Monday, April 30, 2012
Premier: Where Have You Been - Rihanna
Where have you been ? คงเป็นประโยคคำถามที่แฟนห่านอยากจะร้องใส่ดังๆว่าหล่อนหายไปไหนมา เพราะหลังจากที่ We Found Love ดังระเบิดเป็นเพลงชาติไปเมื่อปีที่แล้วอัลบั้ม Talk That Talk ก็ทำท่าว่าจะไม่รอด อย่ากระนั้นเลย ก่อนถูกครหาว่าเป็น Single Artist ดังเป็นเพลงๆ ก่อนกระแสจะถูกกลบ ก่อนคนจะเริ่มทึกทักว่าห่านจะลอยแพอัลบั้มนี้ไปแล้วรึเปล่า นางจระเข้สาวก็เลื้อยขึ้นบกกลับมาทวงศักดิ์ศรีคืนทันทีด้วยการงัดแทร็คที่ถูกขอมาทางคลื่นวิทยุอย่างล้นหลามเพลงนี้ขึ้นมาเป็นซิงเกิ้ลมันซะเลย -- สิ่งหนึ่งที่ห่านสู้ไม่เคยถอยก็คือเรื่องเอ็มวี เพลงนี้ก็อีกเช่นกันที่เธอลงทุนจำแลงกายสารพัดสรรพสัตว๋์ตั้งครึ่งบกครึ่งน้ำบ้าง นอนในรังนกบ้าง เป็นเจ้าแม่พันมืออะไรต่อมิอะไร แต่ท้ายที่สุดก็หนีไม่ค่อยพ้นสิ่งที่เคยทำๆไปในเอ็มวีก่อนๆอย่าง Disturbia เท่าไหร่ แต่สิ่งที่พาวเวอร์อัพเพลงนี้จริงๆคือสเต็ปหน้ากระดานเป๊ะๆที่เป็นที่เห็นบ่อยๆเมื่อทศวรรษที่แล้ว อาจมีภาพ Together Again ของป้าบาบูนเจเน็ทวิ่งเข้ามาแทรกเป็นระยะ แต่ก็นับเป็นทิศทางใหม่สำหรับรีฮานน่าผู้พยายามจะเซ็กซี่เท่าไหร่ก็ไม่สำเร็จซักที หันไปเอาดีแนวเต้นก็ดีเหมือนกันนะห่าน -- งานนี้จะเปรี้ยงไม่เปรี้ยงมารอดูกันครับ
Tuesday, April 24, 2012
Wiz Khalifa เตรียมปล่อย "Work Hard, Play Hard"
Work Hard Play Hard by Atlantic Records
ปกติไม่ได้อะไรมากกับแร๊ปเปอร์นายนี้ซักเท่าไหร่ แต่พอมาเจอบีทฮิปฮ็อปชัดๆ หนักๆ สลับกับท่อนฮุคป็อปผสมซินธ์เท่ๆใน "Work Hard, Play Hard" ที่เตรียมตัวจะปล่อยเป็นซิงเกิ้ลใหม่ของ Wiz Khalifa เข้าไปแล้วถึงกับต้องรีบหันขวับมาจดจ่อกับเพลงนี้ทันที ตลกดี นานๆทีจะได้เจอเพลงแร็พรู้จักหน้าที่ ไล่ไปทำงานทำการให้เสร็จก่อนแล้วค่อยมา Play Hard ด้วยกัน --- สำหรับวีดีโอเพลงนี้คาดว่าคงอีกไม่นาน ส่วนอัลบั้มใหม่ที่ชื่อว่า "O.N.I.F.C" ซึ่งเป็นอัลบั้มที่สองของนายคนนี้ กว่าจะปล่อยก็จนกว่าจะเสร็จทัวร์กับ Mac Miller ก็กลางเดือนสิงหานู้น เริ่มส่อเค้าไปในทางที่ดีก็น่าจะคุ้มการรอคอยนะครับ
ไหนๆ วันนี้ก็มาทางฮิปฮอปแล้วก็ขอว่าต่ออีกเรื่องนึงเลยแล้วกัน จากวันก่อนที่มีข่าวว่า Dr.Dre กับ Snoop Dogg จะเอาโฮโลแกรม Tupac มาออกทัวร์นั้น สัปดาห์นี้ป๋าเดรแกออกมาประกาศแล้วว่า ... เป็นข่าวลือครับ หาใช่ความจริงแต่อย่างใด โดยเดรทำคลิปสั้นๆห้าสิบกว่าวินาทีฝากมาบอกว่า โฮโลแกรมในงานนั้นทำขึ้นมาเฉพาะสำหรับ Coachella ให้หายคิดถึงและอึ้งนิดหน่อยเท่านั้น ยังไม่คิดถึงขั้นจะเอาคนตายมาหากินหรอกคร้าบ
ปกติไม่ได้อะไรมากกับแร๊ปเปอร์นายนี้ซักเท่าไหร่ แต่พอมาเจอบีทฮิปฮ็อปชัดๆ หนักๆ สลับกับท่อนฮุคป็อปผสมซินธ์เท่ๆใน "Work Hard, Play Hard" ที่เตรียมตัวจะปล่อยเป็นซิงเกิ้ลใหม่ของ Wiz Khalifa เข้าไปแล้วถึงกับต้องรีบหันขวับมาจดจ่อกับเพลงนี้ทันที ตลกดี นานๆทีจะได้เจอเพลงแร็พรู้จักหน้าที่ ไล่ไปทำงานทำการให้เสร็จก่อนแล้วค่อยมา Play Hard ด้วยกัน --- สำหรับวีดีโอเพลงนี้คาดว่าคงอีกไม่นาน ส่วนอัลบั้มใหม่ที่ชื่อว่า "O.N.I.F.C" ซึ่งเป็นอัลบั้มที่สองของนายคนนี้ กว่าจะปล่อยก็จนกว่าจะเสร็จทัวร์กับ Mac Miller ก็กลางเดือนสิงหานู้น เริ่มส่อเค้าไปในทางที่ดีก็น่าจะคุ้มการรอคอยนะครับ
