Wednesday, March 5, 2014

Fruity Review #15 : Pharrell Williams GIRL


Pharrell Williams 
G I R L
6/10

ใครที่กำลังหนีตายการหลอกหลอนของ Blurred Lines และ Get Lucky มาจากปีที่แล้ว ขอให้ทำใจไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะปีนี้คือช่วงมือขึ้น Pharrell Williams จริงๆ ความนิยมพวยพุ่งเหมือนตอนยัยมารายห์โผล่ขึ้นจากขุมนรกสมัยอัลบั้ม The Emancipation of Mimi ปี 2005 นี่ยังไม่พูดถึงสิ่งที่เราประสบร่วมกันมาแล้วทั้ง Grammys ทั้ง Brit Awards หรือ Oscars มีคนที่ไหนมีฟาเรลที่นั่น และแน่นอนงานหมวกนายอำเภอต้องมา ทั้งหมดนี้ทำให้เราสามารถเรียกนายฟาเรลว่า ราชาแห่งเพลงป็อปกระแสหลัก ได้อย่างเต็มปาก (อย่างน้อยก็ช่วงครึ่งปีนี้แหละ) และคงไม่มีเวลาไหนเหมาะกับการออกอัลบั้มใหม่ไปกว่านี้อีกแล้วจริงไหม
อัลบั้มตั้งชื่อได้อย่างเลวชาติว่า G I R L ที่จะต้องมีทั้ง space ทั้ง capital ราวกับว่าแค่ชื่ออีศิลปินอย่างเดียวยังสะกดไม่ยากพอ อย่างไรก็ดีชื่ออัลบั้มก็สะท้อนแนวคิดที่น่าสนใจที่ฟาเรลได้ฝากไว้กับการสัมภาษณ์ต่างๆ ว่าเขาต้องการให้อัลบั้มนี้ออกมาในรูปแบบ Female-dominated หรืออัลบั้มที่มีผู้หญิงเป็นใหญ่ คล้ายกับว่าพี่แกรู้สึกสำนึกผิดกับเนื้อเพลง Blurred Lines ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าส่อแววไปในทาง ข่มขืน และหื่นเกินพอดี (I know you want it!) ก็เลยจะขอปรับปรุงตัวย้ายจุดยืนมาอยู่ฝั่งสตรีนิยมกับเขาบ้าง หลายคนก็บอกว่าอาจจะได้รับอิทธิพลจากการแต่งงานและศรีภรรยานางแบบขายาวที่ฉลาดเป็นกรดคอยบงการอยู่เบื้องหลัง จะเป็นหนุ่มเฟมินิสต์สุดโรแมนติกจริงหรือแค่ตั้งเป้าหมายขายชะนี งานนี้ต้องมีพิสูจน์กันแล้วแหละ

เพลงเปิดอัลบั้มที่ชื่อว่า Marilyn Monroe ที่ไม่ได้มาแค่มารีลีน มอนโร แต่ร่ายชื่อสดุดีสตรีคนสำคัญของโลกทั้ง โจน ออฟ อาร์ค และ คลีโอพัตราก็มาด้วย ทั้งหมดนี้ก็เพื่อที่จะบอกว่าเอาใครมาแลกก็ไม่ยอมจริงๆ อย่างไรก็ดีสำหรับแทร็คเปิดถือว่าทำได้น่าสนใจทีเดียว ต้องขอบคุณไปถึงท่อนโหมโรงเครื่องสายตระการตาที่เรียบเรียงโดย Hans Zimmer นักแต่งเพลงประกอบหนังฮอลลีวู้ดดังๆ มากมาย ที่ให้ยืมมือเรียบเรียงเครื่องดนตรีให้ในหลายๆ เพลงในอัลบั้มนี้ ไงล่ะ เริ่มสนุกล่ะซิ ยังไม่พอนะ สำหรับเพลงนี้ถ้าฟังดีๆ จะได้ยินเสียงยัย Kelly Osbourne มาร้องคอรัสและท่อนพูดให้ด้วย แค่นั้นยังไม่พอ G I R L ยังรวมดาราไว้อย่างคับคั่ง ตั้งแต่งานบีทบ็อกซ์โดย Timbaland ไปจนถึงนายหยอย Timberlake ที่เข้ามาสร้างสีสันด้วยฟอลเซตโต้เอกลักษณ์ในเพลง Brand New อันเป็นหนึ่งในเพลงที่แข็งแรงทางดนตรีที่สุดของอัลบั้ม ยัยเหมย Miley Cyrus มาในเพลง Come Get It Bae จังหวะซุกซนกับดูเอร้องประสานทับกันไปมาอยู่ตลอดทั้งเพลง กับเนื้อร้องประเภท you wanna ride my motorcycle... เข้าใจกันนะ

