึงแม้ว่านี่จะเป็นแค่น้ำจิ้มของน้ำจิ้ม แต่นั่นก็มากพอที่จะทำให้คนบางคนแถวนี้กรีดร้องด้วยความตื้นตัน เพราะนี่จะเป็นอัลบั้มแรกในระยะเวลาเกือบหกปีตั้งแต่ Futuresex/Lovesound ในปี 2006 แอบหนีไปเล่นหนังเรื่องแล้วเรื่องเล่ากว่าจะพอใจ ปล่อยจัสตินวัยกระเตาะที่ไหนก็ไม่รู้มาป้วนเปี้ยนในชาร์ทตั้งหลายปี ถึงเวลากลับมาทวงพื้นที่ บอกน้องคนนัั้นเขาซักทีว่าเพลงจัสตินของจริงมันต้องยังไง โดยแหล่งข่าวรายงานว่าจัสติน บียอนเซ่ และเจซี จะกลับมาร่วมงานกันอีกครั้ง และจัสตินจะมีส่วนร่วมในซิงเกิ้ลใหม่ของบียอนเซ่ด้วย ส่วนโปรดิวเซอร์นั้นยังคงเป็นเฮีย Timberland ขาประจำเจ้าเดิมที่อัดเพลงใหม่ไปแล้วกว่า 20 แทร็ค เอาละซิ ทั้งจัสตินทั้งบียอนเซ่ ข่าวดีตั้งแต่ต้นปีแบบนี้ วงการเพลงปี 2013 ชักสนุกซะแล้ว
 
ปีใหม่นี้มีแต่เรื่องดีๆ วงการดนตรีมีข่าวอัลบั้มใหม่ของศิลปินในใจของใครต่อใครจ่อคิววางแผงกันกันยาวเป็นหางว่าว แม่ Destiny's Favorite Child นางนี้ก็ไม่ยอมอยู่บ้านเลี้ยงน้องบลูไอวี่ให้เสียศักดิ์ศรี Perfectionist แห่งวงการป็อป เพราะนอกจากอภิมหาโชว์ Super Bowl Half Time Show ที่โลกรอดูในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ปีนี้แล้ว คุณเธอยังมีข่าวกบดานซุ่มทำอัลบั้มลำดับที่ห้าเตรียมตัว run the world กันอีกทีในปีนี้ด้วย อ้างอิงจาก The-Game หนึ่งในโปรดิวเซอร์ของอัลบั้มนี้ที่ได้ให้การกับนิตยสาร Billboard ว่าซิงเกิ้ลแรกของอัลบั้มใหม่ที่มีชื่อว่า "Likely?" นี้จะมาเป็นแพ็คคู่ เพลงหนึ่งเป็นป็อปบัลลาด จังหวะกลางๆ ชื่อว่า "Twelve Roses" แต่งโดยแม่นางควีนบีเอง ร่วมกับ Sia Furler ด้วย อีกหนึ่งเป็นฟังก์นิดๆ แอบมีอิเล็คโทร/เฮ้าส์หลุดมาบ้าง ชื่อว่า "Rollercoaster" คงฟังดูแปลกหูดี ไม่เคยเห็นบีทำแนวนี้มาก่อน หนังสือพิมพ์ The Sun แอบรายงานมาว่าเธอเช่าสตูดิโอที่นิวยอร์คแบบเหมาทั้งตึก รักษาความปลอดภัยหนาแน่นไม่มีสรรพเสียงใดๆ หลุดเล็ดลอดออกมาได้ ซึ่งไม่แปลกว่าถ้าอย่างบียอนเซ่ออกอัลบั้มใหม่แล้วมีคนให้ความสนใจตั้งแต่ยังไม่ทันได้เริ่ม

ภาพจากนิตยสาร GQ ประจำเดือนกุมภาพันธ์นี้ ถ่ายโดย Terry Richardson ลงนิตยสารของผู้ชายกับธีมฟุตบอล คาดว่านางไม่ยอมให้กระแส Superbowl ตกไปเลยแม้แต่น้อย