ไหนๆ วันนี้ก็มาทางฮิปฮอปแล้วก็ขอว่าต่ออีกเรื่องนึงเลยแล้วกัน จากวันก่อนที่มีข่าวว่า Dr.Dre กับ Snoop Dogg จะเอาโฮโลแกรม Tupac มาออกทัวร์นั้น สัปดาห์นี้ป๋าเดรแกออกมาประกาศแล้วว่า ... เป็นข่าวลือครับ หาใช่ความจริงแต่อย่างใด โดยเดรทำคลิปสั้นๆห้าสิบกว่าวินาทีฝากมาบอกว่า โฮโลแกรมในงานนั้นทำขึ้นมาเฉพาะสำหรับ Coachella ให้หายคิดถึงและอึ้งนิดหน่อยเท่านั้น ยังไม่คิดถึงขั้นจะเอาคนตายมาหากินหรอกคร้าบ
Friday, April 20, 2012
หากใครแวะเวียนไปใน Youtube ช่วงนี้ก็คงคุ้นหน้าคุ้นตากับสาวผิวแทนผมบลอนด์ในชุดหน้ากากบันนี่ที่มักจะมาเสนอหน้าให้เห็นริมขอบวิดีโออยู่เนืองๆ แถมยังมาพร้อมคำโปรยว่าเธอเซ็นสัญญาเป็นศิลปินค่าย Roc Nation ด้วยการโทรไปร้องเพลงให้ Jay-Z ฟังเพียงครั้งเดียว! อะไรยังไง Rita Ora คนนี้นี่คือใครกันหนอ อ้อ! เธอก็คือนักร้องเชื้อสายอัลเบเนีย วัย 21 ปี โตที่ลอนดอนแล้วบินข้ามน้ำข้ามทะเลมาสร้างชื่อเสียงที่อเมริกาเหมือนคนอื่นนั่นแหละครับ แต่ดังชั่วข้ามคืนเหมือนที่ VEVO เยินยอเชิงยัดเยียดนั่นไม่จริงซะทีเดียว สาวโอราเองก็ต้องเริ่มจากการไปปรากฎตัวตามเอ็มวีต่างๆของเจย์ซีบ้าง ของเดรคบ้าง แถมยังต้องแวบเข้าไปแจมตามคอนเสิร์ตต่างๆอีกนับไม่ถ้วน อัลบั้มที่เตรียมจะออกปีนี้ก็ซุ่มทำกันมาตั้งเกือบสองปี จะเก่งขนาดไหนโลกนี้ก็ไม่มีอะไรง่ายขนาดนั้นหรอกครับ
พอจะเริ่มออกตัวแรงก็ถูกค่อนแคะให้ระคายเคืองว่าเป็นตัวสำรองรีฮานน่าบ้าง เป็น copycat บ้าง โอร่าเธอบอกเลยว่าลุ๊คผมบลอนด์ปากแดงและเสื้อผ้ารียูสสไตล์ 90s ที่เธอใส่อยู่นี่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Gwen Stefani ต่างหาก ว่าแต่ R.I.P ซิงเกิ้ลล่าสุดที่ปล่อยออกมานี่มันเป็นเพลงที่รีฮานน่าเขี่ยทิ้งจากอัลบั้ม Loud มิใช่หรือ? ถ้าตัดเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกไปโอราก็มีสุ้มเสียงที่ชนะขาดไปเลย เพราะนอกจากเธอจะมีเทคนิคการร้องแบบโซลแพรวพราวแล้วเธอยังแฝงไปด้วยเสน่ห์แบบ Masculine ที่หลายคนอาจจะต้องหลงรัก (ไม่เชื่อลองแวะมาฟังเธอคัฟเวอร์ Somebody That I Used To Know ดูก่อนสิ) -- น่าเสียดายที่ตลาดเพลงป็อปอเมริกายังต้องอิงกระแสหลัก ไม่สามารถขายเสียงอย่างเดียวเหมือน Jessie J หรือ Adele ได้ ทำให้ Stargate และ Chase and Status ผู้อยู่เบื้องหลังซิงเกิ้ลนี้ก็ต้องเอาจังหวะ Dubstep สุดฮิตเข้ามาดันซิงเกิ้ลแล้วให้เรื่องเสียงร้องเป็นรองไป เธอเลยหมดโอกาสโชว์ความเทพในฐานะซิงเกิ้ลตัวเองตามรายการต่างๆไปโดยปริยาย
แต่ผู้อยู่เบื้องหลังซิงเกิ้ลนี่ตัวจริงก็คือ Nneka ศิลปินจากประเทศไนจีเรียที่ไม่รู้จะดีใจหรือจะเศร้าใจดีที่เพลง Heartbeat ของเธอถูกดึงไปแซมเปิ้ลให้โอร่าโดยดูจากสัดส่วนแล้วเธอน่าจะได้เครดิตมากกว่าคำว่าแซมเปิ้ลด้วยซ้ำนะครับ เอาเป็นว่า Nneka ก็ได้ผลพลอยได้จากตรงนี้ที่ทำให้คนหลายล้านคนแห่กันเข้ามาฟังเพลงนี้ของเธอรวมถึงตัวผมเองด้วย (ขอสารภาพว่าจริงๆผมชอบ Heartbeat มากกว่าโขอยู่) เพราะมันอุดมไปด้วยความดิบๆ บ้านๆ ความตรงไปตรงมาแบบแอฟริกัน รวมถึงเครื่องดนตรีน้อยชิ้น กับท่อนฮุคที่ติดหูกว่ากันเป็นไหนๆ เล่นเอาเพลงของโอร่าดูเป็น "สินค้า" ไปเลย
Thursday, April 19, 2012
Fruity Focus: หนัง Flashdance และ "เพลงนั้น" ของเจโล