ในขณะที่ Alicia Keys มาในสกาเบาสบายใน I Know Who You Are ที่ฟาเรลปล่อยพื้นที่ให้คุณนายได้ปล่อยของเต็มที่ แต่ที่ชนะเลิศก็คงจะเป็น The Gust of Wind ที่ทางนี้ขอยกให้เป็นเพลงโปรดของอัลบั้มเลยล่ะ อ้อ เปล่าจ้ะ ไม่ใช่เพราะมี Daft Punk หรอกจ้ะ รู้กันว่าดาฟท์พังค์ยุคหลัง RAM มักไม่ค่อยมีบทบาทอะไรนอกจาก vocoder ไม่กี่วินาทีเท่านั้น แต่เพลงนี้เด่นด้วยการวางเครื่องสายที่ตัดกันได้อย่างลงตัวระหว่างไวโอลินและเครื่องดนตรีจากสายคลาสสิกกับเบสและกีตาร์แบบฟังก์ ที่ถูกจัดวางอย่างเรียบง่ายตั้งแต่ต้นจนจบเพลง เพลงที่ไม่ต้องพึ่งแขกเหรื่อก็มีดีไม่น้อยเช่น Lost Queen แทร็คยาวขนาดเจ็ดนาทีที่เหมือนมีอยู่สองเพลง คั่นกลางด้วยเสียงทะเลยาวยืดคลื่นกระทบฝั่งอยู่นาทีกว่า เก๋ไก๋ด้วยการค่อยๆ ปล่อยเพอร์คัชชั่นเข้ามาทีละชิ้น เพิ่มความเซ็กซี่ด้วยเสียงคอรัสผู้หญิงและเสียงอู้อ้าตามประสาฟาเรลเข้าไป ถือเป็นเพลงที่สาวๆ จะหลงรักได้ไม่ยาก แต่งานดาวดับก็มีให้เห็นเช่นซิงเกิ้ลนำ Happy กับจังหวะสุดโจ๊ะชวนเซิ้งกันทั้งวันทั้งคืน ด้วยเอ็มวีความยาว 24 ชั่วโมง แต่ไม่ต้องขนาดนั้นหรอก แค่ฟังให้จบเพลงก็จะแย่แล้ว เนื้อเพลงที่เริ่มซ้ำไปซ้ำมาตั้งแต่กลางเพลง กว่าจะจบทำเอาเริ่มเวียนหัวคล้ายอาการ unhappy อย่างบอกไม่ถูก Happy 24 ชั่วโมงไปเลยจ้า

แม้หลายเพลงจะดูตั้งใจเขียนให้ดูเหมือนมาจากมุมมองของผู้หญิง มีการใส่ความอ่อนไหวและงอแงลงไป สิ่งนี้แหละทำให้ G I R L กลายเป็นอัลบั้มที่มีความเป็นผู้ชายอย่างหนาแน่นและหนักหน่วงกว่างานใดๆ ไหนเล่าจะเนื้อเพลงอันมีแต่จะเพิ่มภาระ สร้างภาพจำให้ชะนีเป็นสิ่งมีชีวิตอ่อนไหวเอาไปแบกอีก ถ้าอัลบั้มนี้เป็นผู้ชายคนหนึ่งก็คงประหนึ่งผู้ชายขี้หลีที่ชอบพูดจาคะขา เจ๊าะแจ๊ะกับสาวๆ เพื่อเอาใจนั่นแหละ แต่ถ้าตัดเรื่องคอนเซปที่ใช้ออกตัวโฆษณานี้ไป ก็ถือว่าทำให้อัลบั้มหายใจหายคอง่ายขึ้น

ในทางดนตรีฟาเรลแหกโค้งจากอัลบั้มเดี่ยวของตัวเองเมื่อ 8 ปีก่อนอย่าง In My Mind อย่างสิ้นเชิง ไม่ทิ้งเค้าความเป็น The Neptunes ไว้ให้เห็น และการเลิกล้มความพยายามจะเป็นแร็พเปอร์ของเขา ทำให้เราต้องฟังเสียงร้องแหลมก้องอยู่ในคอหอยตลอดทั้ง 10 เพลงในอัลบั้มที่เต็มไปด้วยอุปมาอุปมัยสองแง่สองง่าม อันไม่ใช่ของใหม่อะไรนัก หากใครชอบสไตล์อัลบั้ม RAM ของ Daft Punk ก็ถือว่าสิ่งนี้เกิดมาเพื่อคุณจริงๆ เพราะมันช่างอัดแน่นด้วยความฟังก์ ทั้งเบส ทั้งกีตาร์ ไวโอลิน งาน Stevie Wonder ต้องมาาา โอ้ย มันช่าง 70s อะไรแบบนี้!