Thursday, January 10, 2013

Fruity Review #6 : Bruno Mars Unorthodox Jukebox


Bruno Mars
Unorthodox Jukebox
7/10

Unorthodox Jukebox นั้น unorthodox อย่างไร? เป็นคำถามที่ยังค้างคาใจ ใคร่อยากรู้

คิดไปพลางนึกสงสัยว่าโลกนี้ สมัยนี้ ยังมีเพลงอะไรที่จัดได้ว่านอกรีตนอกรอยอีกด้วยหรือ แต่ด้วยคำบอกเล่าของเจ้าตัว หนุ่ม Bruno Mars แกได้ชี้แจงไว้ว่าอยากทำอะไรที่มันนอกเหนือไปจากที่เคยทำไปเมื่ออัลบั้มที่แล้ว ซึ่งนั้นเป็นข่าวดีทีเดียว! เพราะถ้ามันหมายความอัลบั้มนี้จะไม่มีพื้นที่ให้เพลงพระเอกหวานเลี่ยนอย่าง Just The Way You Are หรือประเภทเอาง่ายเข้าว่าอย่าง The Lazy Song ให้ได้เสนอหน้าอีกแม้แต่กระเบียดนิ้ว ปล่อยเพลงเหล่านั้นไว้ในอัลบั้มเก่า เก็บใส่ลิ้นชักไปเลยก็ได้ เพราะแค่อัลบั้มเดียวก็มากเกินกว่ามากแล้ว เลิกทำแต้มให้ชะนีน้อยใหญ่อ้าแขนรับไว้ในดวงใจแล้วเดินหน้าทำเพลงต่อไปซักที -- คราวนี้เราหันมาดูว่าในอัลบั้มที่สองนั้นหนุ่มมารส์ตีความคำว่า "อะไรที่ไม่เคยทำ" ว่าอย่างไรบ้าง อย่างแรกคือโปรดิวเซอร์ที่ก็ไม่ใหม่เท่าไหร่แต่ก็พอให้อภัย นั้นคือ Mark Ronson เจ้าพ่อโปรดิวเซอร์แนวโซล/ป็อป แห่งเกาะอังกฤษ และ คู่หู Major Lazer ที่เคยสังคายนาอัลบั้มใหม่ให้ No Doubt เมื่อปีที่แล้ว ที่เหลือก็ขนพวกพ้องน้องพี่ใน The Smeezington ที่ไม่ใช่ใครที่ไหนก็คือวงของนายบรูโน มารส์เนี่ยแหละมาร่วมหัวจมท้ายด้วย แถมยังได้ Esperanza Spalding นักร้องหญิงรางวัลแกรมมี่จากวงการแจ๊ซมาร่วมขบวนการอีกต่างหาก ใหม่ที่สองคือความหลากหลายทางแนวดนตรี ที่น่าประทับใจตรงที่พี่แกขนดนตรีทุกประเภทที่ประวัติศาสตร์ดนตรีผิวสีจะให้ได้ ตั้งแต่ ฟังก์ ดิสโก้ ป็อปแดนซ์แนวไมเคิล แจ็คสัน โพสต์ร็อค อะไรทั้งหลายแหล่ อัดแน่นกันอยู่ใน 10 เพลง บวก 1 โบนัสแทร็ค (ก็คือ 11 นั่นแหละ) และเดโมและรีมิกซ์อีกจำนวนหนึ่งในชุด Deluxe Edition ใครชอบอะไร all-in-one งานนี้ยังไงก็คุ้ม

Locked Out of Heaven ที่ยอมรับว่าได้ยินครั้งแรกนึกไปถึง Bring On The Night ของ The Police สมัยรุ่นพ่อนู้นน เป็นซิงเกิ้ลเปิดตัวอัลบั้มที่แสดงให้เห็นว่าได้เติบโตเป็นผู้เป็นคนขึ้นจากอัลบั้มแรกอยู่มาก, Gorilla อ้างอิงจากประสบการณ์จริงตอนถูกจับข้อหามีโคเคนไว้ในครอบครองเมื่อสองปีก่อน มาพร้อมกับท่อนฮุคติดหู radio-friendly มาก เหมาะกับการตัดเป็นซิงเกิ้ลดีอย่างเยี่ยม (แอบสังเกตว่านอกจากพี่แกจะหมกมุ่นกับการแต่งเพลงให้ผู้หญิงสวยๆแล้วยังขยันเอากอริลล่ามาเป็นเครื่องหมายการค้าให้ตัวเองด้วย) ต่อกันด้วย Treasure ดิสโก้สุดฟังกี้ น่ารักน่าชังสไตล์ Prince, Moonshine กับอินโทรกีตาร์เท่ห์ระเบิด เอาชนะใจใครต่อใครด้วยคอรัสโรแมนติกบาดจิต เคล้าอารมณ์ด้วยซาวน์อิเล็กโทรนิกตกแต่งพอประมาณ, Natalie โดนบีทอ้วนใหญ่เข้าเล่นงาน ลุกขึ้นเต้นกันแทบไม่ทัน นี่ฉันฟัง Single Ladies อยู่หรือเปล่าจ๊ะ?  ต่อด้วย Show Me ที่ Major Lazer พาเราไปเที่ยวทะเลกันอีกแล้วกับจังหวะเร็กเก้ลื่นไหล ผนวกกับน้ำเสียงของหนุ่มบรูโน มารส์ที่พื้นเพเป็นชาวฮาวายอยู่แล้ว จึงทำให้เพลงดูน่าเชื่อถือเป็นพิเศษ ปิดท้ายด้วย Old & Crazy สวิงแจ๊ซแสนเก๋ ร้องคู่กับสาวเอสเปอรันซ่า สปอลดิ้ง พ่อแง่แม่งอนย้อนยุคกันขนาดนี้ เก็บไว้ให้ปาป๊ามาม๊าร้องคู่กันแทนจูบเย้ยจันทร์ดีกว่า