ที่ว่า "เพลงนั้น" ก็เพราะว่าหลังจากปล่อยซิงเกิ้ลนี้ออกมาในปี 2003 ก็ลอยหายเข้ากลีบเมฆไปอย่างรวดเร็วไม่ปรากฏหลักฐานการมีตัวตนในชาร์ทตำแหน่งบนๆกับเขาเลย เพลงนั้นก็คือ I'm Glad จากอัลบั้ม This is me...Then ของเจโล เมื่อเกือบสิบปีก่อนนู้น แต่จะได้ตำแหน่งเท่าไหร่ไม่ใช่ประเด็นครับ เรื่องของเรื่องก็อย่างภาพที่เห็นข้างบนครับ มันคือไอเดียบรรเจิดของผู้กำกับสุดเปรี้ยว David Lachapelle ที่เล่าเรื่องราวของเพลงด้วยการขุดเอาหนังเต้นดราม่าสุดคลาสสิกจากยุค 80s อย่าง Flashdance ขึ้นมาปัดฝุ่นใหม่ จับเจโล ยีผมฟูฟ่อง ใส่เครื่องทรงนักเต้นแปลงโฉมให้เป็น Jennifer Beals ในยุคนั้นออกมาเหมือนกันอย่างกับแกะ แถมทั้งฉากทั้งแสง ท่าเต้นที่ถอดแบบออกมาอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
สำหรับคนที่เคยดู Flashdance จะรู้ว่ามันคือหนังเต้น รักโรแมนติกสู้เพื่อฝัน ของสาวนางหนึ่งชื่อว่า Alexandra Owens ที่ต้องใช้ชีวิตอย่างลำบากยากเข็ญเพื่อที่จะได้เป็นนัก Jazz Dance กับเขาบ้าง ในขณะที่เช้าก็ต้องไปเป็นกรรมกรก่อสร้าง ตกเย็นก็ต้องเต้นกินรำกินอีก แต่ทั้งนี้ก็เพราะเธอมีแฟนหนุ่มรูปหล่อคอยให้กำลังใจอยู่เคียงข้างเสมอ ... เห็นเป็นหนังพล็อตเน่ายุงหึ่งแบบนี้แต่ขอบอกเลยว่าหนังเรื่องนี้ถูกจัดว่าเป็นตำนานหนังเต้นสุดคลาสสิกเลยนะครับ เพราะสมัยนี้มันได้กลายเป็นต้นแบบพล็อตให้กับหนัง Step Up ที่เราดูๆกันอยู่นี่แหละ แถมมันยังมาพร้อมกับเพลงประกอบอย่าง What A Feeling ที่ฮิตทั่วบ้านทั่วเมือง ไม่เชื่อลองไปถามผู้ใหญ่(ที่มีรสนิยมเก๋ไก๋)ใกล้ตัวดูซิครับ รับรองรู้จักทั้งนั้น
ต่อมาเกือบยี่สิบปีให้หลัง David Lachapelle ก็นำหนังเรื่องนี้กลับมารีเมคใหม่เป็นเอ็มวี I'm Glad โดยธีม Old-School แบบนี้ก็หวานหมูเฮียแกอยู่แล้ว และเลือกไม่ผิดเลยที่เป็นเจโล เพราะเธอเองก็มีดีกรีเคยเป็นครูสอนเต้น เป็นนักออกแบบท่าเต้นมาก่อน แถมยังมีประวัติแร้นแค้นเติบโตมาจากย่าน Bronx ซึ่งเป็นย่านคนดำในนิวยอร์คอีกต่างหาก งานนี้เรียกได้ว่านอกจากจะเล่าเรื่องในหนังของ Jennifer Beals แล้วยังมีประสบการณ์ชีวิตของอีกเจนนิเฟอร์นึงซ้อนทับอยู่ด้วย -- ตัวเอ็มวีก็ทำการรวบเอาเนื้อหาและฉากเด่นๆของเรื่องมารวบยอดให้เหลือสั้นๆแค่สี่นาทีครึ่งโดยมีการปรับเปลี่ยนท่าเต้นในฉากสุดท้ายจากนักเต้นสาวหน้าหวานให้เซ็กซี่ขึ้นให้สมกับสาวสะโพกดินระเบิดมากขึ้นนิดหน่อย (โดยเฉพาะท่ากระโดดควงสว่านลงมาจากโต๊ะนั้นมันช่าง!) ส่วนองค์ประกอบอย่างอื่นนั้นแทบจะแยกกันไม่ออกเลยทีเดียว
ถามว่าอ้าวแล้วถอดแบบมาซะเหมือนเปี๊ยบแบบนี้ไม่โดนฟ้องเหรอ โดนซิครับ Paramount Picture ก็กระแอมมาว่า ถ้าเกิดน้องจะลอกของพี่มาซะเหมือนขนาดนี้น้องจ่ายตังค์ค่าลิขสิทธิ์มาหน่อยดีไหม? ทำไงได้ก็ต้องเสียเงินซิครับ แต่ก็ไม่ต้องขึ้นโรงขึ้นศาลอะไร ต่อมาก็โดนซ้ำซ้อนรอบสองอีกเมื่อ Maureen Marder ต้นเรื่องของหนัง Flashdance ก็ออกมาฟ้องว่าป้าให้ลิขสิทธิ์เรื่องราวของป้าไปทำหนังเท่านั้น ส่วนเอ็มวีนี้ถือว่าละเมิด! แต่ก็เคราะห์ดีที่ศาลก็ทำการไกล่เกลี้ยเรื่องนี้ไว้ได้
I'm Glad เป็นเพลงป็อปอาร์แอนด์บีที่ที่ไม่ได้ขี้ริ้วขึ้เหร่อะไรเลย เพียงแต่ว่าในยุคนั้นเพลงแบบนี้ถือว่ามีเยอะล้นตลาดไปหน่อยจึงไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร แต่ที่ผมนับถือว่าน่าเอาเป็นเยี่ยงอย่าง คือความเนี้ยบในการทำงานของเขาที่อุตส่าห์สรรหาทั้งฉาก เสื้อผ้า สถานที่ แต่งหน้า แม้กระทั่งแสงให้เหมือนเปี๊ยบไม่มีที่ตินั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ถ้าใครเห็นถึงความพิถีพิถันตรงนี้ก็คงไม่ยากที่จะเห็นถึงความน่าจดจำของซิงเกิ้ลที่ถูกลืมนี้ได้
ใครที่ยังมีซีดี This is me... Then ก็ลองเอาเพลงนี้มาเปิดฟังดูเล่นๆนะครับ
Wednesday, April 18, 2012
Tupac is ALIVE!!