แต่ถ้าใครชอบฮิปฮอปเรารู้กันนะว่าอัลบั้มนี้ไม่ใช่ของคุณ เคลียร์นะ...


Similar Albums: Random Access Memories, Lift Your Spirit, Blurred Lines, 20/20 Experience

Friday, February 14, 2014

Happy Valentine's Day

 

Happy Valentine's Day

สุขสันต์วันวาเลนไทน์ครับทุกคน ใครมีแฟนก็ขอให้รักกันนานๆ ใครยังไม่มีก็ขอให้มีคนรักคนหลงตลอดไปเลยเนอะ วันนี้ขอมอบเพลงแต่งงานสุดฟีลกู๊ดที่ยุคหนึ่งเคยเป็นเพลงที่ยึดครองโควต้าเพลงประกอบหนังรักโรแมนติกมากมายแห่งยุค 90 เอาไปฟังกันให้ฉ่ำพร้อมมโนเอาว่าตัวเองเป็นจูเลีย โรเบิร์ตส์ ใส่ชุดกรุยกรายในสวน แหวนเพชรวงเท่าไข่ไก่ แขกเหรื่อมากันพร้อมหน้า จิบแก้วแชมเปญชนกันไปมา มโนซะให้สะใจก่อนเข้านอนวันนี้นะจ๊ะ

Tuesday, February 4, 2014

Bruno Mars Nailed Superbowl Halftime Show 2014!!!

(อย่าลืมเปิดระบบ "เฮ็ดดี" ด้วยนะจ๊ะ)
 

Bruno Mars Nailed Superbowl Halftime Show 2014!!!

 

มีแต่เรื่องให้ตื่นตาตื่นใจกันไม่เว้นแต่ละวัน เมื่อวันที่ 3 นี้เป็นอีกหนึ่งวันที่โลกต้องเกาะขอบจอกันอีกครั้ง (โดยเฉพาะในภูมิภาคที่เรียกว่าอเมริกา) กับการถ่ายทอดสดอเมริกันฟุตบอลครั้งใหญ่ประจำปี ซึ่งถามว่าใครแข่งกับใคร จะชนะใครกี่ศูนย์ ไม่ใช่เรื่องของเราเลยจ้าาา! เพราะสิ่งที่เราสนใจนั่นคือโชว์พักครึ่งหรือที่เรียกว่า Superbowl Halftime Show ต่างหากล่ะ จะไม่ให้สนใจยังไงไหว ก็การแสดงคั่นเวลา ณ สนามแห่งนี้มีศิลปินระดับโลกมาแสดงกันหมดแล้วตั้งแต่ Michael Jackson, U2, Prince, Black Eyed Peas, Madonna หรือกระทั่งแม่บี Beyonce ก็มา เป็นเวทีขนาดมโหฬารที่การถ่ายทอดสดเพียง 14 นาทีมีคนดูไม่ต่ำกว่า 110 ล้านคน กลายเป็นโอกาสครั้งใหญ่สำหรับศิลปินขวัญใจอเมริกันให้มาเรียกคะแนนความนิยมให้กับตัวเองกันเป็นแถว บางรายได้ขึ้นแสดงก็ขายอัลบั้มรวมฮิตถล่มทะลาย แอร์เพลย์พุ่งกระฉูด ได้แผ่นเสียงแพลตตินั่มก็มีมาแล้ว

สำหรับปีนี้โอกาสทองนั้นได้ตกไปอยู่ในกำมือของหนุ่มวัย 28 ปีเจ้าของส่วนสูง 164 เซนติเมตรนามว่า Bruno Mars นั่นเอง ไม่แปลกใจที่หนุ่มบรูโน่ ได้รับเชิญให้มาแสดงในครั้งนี้เพราะนอกจากมีความสามารถทางดนตรีอันล้นเหลือที่ฝึกปรือวิชาการแสดงสดบนเวทีตั้งแต่อายุได้ 4 ขวบแล้วยังมีเซ็กซ์แอพเพียลโดนใจสาวแก่แม่หม้ายมากมายให้หลงไหลกันไปตามๆกัน