พูดกันตั้งแต่ต้นจนจะหมดอัลบั้มซะขนาดนี้ ถามว่าเห็นความพยายามในการทำสิ่งไม่เคยทำไหม ก็ต้องบอกว่าเห็นชัดตำตา หากเทียบกับอัลบั้มเดบิวต์แล้วก็ถือว่าทำคะแนนตีตื้นขึ้นมาได้ดี โดยเฉพาะทางด้านความหลากหลาย ไม่ใช่แค่ในแนวดนตรี แต่รวมไปถึงอารมณ์ต่างๆ ที่แต่ละแทร็คสร้างไว้ชัดเจน บางแทร็คลงลึกถึงขั้นสร้างธีมไว้ให้เรียบร้อย ภาพรวมก็เป็นอัลบั้มคึกคักฟังสนุกไม่ได้ขี้ริ้วขี้แหร่อะไร แต่มันไม่แค่ไม่ประทับใจ ไม่ประทับใจตรงที่หันไปทางไหนก็มีแต่ Reference คนอื่นหยุบหยับไปหมด เดี๋ยวก็ Prince บ้าง Police บ้าง Sam Cook บ้าง ไปจนถึง Daft Punk ซะอีกในแทร็ครีมิกซ์ ไม่รู้จะพูดยังไงเพราะมันอาจเป็นปัญหาของคนฟังที่ดันรู้มากไปเองเลยจับแพะชนแกะไปเองเรื่อย แต่แค่ความจับฉ่ายมันทำให้ไม่รู้สึกว่ากำลังฟังเพลงของใครเป็นพิเศษ คิดว่าอัลบั้มต่อไปคงได้ยินสิ่งที่น่าสนใจมากขึ้นในฐานะเพลงของบรูโน่ มารส์ที่เห็นความเป็นตัวของตัวเองชัดขึ้น อย่างน้อยก็น้ำเสียงไม่เหมือนใคร เทคนิกการร้องคล้ายไมเคิล แจ๊คสันที่สมัยนี้คงหาคนมาเทียบยากมาก หรือเพลงลูกครึ่งแร็กเก้ที่ฟังดูเข้าที่เข้าทางอย่างบอกไม่ถูก รอคอยฟังอัลบั้มใหม่ในอนาคตกันต่อไป แต่สำหรับตอนนี้เชิญรับประทานจับฉ่ายหม้อใหญ่ชื่อ Unorthodox Jukebox กันเลยจ้า

Love This?, Try These: Raphael Saadiq (Stone Rollin'), Major Lazer, Michael Jackson



Sunday, January 6, 2013

2 Voices of the New Generation



ตั้งแต่ Amy Winehouse เรื่อยมาจนถึง Duffy, Paloma Faith ปีต่อมาเป็น Adele จนถึงปีนี้ดูเหมือนเกาะอังกฤษจะเริ่มกลายสภาพเป็นสถานบ่มเพาะนักร้องหญิงเสียงดีที่นิยมดนตรีวินเทจโซล Motown ไปเรียบร้อย สำหรับปีนี้สองเสียงที่จะเกิดแบบเห็นๆปีนี้ขอทำนายว่าคงหนีไม่พ้นสองสาวที่จะเอามาบอกต่อให้ฟังอย่างแน่นอน

สำหรับ Rebecca Ferguson หลายคนคงรู้จักกันไปบ้างแล้วจากเวที X Factor คุณแม่ยังเด็ก (มาก) เจ้าของเสียงเอกลักษณ์น้องๆ Macy Grey (และสำเนียงแปร่งๆ แบบลิเวอร์พูล) เจ้าของเพลงอย่าง Nothing's Real But Love, Glitters and Gold ล่าสุดปล่อยซิงเกิ้ลใหม่ Teach Me How To Be Loved อีกหนึ่งดอกจากอัลบั้ม Heaven ที่ออกมาตั้งแต่ต้นปีที่แล้วมาเป็นที่เรียบร้อย เรียกว่าครบหนึ่งปีพอดีที่ใครหลายคน ร่วมถึงเจ้าของบล็อกด้วยได้ฟังอัลบั้ม Heaven นี้เป็นครั้งแรก และหลงรักเพลงนี้อย่างหัวปักหัวปำ แถม Teach Me How To Be Loved ยังเป็นเพลงโปรดที่สุดในอัลบั้มนี้อีกด้วยคงเดาออกว่าดีใจกระโดดโลดเต้นขนาดไหนที่มันได้ตัดเป็นซิงเกิ้ลเป็นฝั่งเป็นฝากับเขาซักที

ทำไมถึงชอบ ตรงนี้พูดลำบากอยากให้สัมผัสถึงความละมุนละไมและหวานหยดย้อยของเพลงนี้ด้วยตัวคุณเองดีกว่า เพราะนี่คือเพลงรักที่อ่อนแอ บอบบาง และจริงใจที่สุดเพลงหนึ่งของปีที่ผ่านมา ที่บอกเล่าอาการกล้าๆ กลัวๆ ของผู้หญิงคนหนึ่งที่บอบช้ำสะบักสะบอมจากความรัก กำลังจะตัดสินใจเปิดใจให้ใครซักคน แต่จะหัวจะก้อยยังไงก็ไม่รู้ เลยได้แต่พรรณาในใจว่า "Please don't hurt me" อย่าทำร้ายจิตใจฉันอีกเลย

ส่วนเอ็มวี ซึ่งอันที่จริง VEVO ปล่อยมาก่อนซักพักแล้ว ก็อัดเอาง่ายจากฟุตเตจในสตูดิโอเมื่อเดือนตุลาคมปีก่อน อาจดูสุกเอาเผากินไปหน่อย เหมือนจะไม่ได้หวัแย่งชิงลำดับในชาร์ตวิทยุกับใคร แต่เมื่อมีดีขนาดนี้แล้วใครจะขออะไรได้อีกละ จริงไหม?