ไม่ใช่ผีแร็พเปอร์ที่ไหน แต่เป็นการแสดงสุดฮือฮาจากงานเทศกาลดนตรี Coachella ปีล่าสุดที่เพิ่งผ่านไปสดๆร้อนๆเมื่อสองวันก่อนนี้เอง เรียกว่าเป็นช็อตหนึ่งที่น่าจดจำที่สุดในประวัติศาสตร์งานนี้เลยก็ว่าได้ ผู้คนต้องตื่นตะลึงเมื่อได้เห็น Tupac แร็พเปอร์ตัวพ่อที่ตายไปแล้วตั้งสิบสามปี มาแร็พให้เห็นกันจะๆ แต่ไม่ใช่การปลุกผีเสกวิญญาณมาจากไหน มันคือเทคโนโลยี Hologram ที่ฉายภาพจำลองของ Tupac ขนาดเท่าตัวคนจริงมาจากโปรเจคเตอร์ด้านล่าง นอกจากนี้ยังถอดรายละเอียดของตัวเขาจริงๆมาแบบเหมือนเปี๊ยบ แถมยังออกมาแจมกับป๋า Snoop Dogg ร้องตอบโต้กันได้ ปฏิสัมพันธ์กับคนดูได้ แถมแสดงเสร็จยังหายแว๊บไปต่อหน้าต่อตาอีกต่างหาก ดูแล้วขนลุกกันเลยทีเดียว
งานนี้คงไม่ใช่แค่ช็อคอย่างเดียว มันคือการทลายทฤษฎีการดูคอนเสิร์ตของคนเราอย่างราบคาบ คิดดูซิครับว่าถ้าเกิดเรายืนอยู่ตรงนั้น เราจะรู้สึกอย่างไร? เราควรจะส่งเสียงเชียร์ไหม ในเมื่อรู้ว่านั่นไม่ใช่คนจริงๆ เราจะรู้สึกเหมือนดูหนัง หรือดูคอนเสิร์ตกันแน่ อย่างไรก็ตามข่าวจาก Wallstreet Journal บอกว่าตอนนี้ Snoop Dogg กับ Dr. Dre หลังจากได้รับผลตอบรับอย่างล้นหลาม ทั้งสองก็ลองสำรวจความเป็นไปได้ วางแผนเอา 2pac Hologram มาออกทัวร์มันซะเลย! ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงอีกไม่นานเราคงต้องเตรียมตัวกับประสบการณ์ชมคอนเสิร์ตแบบที่ไม่เคยเจอมาก่อน อีกหน่อยในอนาคตความฝันจะได้ดูคอนเสิร์ต Elvis หรือได้ดู Michael Jackson บนเวทีอีกครั้งก็คงไม่เกินเอื้อม
อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีโฮโลแกรมกับ Pop Culture ก็ไม่ได้เพิ่งโคจรมาป๊ะกันครั้งแรกนะครับ เสด็จป้ามาดอนน่าก็ทะลุจอเข้าไปแจมกับ Gorillaz มาแล้วในงาน Grammy เมื่อปี 2006 -- Alexander McQueen ก็เคยจับ Kate Moss ลอยพริ้วในชุดฟินาเล่ของเขามาแล้วด้วย -- อีกต่อไปใครจะไปรู้เราอาจจะเชิญอากงอาม่า Hologram มาร่วมงานแต่งด้วยก็ได้
อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีโฮโลแกรมกับ Pop Culture ก็ไม่ได้เพิ่งโคจรมาป๊ะกันครั้งแรกนะครับ เสด็จป้ามาดอนน่าก็ทะลุจอเข้าไปแจมกับ Gorillaz มาแล้วในงาน Grammy เมื่อปี 2006 -- Alexander McQueen ก็เคยจับ Kate Moss ลอยพริ้วในชุดฟินาเล่ของเขามาแล้วด้วย -- อีกต่อไปใครจะไปรู้เราอาจจะเชิญอากงอาม่า Hologram มาร่วมงานแต่งด้วยก็ได้
Saturday, April 14, 2012
สุขสันต์วันสงกรานต์ครับทุกคน ไปเล่นที่ไหนก็อย่าให้ถึงกับไม่สบายนะครับ ในขณะที่สงกรานต์บ้านเรามาถึงวันสุดท้าย อีกฟากหนึ่งของโลก เทศกาลดนตรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกพึ่งเริ่มต้นขึ้นครับ นั้นคือ Coachella Music Festival ที่แคลิฟอร์เนียนู้น น่าจะร้อนแรงพอกับบ้านเราเพราะเขาจัดกลางทะเลทรายครับ มีทั้งเวทีร็อค ฮิปฮอป อินดี้ อิเล็คโทรนิก คนมาดูจากทั่วโลก แหมพูดแล้วก็อยากจะไปแสวงบุญกับเขาบ้าง
สำหรับวันนี้รู้สึกว่าจะมีบางคนเริ่มรู้ตัวแล้วว่าการปั่นยอดแอร์เพลย์ด้วยการทำเพลงเต้นฉิ่งฉับคลับแตก อัดท่อนฮุคติดหัวคนฟัง และ Mr. Over-produced (aka Pitbull) เพียงเพื่อที่จะให้ได้อันดับหนึ่งบิลบอร์ดมันเทียบไม่ได้เลยกับศิลปะแห่งความพอดี -- ซิงเกิ้ลล่าสุดจาก Usher นุ่มนวล ชวนฝัน และเซ็กซี่แต่พอควร ดึงพลังของอัชเชอร์จากอัลบั้ม Confessions เมื่อปี 2004 แต่ผนวกกับซาวน์ที่ร่วมสมัยขึ้น แฟนอาร์แอนด์บีคงใจชึ้นขึ้นหลังจากที่จะต้องไปเสาะหาอาร์แอนด์บีดีๆจากศิลปินกระแสรองอย่าง Frank Ocean หรือ The Weeknd มาตั้งปีสองปี ก็ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีสำหรับอัลบั้ม Looking for Myself ที่มีกำหนดจะวางแผงภายในปีนี้ครับ