จากเครื่องดนตรีที่นายคนนี้เล่นเป็นทั้งหมดคือ กลอง กีตาร์ เบส คีย์บอร์ด เปียโน และบีทบ็อกซ์ คุณพี่เลือกที่จะเปิดโชว์ด้วยทักษะการเล่นกลองระดับเทพที่ปลายแคทวอล์คแล้วให้ระบบไฮโดรลิกค่อยๆ ลากกลองชุดนั้นเข้ามาสู่ใจกลางเวทีใหญ่ที่ถูกจับจ้องไปด้วยคนดูกว่า 82,000 คนของ MetLife Stadium ก่อนที่พี่แกจะคว้าไมค์เริ่มประเดิมเพลงแรกด้วย Locked Out of Heaven อันดับหนึ่ง Billboard เมื่อปีที่แล้ว ท่ามกลางแสงสีเสียงและความช่วยเหลือจากพี่ป้าน้าอาวง The Smeezingtons ในชุดยูนิฟอร์มสีทองสุดฟังกี้เข้าชุดพี่บรูโน่ ณ จุดนี้เชื่อว่าหลายคนอาจจะตกลงปลงใจได้แล้วว่ามันคือโชว์ที่ดีกว่าที่เคยดูใน superbowl ในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา 

แต่มันยังไม่จบแค่นั้นพี่บรูโน่ต่อเข้าเพลงสองทันทีด้วย Treasure ทั้งร้องทั้งเต้นสุดตัว ท่อนฮุค hi-hat ฉึบฉับรับกับจังหวะกระโดดของคนดูด้านล่าง ต่อด้วย Runaway เพลงเก่าจากอัลบั้มแรก ส่งต่อเข้าสู่จุดพีคสุดของโชว์ด้วยการปรากฏตัวของวง Red Hot Chilli Peppers คือจุดนี้แฟนบอลที่นั่งดูอยู่คงถึงจุดพีคของความฟินเมื่อได้ยินเพลงฮิตจากอัลบั้ม Blood Sugar Sex Magik จากปี 1991 อย่าง Give It Away ดังขึ้นและพี่ Anthony Kiedis ซึ่งน่าจะเป็นบุคคลที่โลกคิดถึงที่สุดคนหนึ่งกลับมาให้เห็นอีกครั้งบนเวทีนี้ร่วมกับหนุ่มบรูโน่ที่ยังกระโดดเอาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย


So why Bruno Mars?

ตอบได้ไม่ยากหลังจากที่ได้ดูโชว์นี้จนจบ แต่ถ้าอยากได้คำตอบแบบวิเคราะห์แล้วละก็ ก่อนอื่นก็ต้องบอกว่า นาย Bruno Mars คนนี้นั้นไม่ได้มีแค่เพลงฮิตยาวเป็นหางว่าว แถมอัลบั้ม Unorthodox Jukebox ของเขายังคว้าแกรมมี่ไปด้วย แต่คล้ายกับ NFL ผู้จัด กำลังจะหาอะไรที่มาตัดอารมณ์กลับเข้ามาสู่ความดิบ มันส์สะใจโยกกันหัวสั่นหัวคลอนซึ่งเป็นรสชาติดั้งเดิมของการแสดงคั่นเวลา superbowl อีกครั้ง หลังจากสองสามปีให้หลังมานี้มีแต่การแสดงของเหล่าเจ๊ๆ ทั้งหลายที่ขนงานร้อง งานเต้น งานแดนซ์เซอร์กันมาเอาใจชะนีวัยใสกันมาหลายรอบแล้ว ก่อนที่ Superbowl จะกลายเป็นเวทีดีวาส์ดาวรุ่งจึงต้องรีบหาศิลปินที่จะดึงกลับมาเอาใจผู้ชมฟุตบอลส่วนใหญ่ซึ่งเป็นผู้ชายอีกครั้ง โดยจะโดดมาเลือก RHCP เลยหรือก็จะดูเป็นการหักดิบเกินไป อย่ากระนั้นเลย เรามีสิ่งที่เรียกว่า Bruno Mars มันคือสิ่งที่ชายก็ชอบด้วยฝืมือความเป็นนักดนตรีระดับเหนือชั้นอย่างที่เห็นในอัลบั้มที่สองของเขา และชะนีก็ปลื้มด้วยเพลงป็อปเอาใจสาวๆ อย่าง Just The Way You Are และการวางตัวโปรโมตของเขาในอัลบั้มแรก