รายต่อไปเป็นคลื่นลูกใหม่ของแท้เพราะเพิ่งเปิดตัวอัลบั้มแรกได้ไม่กี่เดือนที่แล้วนี แต่ไม่ทันไรก็กลายเป็นลูกรักนักวิจารณ์ไปเรียบร้อยในมหกรรมการจัดอันดับท็อปเท็นอัลบั้มที่ดีที่สุดแห่งปี ทั้งบล็อก ทั้งนิตยสารเพลงต่างรวมพลังกันแซ่ซ้องสรรเสริญให้อัลบั้มของเธอคนนี้กันยกใหญ่ เธอคนนั้นก็คือ ... Jessie Ware นั่นเอง

อ๊ะๆ Jessie Ware ไม่ได้เป็นอะไรกับ Jessie J นะ คนละรุ่นกันเลย สาวสวยคนนี้เนี่ยเขามีชื่อว่า Jessica Lois Ware อายุ 28 ปี ที่เริ่มปรากฏตัวต่อหน้าสายตาสาธารณะชนได้ไม่นาน เริ่มจากการแอบไปร้องไปฝากเสียงเย็นๆ ไว้ใน Right Thing To Do ในอัลบั้มของ SBTRKT (อ่านว่า Subtract) โดยที่ไม่ฝากเครดิตไว้เมื่อปี 2011 นู้น ใครเคยฟังแล้วคุ้นๆ ก็นี่แหละ เสียงคนนี้แหละ ต่อมาก็ทำอัลบั้มเต็มของตัวเอง โดยมีหนุ่มซับแทร็คเนี่ยแหละมาร่วมโปรดิวซ์ให้ ออกเป็นอัลบั้มโซล/การาจ สุดเนี้ยบที่รุ่มรวยไปด้วยเครื่องดนตรีสารพัดชนิด นิตยสาร Clash บอกว่ามันคือจุดเชื่อมระหว่างงานของ Adele กับ SBTRKT และน้ำเสียงในตำนานอย่าง Sade ในยุค 80s  ส่วน The Guardian เทคะแนให้ 10/10 สำหรับความเห็นเจ้าของบล็อกก็ยอมรับว่าฟังแล้วก็อยากโดดเข้าร่วมมหกรรมการอวยด้วยอีกคน เอากับนางซี่

ตั้งแต่เดือนตุลาที่ผ่านมา เธอได้ฝากผลงานไว้แล้วหลายซิงเกิ้ล ตั้งแต่ Strangest Feeling, Wildest Moment, Night Light, Sweet Talk และ ล่าสุดที่เพิ่งพรีเมียร์เมื่อวานคือ If You're Never Gonna Move ข้างล่างนี่แหละ



สำหรับ If You're Never Gonna Move อันมีชื่อเดิมตามหลังปกว่า 110% นั้นอาจฟังยากกว่าเพลงอื่นขึ้นนิดหน่อย Future Garage มากขึ้น Soul น้อยลง แต่เสียงของ Jessie Ware ก็ทำให้อะไรต่ออะไรมันน่าฟังขึ้นเยอะเลย จริงไหม? ส่วนเอ็มวีนี้ Kate Moross ดีไซน์เนอร์จากลอนดอนที่เคยร่วมงานกันมาก่อนแล้วมากำกับให้ ยึดคอนเซปน้อยแต่มาก แต่ทำออกมาได้สวยหยาด ลงตัวไปหมดทั้งเสื้อผ้า แต่งหน้า สถานที่ สวนดอกไม้ ศาลาทรงโกธิก หรูหรามีระดับ เพลิดเพลินจนลืมไปว่านี่มันไม่มีอะไรเลยนี่หว่า...

Hurts เปิดตัวซิงเกิ้ลใหม่ Miracle


กลับมาอีกครั้งของธีโอและอดัม แห่งวง Hurts สองหนุ่นซินธ์ป็อปดูโอสุดคลาสซี่จากเกาะอังกฤษ หลังจากที่เคยเปิดตัวด้วยอัลบั้ม Happiness แล้วได้รับกระแสตอบรับอย่างดีเยี่ยมเมื่อปี 2010 จนใครต่อใครก็แห่ไปฟังซินธ์ป็อปกันยกใหญ่ กับเพลงอย่าง Wonderful Life และ Better Than Love ที่ฟังกี่ทีก็ดูดีมีรสนิยมเป็นที่เชิดหน้าชูตาของวงศ์ตระกูล โดยงานล่าสุดของพวกเขาที่จะวางแผงวันที่ 13 มีนาคมนี้จะมีเชื่อง่ายๆว่า Exile โดยเมื่อเดือนที่แล้วทั้งสองหนุ่มแอบส่ง The Road เพลงใหม่มาเป็นน้ำจิ้มชิมลางกันก่อนแล้ว กับซาวน์ที่แข็งแรงหนักแน่นขึ้นจนต้องเหวอ สำหรับวันนี้ Hurts ส่งเพลงใหม่ที่ประกาศเป็นซิงเกิ้ลแรกประจำอัลบั้ม Exile นี้ที่มีชื่อว่า Miracle เป็นยังไง ไปฟังกันดู ...