Fruity Focus: Yoanne Lemoine (And a Bit About Me)
สวัสดีครับ
ผมได้ฤกษ์กลับมานั่งเขียนบล็อกกับเขาบ้างซักที หลังจากที่ทิ้งร้างให้บล็อกเก่าเน่ามดขึ้นมาหลายเดือนพอกลับมาเช็ค pageview ใหม่ก็พบว่าที่เข้ามาดูส่วนใหญ่มันคนไทยเกินครึ่งเลยนี่หว่า! ก็มะพร้าวห้าวไปขายสวนอยู่ตัั้งนานสองนาน อย่ากระนั้นเลย ตั้งบล็อกใหม่เขียนเป็นภาษาไทยให้คนไทยอ่านกันซะเลยดีกว่า ฝีมือการเขียนภาษาไทยอาจจะยังไม่จัดจ้านเท่าไหร่นัก ก็ต้องพัฒนากันไป แต่ยังไงก็ค่อยหายใจหายคอคล่องกว่าภาษาฝรั่งอยู่แล้วจริงไหม -- แนะนำตัวกันหน่อย ผมชื่อ ฮามิช ครับ อายุก็ยังไม่แก่เท่าไหร่ยี่สิบต้นๆ ตอนเด็กๆโตขึ้นอยากเป็นครู ตอนนี้ก็ยังอยากเป็นอยู่แต่น้อยกว่าอย่างอื่นนิดนึง ฟังเพลงป็อปฝรั่งมาตั้งแต่จำความได้ ชอบดูหนังมาก บ้าผู้กำกับมากกว่าดารา ก็คลั่งเป็นคนๆไป เวลาว่างชอบพยายามทำตัวเป็นนักอ่านนักเขียน แต่ก็เท่าที่เห็น คือไม่ค่อยเวิร์คเท่าไหร่ -- ใครที่สงสัยว่าทำไมต้อง Fruity Spoon ผมตอบได้แค่ว่าผมชอบผลไม้รวมครับ ขนาดยาสีฟันยังผลไม้รวม ดูแล้วสดชื่นดี ยังไงบล็อกนี้ก็ขอบล็อกแค่เรื่องดนตรีอย่างเดียวนะครับ เก็บเรื่องศิลปะกับภาพยนตร์ไว้ให้บล็อกฝรั่งได้ทำมาหากินบ้าง
มาหาสาระกันบ้างดีกว่าครับ
เอ็มวีที่เห็นข้างล่างนี้ เอามาแปะไว้เพราะอยากจะให้รู้จักกับผู้กำกับวัยละอ่อนแต่ฝีมือเด็ดคนนี้ครับ เขามีชื่อว่า Yoanne Lemoine (โยอานน์ เลมัวนี่)เป็นคนฝรั่งเศส นายคนนี้เขา high-profile อย่างมากมาตั้งแต่เด็กครับจบเกียรตินิยมสาขา Illustration and Animation มาตั้งแต่อายุยังน้อย เคยร่วมงานกับผกก.ดังๆอย่าง Sophie Coppola (ลูกสาว Francis Ford Coppola เจ้าพ่อ Godfather) Hype Williams และ David Lachapelle ด้วย ถ้าจะให้นึกออกหนุ่มคนนี้ก็คือผู้กำกับเอ็มวี Teenage Dream ของเคธี่ เพอร์รี่ นั่นแหละครับ ช่วงต้นปีมานี้จะมีผลงานออกมาให้เห็นอยู่บ่อยๆ หลายคนคงสังเกตได้จากความน้อยแต่มากในผลงานของเขา เจาะถ่ายวัตถุไปเป็นตัวๆ สื่อความหมายแยกๆกันไป สโลโมชั่นสวยๆไปพร้อมกับภาพขาวดำ ผมดูกี่ทีก็หลงครับ
Blue Jeans เอ็มวีนี้เป็นซิงเกิ้ลที่สามของสาวหน้าเบลอ Lana Del Rey และเป็นวีดีโอตัวที่สองต่อจากซิงเกิ้ลแรกของอัลบั้มคือ Born To Die ที่เขากำกับให้ดังไปเป็นพลุแตกเมื่อปลายปีก่อน ในเอ็มวีนี้ก็ยังเห็นภาพขาวดำ signature ชัดเจน ปล่อยสาวลานาลงไปลอยตุบป่องอยู่ในสระว่ายน้ำ เมคอัพยังครบเครื่องเหมือนสตรีฝรั่งเศสยุค 60s ผู้ชายหนุ่มในมาดแบดบอยที่ยืนอยู่ริมสระก็ไม่ใช่ใครที่ไหนก็ Bradley Soleil ในเอ็มวี Born To Die นั้นแหละครับ เนื้อหาก็คงหนีไม่พ้นการตกหลุมรักชายโฉดก็รังแต่จะพาชีวิตตกต่ำเหมือนไอ้เข้จะงาบลงน้ำไม่รู้เนื้อรู้ตัว คิดไปก็ทำให้นึกถึงความสัมพันธ์ของหนุ่มแบดบอย Serge Gainsbourg กับสาวเซ็กซ์ซิมโบล์ Brigitte Bardot เมื่อสมัยก่อนอยู่เหมือนกันนะครับ
ขาวดำไปแล้วลองมาดูแบบโมโนโทนดูบ้าง ใน Take Care เพลงใหม่ล่าสุดจากอัลบั้มชื่อเดียวกันของ Drake ครับ (เป็นอัลบั้มหนึ่งที่ผมเปิดฟังบ่อยมากๆช่วงนี้) กลับมาร่วมงานกับรีฮานน่าอีกครั้ง หลังจากที่ฟัง What's My Name กันจนหูชา รีฮานน่าในเอ็มวีนี้ย้อมผมบลอนด์แล้วดูแปลกตาไปมากแต่ก็ไม่ได้ทำให้เธอเด่นขึ้นเท่าไหร่ในความคิดผม เพลงเนิบๆก็ต้องเข้ากับเอ็มวีเรียบๆ Minimalism ซูมเข้าซูมออก ตัดกับ montage แรนดอมกันเข้ามา สิงห์สาราสัตว์ทั้งหลายที่ขยันขนกองทัพกันมาในเอ็มวีนี้ก็คร้านจะตีความนะครับ รู้แต่ว่ามันก็เป็นอีกหนึ่ง signature หนึ่งของโยอานน์เหมือนกัน มีสเน่ห์อย่างบอกไม่ถูก