เป็นยังไง? อ่านชื่อใหม่จ้ะ อ่านชื่อใหม่ ไม่ใช่ Coldplay จ้ะ นี่ไม่เหมือนเพลง Princess of China เลย

แต่ก็เอาเถอะ กาลเวลาเปลี่ยนศิลปินก็ต้องเดินต่อไปทดลองอะไรที่อยากทำกันบ้าง แม้มันจะหมายความว่า Hurts จะโยนกลิ่นอายแบบ New Wave ทิ้งขยะไป ไม่เอาละ Depeche Mode เปลี่ยนมาหนักข้อกับกีตาร์และกลอง ทั้งที่ๆ นั่นคือสิ่งที่ตีหัวเข้าบ้านแฟนเพลงทั้งหลายได้สำเร็จก็เถอะ ...

Friday, January 4, 2013

Fruity Review #5: Alicia Keys Girl On Fire


Alicia Keys
Girl On Fire
8/10

เมื่อใดที่พูดถึงงานของอลิเชีย คียส์ เมื่อนั้นภาพผู้หญิงผิวผสมวัยยี่สิบต้นๆ กำลังเล่นเพลง If I Ain't Got You กับเปียโนตัวสวยบนดาดฟ้าตึกในย่านฮาร์เล็มในนิวยอร์กที่ฝังอยู่ในมโนคงออกมาลอยกันให้ขวักไขว่ เพราะนั่นคงเป็นภาพจำภาพแรกที่ใครๆ ก็นึกถึงเมื่อพูดถึง อลิเชีย คีส์... นักร้องหญิงหน้าตาสวย เพลงช้า เปียโน โซลฟูล ความหมายดีน้ำตาตก... เพราะหลังจาก 11 ปีหลังจากอัลบั้มแจ้งเกิด Songs in the Minor เมื่อปี 2001 ที่ฟาดรางวัลแกรมมี่ไปห้ารางวัล ต่อด้วย The Diary of Alicia Keys ในปีต่อมา ที่เซ็ทมาตรฐานไว้ซะสูงลิ่ว แต่ดูเหมือนการพยายามลบภาพจำของใครต่อใครคงไม่ใช่เป้าหมายหลักของผู้หญิงคนนี้ซักเท่าไหร่เพราะดูเหมือนยิ่งก้าวเดินต่อไปเท่าไหร่ก็ยิ่งค้นพบตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจาก The Element of Freedom เมื่อปี 2009 เธอหายหน้าไปหยิบจับอย่างอื่นมากมายตั้งแต่เป็นผู้กำกับละครเวที เป็นโปรดิวเซอร์เบื้องหลัง แต่งเพลงให้คนอื่น ร่วมไปถึงไปออกรองเท้าให้ Reebok ก็เอา แต่ประสบการณ์อะไรคงไม่สู้การมาถึงของน้องหนู Egypt วัยหนึ่งขวบ ที่เข้ามาสร้างความเปลี่ยนแปลงในการแต่งเพลงให้กับ Girl on Fire อัลบั้มล่าสุดชิ้นนี้ได้เป็นกอง

สำหรับ Girl On Fire อัลบั้มเต็มชิ้นที่ 5 เธอดูเป็นผู้หญิงคิดบวก อารมณ์ดี๊ดี ตั้งแต่เพลงแรกยันเพลงสุดท้ายคล้ายกับอาการอินเลิฟในอัลบั้ม 4 ของบียอนเซ่ที่ปริ่มไปด้วยเพลงรักหวานชื่นรื่นรมณ์ตลบอบอวลไปหมด ต่างกันที่มันคืออารมณ์มองโลกในแง่ดีราวกับแม่ชีเทเรซ่า ตั้งแต่เปียโนในอินโทร De Novo Adagio ที่ใส่มาเป็นธรรมเนียมไว้ทุกอัลบั้มเพื่อไม่ให้ลืมว่าหล่อนถูกเทรนมาแบบนักดนตรีคลาสสิกนะจ๊ะ, Brand New Me คำประกาศอิสรภาพของสตรีผู้ลุกขึ้นยืนด้วยลำแข้งของตัวเองเป็นครั้งแรก ตรงไปตรงมาและไพเราะทั้งเนื้อหาและทำนอง, When It's All Over ฝึมือโปรดิวซ์ของ Jamie xx แห่งวง The xx ผสานเพอร์คัสชั่นแจ๊ซชนกับซินธิไซเซอร์ลอยลมมาแต่ไกล กับเนื้อเพลงปลงชีวิตแบบ "When they lay me down, Put my soul to rest, When they ask me how I spent my life, At least I gotta love ya" ที่พอมาถึงเสียงหัดพูดของน้องอียิปต์ในตอนท้ายถึงได้ร้องอ๋อว่าเธอหมายถึงใคร เป็นหนึ่งเพลงที่ทำแต้มนำโด่งให้กับอัลบั้มนี้, New Day บีทฮิปฮอปหนักแน่นขึ้นอีกนิดกับเพลงเดียวที่คุณสามี Swizz Beatz แอบเหน็บไว้ให้ เก็บไว้เป็นเพลงฟีลกู๊ดเอาไว้ฟังตอนรถติดได้อย่างดี,  Girl on Fire ไตเติ้ลแทร็คกับอีกหนึ่งการปรากฎตัวที่ไม่จำเป็นของ Nicki Minaj, Tears Always Win ร่วมโปรดิวซ์และร่วมแต่งโดย Bruno Mars ตัดช่องน้อยแต่พอด้วยเปียโนกับจังหวะกลางๆ คอรัสฟังง่ายๆ ที่ไม่ค่อยมีอะไรเด่นเท่าไหร่นอกจากว่ามันโปรดิืวซ์โดยหนุ่มมารส์เนี่ยแหละ (หล่อนเข้าใจเลือกเพื่อนร่วมงานนะเนี่ย แต่ละคน Emeli Sandé งี้ Bruno Mars งี้ โอ้ไหนจะ Frank Ocean!), Not Even King ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่กับคอนเซปเงินทองของนอกกายแบบ If I Ain't Got You อยู่ แต่คราวนี้ขอเดี่ยวๆ กับกีตาร์และนักร้องเท่านั้น และสุดท้ายเพลงนางเอกที่เจ้าของบล็อกขอดันสุดฤทธิ์คือ Fire We Make ที่กลับไปจับอาร์แอนด์บี slow jam แบบ R.Kelly ในยุค 90s เนื้อร้องเนิบๆถูกแบ่งที่ให้กับเสียง falsetto ของหนุ่ม Maxwell ดวลกันครึ่งต่อครึ่ง เป็นอาร์แอนด์บีร้อนแรง หลับตาเห็นภาพอ่างอาบน้ำหรูบนเพนธ์เฮ้าส์ ใต้แสงเทียนสลัว กับคนรัก ที่แอบจำมาจากหนังฮอลลีวู้ด ระดับอุณหภูมิสูงใกล้เคียงกับ Dragon's Day จากอัลบั้มเก่า

คียส์ให้คำจำกัดความว่ามันคืออัลบั้มที่ได้เป็นตัวของตัวเองที่สุด ดูจะเป็นคำจำกัดความเกร่อๆ ของศิลปินค่ายอาร์เอสไปหน่อย แต่เมื่อได้ฟังแล้วคิดว่าคงไม่ใช่ความหลอกเท่าไหร่ เพราะตลอดต้นจนจบเราสัมผัสได้ถึงความพยายามใส่ความเป็นส่วนตัวลงไปอย่างเต็มที่ ทั้งความคิดเห็นเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ อารมณ์ การเล่าเรื่องที่ฟังดูสมจริง ไปจนถึงการคว้าลูกชายมานั่งอ้อแอ้ๆ ให้ฟัง เราคงเคยเห็นศิลปินมากมายที่โตมาด้วยกัน จนเราสามารถสังเกตเห็นได้ถึงความเป็นผู้ใหญ่ขึ้นจากงานเพลง เจ้าของบล็อกคิดว่างานของคีส์เห็นได้ชัดเจนมากที่สุดคนหนึ่ง จากการที่เธอพยายามขมักเขม้นบอกเล่าเรื่องราวอย่าง Passionate -- แต่ถ้าจะให้คำจำกัดความด้วยตัวเอง คงต้องบอกว่านี่เป็นงานที่อารมณ์ดีที่สุดชิ้นหนึ่ง  มองโลกผ่านมุมมองของคนที่ผ่านโลกมามากขึ้น

มันคงเป็นพลังแบบเดียวกับอัลบั้ม Ray of Light ของมาดอนน่า ที่เฉลิมฉลองการให้กำเนิดของลูกสาวคนแรกที่พลิกให้เจ๊แกดูเป็นผู้ใหญ๋ขึ้นหน้ามือเป็นหลังมือ แต่แตกต่างกันตรงที่มันปริ่มไปด้วยข้อความให้กำลังใจ สู้ต่อไปนะเด็กๆ อยู่เต็มไปหมด  หลายคนที่ได้ฟังของพวกนี้จนชินแล้วก็คงผ่านๆไป แต่บางคนที่กำลังต้องการมันเพื่อสู้ต่อไป งานชิ้นนี้คงเป็นเพื่อนสาวหน้าสวยที่ช่วยให้คุณอารมณ์ดีขึ้นนิดนึงแหละ