ส่วนเพลง Iron นี้ผม (และคาดว่าพร้อมกับเกมเมอร์อีกหลายล้านคนบนโลก) ได้ยินเพลงนี้ครั้งแรกในฐานะเพลงประกอบเทรลเลอร์เกมส์ Assassins Creed: Revelation พอได้ยินเพลงนี้ปุ๊บก็รีบค้นเจอเอ็มวีเพลงนี้เอาใจผมไปทันทีเลย เอ็มวีตอบโจทย์ความเป็นมหากาพย์ของเกมส์โคตรนักฆ่าล่าล้างอธรรมได้ดีมากด้วยการสรรหาเอาองค์ประกอบต่างๆที่ทำให้นึกถึงความหนักแน่นทะมัดทะแมง การต่อสู้ ความรุนแรง แซมด้วยมนตร์ดำ สงคราม ความยิ่งใหญ่ -- เอ็มวีนี้ได้สาว Agyness Deyn นางแบบลุ๊คทอมบอยจากอังกฤษมายืนให้นกฮูกเกาะด้วย องค์ประกอบทุกอย่างดูแล้วเข้าตาไปหมด ไม่ว่าจะกับเพลง หรือกับเกมส์เอง
ส่วน Woodkid นี้เป็นชื่อโปรเจควงของโยอานน์เองนั้นแหละครับ เขาทำ EP ออกมาให้ฟังกันไปแล้ว อัลบั้มเต็มคิดว่าคงอีกไม่นาน นอกจากนี้หนุ่มคนนี้ยังเป็นทั้งช่างภาพ กราฟฟิกดีไซนเนอร์ด้วย คนอะไรทำได้ทุกอย่าง ดีเลิศซะทุกอย่าง โว๊ะ
ผมได้ฤกษ์กลับมานั่งเขียนบล็อกกับเขาบ้างซักที หลังจากที่ทิ้งร้างให้บล็อกเก่าเน่ามดขึ้นมาหลายเดือนพอกลับมาเช็ค pageview ใหม่ก็พบว่าที่เข้ามาดูส่วนใหญ่มันคนไทยเกินครึ่งเลยนี่หว่า! ก็มะพร้าวห้าวไปขายสวนอยู่ตัั้งนานสองนาน อย่ากระนั้นเลย ตั้งบล็อกใหม่เขียนเป็นภาษาไทยให้คนไทยอ่านกันซะเลยดีกว่า ฝีมือการเขียนภาษาไทยอาจจะยังไม่จัดจ้านเท่าไหร่นัก ก็ต้องพัฒนากันไป แต่ยังไงก็ค่อยหายใจหายคอคล่องกว่าภาษาฝรั่งอยู่แล้วจริงไหม -- แนะนำตัวกันหน่อย ผมชื่อ ฮามิช ครับ อายุก็ยังไม่แก่เท่าไหร่ยี่สิบต้นๆ ตอนเด็กๆโตขึ้นอยากเป็นครู ตอนนี้ก็ยังอยากเป็นอยู่แต่น้อยกว่าอย่างอื่นนิดนึง ฟังเพลงป็อปฝรั่งมาตั้งแต่จำความได้ ชอบดูหนังมาก บ้าผู้กำกับมากกว่าดารา ก็คลั่งเป็นคนๆไป เวลาว่างชอบพยายามทำตัวเป็นนักอ่านนักเขียน แต่ก็เท่าที่เห็น คือไม่ค่อยเวิร์คเท่าไหร่ -- ใครที่สงสัยว่าทำไมต้อง Fruity Spoon ผมตอบได้แค่ว่าผมชอบผลไม้รวมครับ ขนาดยาสีฟันยังผลไม้รวม ดูแล้วสดชื่นดี ยังไงบล็อกนี้ก็ขอบล็อกแค่เรื่องดนตรีอย่างเดียวนะครับ เก็บเรื่องศิลปะกับภาพยนตร์ไว้ให้บล็อกฝรั่งได้ทำมาหากินบ้าง
มาหาสาระกันบ้างดีกว่าครับ
เอ็มวีที่เห็นข้างล่างนี้ เอามาแปะไว้เพราะอยากจะให้รู้จักกับผู้กำกับวัยละอ่อนแต่ฝีมือเด็ดคนนี้ครับ เขามีชื่อว่า Yoanne Lemoine (โยอานน์ เลมัวนี่)เป็นคนฝรั่งเศส นายคนนี้เขา high-profile อย่างมากมาตั้งแต่เด็กครับจบเกียรตินิยมสาขา Illustration and Animation มาตั้งแต่อายุยังน้อย เคยร่วมงานกับผกก.ดังๆอย่าง Sophie Coppola (ลูกสาว Francis Ford Coppola เจ้าพ่อ Godfather) Hype Williams และ David Lachapelle ด้วย ถ้าจะให้นึกออกหนุ่มคนนี้ก็คือผู้กำกับเอ็มวี Teenage Dream ของเคธี่ เพอร์รี่ นั่นแหละครับ ช่วงต้นปีมานี้จะมีผลงานออกมาให้เห็นอยู่บ่อยๆ หลายคนคงสังเกตได้จากความน้อยแต่มากในผลงานของเขา เจาะถ่ายวัตถุไปเป็นตัวๆ สื่อความหมายแยกๆกันไป สโลโมชั่นสวยๆไปพร้อมกับภาพขาวดำ ผมดูกี่ทีก็หลงครับ
Blue Jeans เอ็มวีนี้เป็นซิงเกิ้ลที่สามของสาวหน้าเบลอ Lana Del Rey และเป็นวีดีโอตัวที่สองต่อจากซิงเกิ้ลแรกของอัลบั้มคือ Born To Die ที่เขากำกับให้ดังไปเป็นพลุแตกเมื่อปลายปีก่อน ในเอ็มวีนี้ก็ยังเห็นภาพขาวดำ signature ชัดเจน ปล่อยสาวลานาลงไปลอยตุบป่องอยู่ในสระว่ายน้ำ เมคอัพยังครบเครื่องเหมือนสตรีฝรั่งเศสยุค 60s ผู้ชายหนุ่มในมาดแบดบอยที่ยืนอยู่ริมสระก็ไม่ใช่ใครที่ไหนก็ Bradley Soleil ในเอ็มวี Born To Die นั้นแหละครับ เนื้อหาก็คงหนีไม่พ้นการตกหลุมรักชายโฉดก็รังแต่จะพาชีวิตตกต่ำเหมือนไอ้เข้จะงาบลงน้ำไม่รู้เนื้อรู้ตัว คิดไปก็ทำให้นึกถึงความสัมพันธ์ของหนุ่มแบดบอย Serge Gainsbourg กับสาวเซ็กซ์ซิมโบล์ Brigitte Bardot เมื่อสมัยก่อนอยู่เหมือนกันนะครับ