Love this? Try these: John Legend, Emili Sande, Mary J. Blige

Wednesday, January 2, 2013

เหตุผลที่เรารักกระทรวง


วันนี้วันดีปีใหม่ แม้จะเริ่มต้นมาได้สองวันแล้ว หลังจากหยุดยาวจนลืมชีวิตกันมาซักพัก ไปปาร์ตี้หัวราน้ำกันพอหอมปากหอมคอ หลายคนก็กลับมาทำงาน กลับมาเรียนกันตามปกติ สำหรับปีใหม่นี้ เราเสนอหน้ากลับมาบล็อกอีกครั้ง หลังจากไม่บล็อกมานานหลายเดือน พลาดอัลบั้มดีๆ ไปมากมายที่แซ่บจัดจนอยากจะมาดิ้นเร่าๆ บอกต่อให้ทุกคนฟังในนี้ให้ได้ แต่ก็ด้วยมรสุมชีวิตและโรคเลื่อนที่รุมเร้าอยู่นานทำให้ไม่สามารถมานั่งพร่ำให้ฟัง

ว่าแต่ปี 2012 ที่ผ่านมาคุณฟังอะไรกันบ้าง? ห้ามบอกว่า Gangnam Style เพราะจะโกรธมาก (แม้ว่าเจ้าของบล็อกจะมีช่วงฮึดซ้อมท่าเต้นอยู่พักหนึ่งก็ตาม) เชื่อว่าปีที่แล้วเกิดอะไรขึ้นมากมายในโลกดนตรี ตั้งแต่งานซูเปอร์โบว์ของหม่อมแม่มาดอนน่า ไปจนถึงพิธีเปิดและปิดสุดแสนประทับใจของโอลิมปิก 2012 แต่จากการสรุปยอดประมวลภาพรายปีที่ผ่านมา พบว่าปีที่แล้วคือปีแห่งเพลงเต้น เต้นแร้งกันเต้นกากันทั้งเมือง ถ้าจะพูดถึงเพลงแดนซ์ก็ต้องยกให้การกลับมาของเพลงแนว House, Trance และ Drum & Bass ที่ฮิตกันเหลือเกินในวงการเพลงป็อปปีที่แล้ว รวมไปถึงแนวดนตรีสุดเนิร์ดอย่าง Dubstep ก็มักใช้เป็นเครื่องปรุงสูตรสำเร็จเหยาะนิดเหยาะหน่อยก็ทำให้เพลงป็อปบ้านๆ ธรรมดานั้นฟังดูทันสมัยขึ้นมาทันตาเห็น ... 

อุตส่าห์จั่วหัวมาตั้งยาวว่าเพลงเต้นอย่างนั้นเพลงเต้นอย่างนี้ ว่าแต่ กระทรวงอะไร? การตอบคำถามนี้อาจเป็นการเอามะพร้าวห้าวไปขายสวนอย่างร้ายกาจสำหรับคนที่ฟังเพลงแดนซ์อยู่แล้ว คงเหมือนกับการอธิบายชาวฮอกวอตส์ว่ากระทรวงเวทมนตร์คืออะไร แต่ก็นั่นแหละ เพื่อให้กระจ่าง กระทรวงที่ว่านี่ก็คือ Ministry of Sound อันมีชื่อเล่นที่เจ้าของบล็อกใช้เรียกส่วนตัวว่า "กระทรวงเสียง" ซึ่งกระทรวงนี้มีที่ทำการใหญ่อยู่ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เปิดทำการในยามวิกาล โดยเจ้าหน้าที่ทั้งหลายในกระทรวงนี้ต่างมีเสียงบีทส์ล้นปริ่มอยู่เต็มหัวใจ พันธกิจหลักของกระทรวงนี้คือการทำให้ชีวิตของประชาชนน่าเบื่อน้อยลงนิดนึง ถึงแม้ว่าวันนี้เจ้าของบล็อกจะยังไม่มีปัญญาเสนอหน้าไปเหยียบกระทรวงด้วยตัวเองแต่ตั้งมั่นไว้ในใจว่าวันหนึ่งจะเดินทางไปแสวงบุญในกระทรวงนี้ให้ได้เพียงครั้ง เช่นเดียวกับเทศกาล Woodstock ของชาวร็อค หรือ South By South West (SXSW) ของชาวอินดี้ แต่นั่นมิได้หมายความว่ากระทรวงจะเมินคุณ เพราะเราในเว็บของกระทรวงยังมีการถ่ายทอดการแสดงสดตรงจากคลับ หรือวิทยุจากคลื่นของที่นี่ได้ นอกจากนี้เพลย์ลิสต์ใน Youtube ของที่นี่ ยังเป็นแหล่งอัพเดทเพลงเต้นรำใหม่ๆ จากดีเจมากมาย ที่แยกหมวดหมู่ไว้เป็นอย่างดี แต่ที่สำคัญที่สุดที่เราจะพูดถึงในวันนี้ คือหนึ่งในธรรมเนียมของ Ministry of Sound นั่นคือ mixtape รายปีที่ทุกคนรอคอย มันคือการรวมและคัดสรรเอาสุดยอดเพลงเต้นรำอันทรงเกียรติกว่าห้าสิบเพลงจากทั่วยุโรปและอเมริกามารวมไว้ ทั้งเวอร์ชั่นเรดิโอ และเวอร์ชั่นรีมิกซ์ พร้อมมิกซ์เชื่อมระหว่างเพลงไว้อย่างแนบเนียน หากเราเอารวมฮิตของแต่ละปีมาฟังติดต่อกัน (ถ้าว่างขนาดนั้น) เราก็จะได้เห็นถึงแนวโน้มความเปลี่ยนแปลงของวงการเพลงแดนซ์อย่างชัดเจนว่าปีนี้ดีเจคนไหนดัง คนไหนดับ แนวไหนอิน แนวไหนเอาท์ ฉะนี้ถือเป็นกฎเหล็กสำหรับขาแด๊นซ์ที่ต้องมีไว้ในครอบครองทุกปีไป