ขาวดำไปแล้วลองมาดูแบบโมโนโทนดูบ้าง ใน Take Care เพลงใหม่ล่าสุดจากอัลบั้มชื่อเดียวกันของ Drake ครับ (เป็นอัลบั้มหนึ่งที่ผมเปิดฟังบ่อยมากๆช่วงนี้) กลับมาร่วมงานกับรีฮานน่าอีกครั้ง หลังจากที่ฟัง What's My Name กันจนหูชา รีฮานน่าในเอ็มวีนี้ย้อมผมบลอนด์แล้วดูแปลกตาไปมากแต่ก็ไม่ได้ทำให้เธอเด่นขึ้นเท่าไหร่ในความคิดผม เพลงเนิบๆก็ต้องเข้ากับเอ็มวีเรียบๆ Minimalism ซูมเข้าซูมออก ตัดกับ montage แรนดอมกันเข้ามา สิงห์สาราสัตว์ทั้งหลายที่ขยันขนกองทัพกันมาในเอ็มวีนี้ก็คร้านจะตีความนะครับ รู้แต่ว่ามันก็เป็นอีกหนึ่ง signature หนึ่งของโยอานน์เหมือนกัน มีสเน่ห์อย่างบอกไม่ถูก
ส่วนเพลง Iron นี้ผม (และคาดว่าพร้อมกับเกมเมอร์อีกหลายล้านคนบนโลก) ได้ยินเพลงนี้ครั้งแรกในฐานะเพลงประกอบเทรลเลอร์เกมส์ Assassins Creed: Revelation พอได้ยินเพลงนี้ปุ๊บก็รีบค้นเจอเอ็มวีเพลงนี้เอาใจผมไปทันทีเลย เอ็มวีตอบโจทย์ความเป็นมหากาพย์ของเกมส์โคตรนักฆ่าล่าล้างอธรรมได้ดีมากด้วยการสรรหาเอาองค์ประกอบต่างๆที่ทำให้นึกถึงความหนักแน่นทะมัดทะแมง การต่อสู้ ความรุนแรง แซมด้วยมนตร์ดำ สงคราม ความยิ่งใหญ่ -- เอ็มวีนี้ได้สาว Agyness Deyn นางแบบลุ๊คทอมบอยจากอังกฤษมายืนให้นกฮูกเกาะด้วย องค์ประกอบทุกอย่างดูแล้วเข้าตาไปหมด ไม่ว่าจะกับเพลง หรือกับเกมส์เอง
ส่วน Woodkid นี้เป็นชื่อโปรเจควงของโยอานน์เองนั้นแหละครับ เขาทำ EP ออกมาให้ฟังกันไปแล้ว อัลบั้มเต็มคิดว่าคงอีกไม่นาน นอกจากนี้หนุ่มคนนี้ยังเป็นทั้งช่างภาพ กราฟฟิกดีไซนเนอร์ด้วย คนอะไรทำได้ทุกอย่าง ดีเลิศซะทุกอย่าง โว๊ะ
Fruity Review #1
Madonna
MDNA
4.5/10
กลับมาให้แฟนๆหายคิดถึงกันซักพักแล้วหลังจากเลิกกับสามีผู้กำกับตัวแสบไปคั่วเด็กรุ่นหลานซักสองสามคนแล้วหันมา “พยายาม” กำกับหนังดูซักตั้ง มาดอนน่า ราชินีเพลงป็อปกลับมาคราวนี้ก็ 53 กะรัตเข้าไปแล้ว มาพร้อมกับ MDNA อัลบั้มใหม่ชื่อเก๋ชุดที่ 12 ของชีวิตการเป็นศิลปินของเธอ ตลอดเวลาหลายปีที่ห่างหายไปดูเหมือนผู้หญิงคนนี้ดูจะผ่านอะไรมามากมายไม่ว่าจะไปก่อตั้งมูลนิธิในมาลาวี หรือเรื่องครอบครัวบ้านแตก หลายคนคงคิดว่ามาดอนน่าคงจะพกพาเรื่องราวอัดแน่นมาเต็มกระเป๋าเหมือนกับคราวที่เธอเอาประสบการณ์เลี้ยงลูกครั้งแรกมาถ่ายทอดในงานชั้นครูอย่าง Ray of Light แต่ครั้งนี้ผิดคาดที่ MDNA เต็มไปด้วยเพลงป็อปแด๊นซ์ขายส่งเต็มไปหมด หลายคนคงหงายเงิบอารมณ์เดียวกับตอนที่ได้ยินเดโม่ Give me All Your Lovin’ เมื่อปลายเดือนก่อน ป้าแกอาจจะจีบปากจีบคอบอกว่า “เพราะเพลงเต้นรำคือชีวิตของฉัน อยากได้จิตวิญญาณก็ไปฟังงานเก่าๆซิ” จริงเจ๊ แต่เพลงเต้นรำที่เจ๊เคยทำมันเคยดูมีแก่นสารกว่านี้มาก และนั้นคือเหตุผลที่เรารักเจ๊ มาดอนน่าในวันนี้ดูราวกับราชินีที่นั่งกุมบัลลังก์ด้วยความเบื่อหน่ายกับวงการเพลงป็อปซ้ำซาก เพลงที่เธอทำดูเหินห่างจากผู้ฟังไปหลายล้านไมล์ ราวกับสองสิ่งที่เธออยากจะคุยด้วยคือธุรกิจและโบท็อกซ์เท่านั้น
MDNA ขนโปรดิวเซอร์ฮอตฮิตทั้งหน้าใหม่หน้าเก่ามาร่วมสังคายนากันตั้งแต่ Benny Benessi โปรดิวเซอร์สายเทคโนที่มีชื่อขึ้นหราแทบจะทุกอัลบั้มซีดีตามแผงนาทีนี้ William Orbit ที่เคยฝากผลงานมาดอนน่ายุคโรแมนติกอย่าง Ray of Light ก็กลับมาร่วมงานให้ชื่นใจอีกครั้ง และแทบจะเป็นธรรมเนียมปฏิบัติไปแล้วที่ทุกครั้งที่เจ๊แม่ถอยอัลบั้มใหม่เธอจะไปจิกหาโปรดิวเซอร์หน้าใหม่มาปั้นเพื่อสร้างเก๋แหวกแนวให้ตัวเอง สำหรับคราวนี้คือหนุ่ม Martin Solvieg จากเมืองน้ำหอมต้นคิดเพลงเชียร์ลีดเดอร์ซูเปอร์โบว์ Give Me All Your Lovin’ ที่ฟังกันอยู่ทุกวันนี้นั่นเอง อัลบั้มเปิดด้วย Girl Gone Wild เพลงลูกครึ่งเทคโนป็อปคุ้นหูสไตล์ Benessi ฟังดูไม่ต่างจาก Celebration ที่นายนี้เคยมิกซ์ไว้ให้เท่าไหร่ แต่ก็ถือว่าเต้นได้ไม่ขี้ริ้วขี้เหร่อะไร Turn Up The Radio เพลงป็อปสดใสไร้พิษสง แต่แอบฉุนที่มันฟังดูคล้าย Hello งานของ Solveig เมื่อปีกลายมาจับแต่งตัวใหม่ ทำกันได้ลงคอนะ แต่ที่แสบสันที่สุดคงเป็น I’m Addicted แทร็คเทคโนเฮ้าส์สุดโหดราวกับนั่งรถไฟเหาะตีลังกาตลอดสี่นาทีครึ่งแห่งการเร่งจังหวะไม่หยุดยั้ง ทำเอาตกใจเฮ้ย นี่มาดอนน่าจริงเหรอเนี้ย! โดยเฉพาะท่อนจบ MDNA MDNA ทำเอาแฟนเจ๊สวดตามกันแทบไม่ทัน Love Spent และ I’m a Sinner ผลงานโปรดิวซ์ของ William Orbit ที่ครั้งนี้ดูเหมือนจะซอพท์ลงไปมากแต่ก็สร้างความลื่นไหลไปกับภาพรวมได้ดี ผิดกับ Falling Free ที่ดูจะโชว์ซาวน์อวกาศลอยละล่องแต่พอมาป๊ะกับทำนองเนื้อร้องโบราณอย่างกับสมัยเล่นหนัง Evita เลยดูกล้าๆกลัวๆ กลายเป็นเพลงบัลลาดน่าเบื่อไร้จุดจบไปเลย นอกจากนั้นเพลงทั้งหลายในซีดีแผ่นนี้ก็มีแต่เพลงที่ปราศจากการจัดระเบียบ เนื้อเพลงที่แทบจะไม่มีความหมายอะไร เมโลดี้สั้นๆ เหมือนนั่งฟังเพลงที่ยังทำไม่เสร็จ รวมไปถึง Gang Bang ที่มีคนพูดถึงกันมากที่สุดก่อนหน้านี้ ปรากฏว่าเพลงเต็มไม่มีอะไรมากกว่าที่ได้ยินใน Snippet เล่นวนซ้ำไปมาพอให้ป้าแกมีจังหวะได้ตะโกน Die, bitch! ให้ได้ป้ายมา Parental Advisory มาแปะสวยๆเท่านั้น ไปโกรธแค้นกันมาจากไหนไม่ทราบ รู้แต่ว่าผิดหวังมาก ตามนั้น
สรุปว่า MDNA แทนที่จะเป็นอัลบั้มสารกระตุ้นความพึงพอใจตามชื่อ กลับกลายเป็นโศกนาฏกรรมของสาววัยทองที่ถูกโปรดิวเซอร์ดูดกินพลังชีวิตไปหมด เพราะแต่ละคนก็ต่างงัดเอาสไตล์ของตัวเองมาอัดลงอัลบั้มกันอย่างเอาเป็นเอาตาย อย่าง I’m Addicted แทร็คดีเด่นประจำแผ่นก็ไม่เหมือนงานเฮ้าส์ที่เคยทำมาก่อนอย่าง Runaway Lover, Impressive Instant ตรงที่มันมีความเป็นมาดอนน่าผสมอยู่อย่างเจือจางมาก ก็เพราะตัวตนของเธอครั้งนี้ดูอ่อนลงไปมากถ้าเทียบสมัยก่อนกุมบังเหียนสั่งงานเยี่ยงทาสอย่างที่เราคุ้นเคย และด้วยความผิดพลาดอันใดไม่ทราบที่เลือกตัวแรงอย่าง M.I.A มาพ่นแร็พในเพลงเด็กน้อยอย่าง Give Me All Your Lovin’ การปรากฏตัวของ Nicki Minaj ก็ไม่น่าจดจำและไม่เป็นส่วนหนึ่งขององค์รวมอย่างยิ่ง ทั้งสองดูเป็นนักร้องจับฉ่ายมาบ่นสองสามบรรทัดตามหน้าที่แล้วแยกย้ายกลับบ้าน นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับจากการดันทุรังดึงเอาทุกสิ่งที่ฮ๊อตฮิตติดชาร์ทมาประโคมตัวเพื่อเกาะกระแสคนฟังรุ่นใหม่ให้ได้มากที่สุดทั้งๆที่มีชั่วโมงบินพอจะสร้างแนวทางของตัวเองได้ MDNA ทำให้เราตั้งคำถามว่า มาดอนน่าคนที่ท้าทายทุกความ controversial หายไปไหน มาดอนน่า trendsetter คนนั้นจะกลับมาอีกไหม ท้ายที่สุดแม้อัลบั้มนี้จะทำหน้าที่จูงคนออกมาเต้นเป็นบ้าเป็นหลังได้ดี แต่ผ่านไปอีกซักสิบยี่สิบปีจะยังมีคนพูดถึงมันอยู่ไหม
Subscribe to:
Posts (Atom)
Blog Archive
About Me
- Harmish Muszid
- my name is mish my favorite color is turquoise when i grow up I want to be an architect