สำหรับปีนี้ที่มาแรงก็มีมากมายแต่ที่ครองพื้นที่ส่วนใหญ่ในซีดีสามแผ่นนั้นจะตกอยู่กับเพลงแบบ Progressive House สไตล์ Axwell, Alesso หรือ Sebastian Ingrosso เด็กเก่า Swedish House Mafia และงานจากดีเจแดนไวกิ้งสุดฮ็อตที่สำหรับปีนี้ไม่รู้จักไม่ได้อย่างนาย ทิม เบิร์ก หรือ Avicii นั่นเองถึงแม้ว่าเพลงโปรดของเจ้าของบล็อกย่าง Silhouette จะถูกมิกซ์ซะเสียชาติเกิดก็ตาม

อีกนายหนึ่งที่แม้จะไม่ได้เกี่ยวกับ Ministry of Sound เท่าไหร่แต่ก็น่าจับตามองอย่างมากในปีนี้คือ Matthew Koma นักร้องหนุ่มจากนิวยอร์คที่มาโผล่มาให้เห็นอยู่หลายแทร็คเช่น Calling (Lose My Mind), Years และ Spectrum โดยหนุ่มเจ้าของเสียงเอกลักษณ์คนนี้นั้นเดิมทีเป็นนักแต่งเพลงที่ชีวิตกำลังไปได้สวยเพราะเริ่มต้นปี 2012 ด้วยการทัวร์คอนเสิร์ตเป็นวงเปิดให้กับ LMFAO แต่งเพลงให้ Bruce Springsteen จนจับผลัดจับผลูมาได้ร่วมงานกับสามหนุ่ม Swedish House Mafia ออกมาเป็น Calling จนเลยเถิดออก electro/house สุดแสนจะเก๋ไก๋อย่าง Spectrum ที่ร้องให้ดีเจชาวเยอรมันอย่าง Zedd ฟังดูแล้วนึกถึงงานเก่าขุดกรุของ PNAU ในเพลง Embrace เมื่อปี 2009 อย่างบอกไม่ถูก ปี 2012 ถือเป็นปีแจ้งเกิดสำหรับดาวรุ่งดวงนี้ที่ทำผลงานจนอิ่มหนำกันเลยทีเดียว รอดูผลงานเดี่ยวที่กำลังจะออกอีกไม่่กี่เดือนนี้กัน

แต่จากประสบการณ์การฟังมิกซ์เทปของกระทรวงมาตั้งแต่ปี 2009 ยังมิอาจกล่าวได้ว่าปีนี้เป็นปีที่ดีที่สุด เพราะนอกจากจะมีหลายเพลงที่ใหม่สดเพราะพริ้ง เพลงฮิตข้ามปี หรือบางเพลงที่ต้องรีบแจ้นไปหาออริจินอลมาฟัง ก็ยังมีบางเพลงที่เลวชาติ สมควรตายอย่าง Can't Kill the Party ของ Tom Piper, Mickey Slim & Majestic ที่พยายามสร้างเพลงชาติปาร์ตี้อย่างเอิกเกริกจนดูเสร่อเหมือนหลุดมาจากปี 2001 หรือบางเพลงที่เป็นเรื่องของ taste จริงๆ อย่าง Knife Party ที่ cult จัด ประเภทว่าถ้าชอบก็รักถ้าเกลียดคือเผาพริกสาปกันเลยทีเดียว หลายคนชอบหลายคนผิดหวังแต่ถึงอย่างไร มิกซ์เทปนี้ก็ยังเป็นอัลบั้มทรงคุณค่าอยู่ในฐานะผลงานที่รวบรวมเพลงดังๆ และเพลงดีๆใหม่ๆ ไว้ให้คนฟังโลกที่สามอย่างเราได้ตื่นตาตื่นใจ   แต่ยังคงไม่มีอะไรเทียบมหากาพย์รีมิกซ์จากกระทรวงเมื่อปี 2009 ที่เคยเมื่อหลายปีก่อน

ปิดท้ายถอนสายบัวสวยๆด้วย Superlove งานจาก Avicii feat. ลุง Lenny Kravitz เพลงเต็มไม่มีตัดจ้า
s

About Me

My photo
my name is mish my favorite color is turquoise when i grow up I want to be an architect