ทำให้ Bruno Mars กลายเป็นศิลปินที่สามารถเชื่อมต่ออารมณ์แบบประณีประนอมระหว่างสองเพศที่เกาะขอบจอดูอยู่ได้อย่างดี โดยไม่ลืมที่จะจัด RHCP มาเป็นเครื่องเคียงตัดความเลี่ยนได้อย่างลงตัว แต่สิ่งที่เจ้าของบล็อกกล้าพูดว่านี่คือการแสดง Superbowl ที่ดีที่สุดในรอบ 3 ปีที่ผ่านมาคือความสามารถของหนุ่มคนนี้ล้วนๆ ไม่เชื่อก็ลองเปิดคลิปดูเอาเองสิ


John Martin - Anywhere For You


John Martin - Anywhere For You

อย่าทำเป็นไม่รู้จัก John Martin ไหน เพราะ ณ จุดนี้ทุกคนต้องเคยฟังเพลงฮิตระเบิดของ Swedish House Mafia อย่าง Don't You Worry Child หรือ Save The World กันมาแล้วทุกคน จนกระทั่งวงนี้จะแตกตัวล้มตายไปแล้ว นายจอห์น มาร์ตินก็ยังคงตามพยาบาทอยู่โดยการไปร้องในเพลง Reload งานเดี่ยวของ Sebastian Ingrosso อีก นึกออกแล้วใช่ไหมจ๊ะ

ส่วนตัวเพลง Anywhere For You ชื่ออาจฟังเหมือนสโลแกนเครือข่ายโทรศัพท์แต่นี่คือผลงานเดี่ยวชิ้นแรกของนายคนนี้ ตัวเพลงก็ถอดแบบต้นตำรับ EDM มาแบบช้อนต่อช้อน ใครที่ตอนนี้ชีวิตกำลังขาดเพลงเต้นสนุกๆ ก็มีเก็บไว้ฟังสนุกก็ได้นะจ๊ะ

Kylie Minogue - Into The Blue


 Kylie Minogue - Into The Blue

Dawn Shadforth กลับมากำกับเอ็มวีให้น้าไข่แล้วอีกครั้ง ยังจำกันได้ไหมนายคนนี้้ที่เคยกำกับเอ็มวี Can't Get You Out of My Head ให้ระเบิดเปรี้ยงปร้างเมื่อครั้งกระโน้น คราวนี้สำหรับซิงเกิ้ลแรกจากอัลบั้ม Kiss Me Once ของน้าไข่ Kylie Minogue อย่าง Into The Blue ก็ไม่ปล่อยให้ตุ๊ดน้อยใหญ่ได้รอคอยกันนานจนตกกระแส วานนี้คุณน้าจัดให้หลานๆ หนึ่งชุดด้วยเอ็มวีตัวเต็มเข้ามาแย่งชิงพื้นที่ในหัวใจอีกครั้ง

คราวนี้ไคลี่ลดเครื่องหัวประดับขนนกและแสงไฟบนฟลอร์กลับมาจุดตำนานป็อปแดนซ์อีกครั้งด้วยลุ๊คคุณนายไฮโซสวมแจ็คเก็ตรูปปาก ไอเท็มชูโรงจาก Saint Laurent คอลเลคชั่นล่าสุด การกำกับศิลป์แบบยุโร๊ปยุโรป ช่วงขาวดำนี่ราวกับนั่งดูหนังฝรั่งเศสยุค 60s อย่างนั้นแหละ ฉากงานเต้นรำของชนชั้นสูงประดับประดาไปด้วยแสงไฟสีทอง ถนนลอนดอนในยามค่ำคืน ชายหญิงอยู่ด้วยกันในห้องส่วนตัว นี่มันช่วงแรกของหนัง Eyes Wide Shut นี่น่า!

ก่อนเอ็มวีจะจบก็ยังไม่ได้มีความหวือหวาอะไรเกิดขึ้น จนคุณน้าไข่วัยกลางคนเดินเมามายสะพายกระเป่า Saint Laurent ใบงามอยู่กลางถนน ก่อนที่จะโดนสิบล้อฟาดเข้าให้ก็มีชายหนุ่ม Clement Sibony รับบทเป็นคู่ชีวิตของหล่อนก็คว้าตัวมาไว้ในอ้อมอกอย่างเร็วไว้ เคมีสองคนนี้เข้ากันดีจนถึงขั้นที่เชื่อว่าถ้าคุณสามีตัวจริงของน้ามาเห็นคงนั่งไม่ติดเบาะเลยแหละจะบอกให้

แม้ Into The Blue จะไม่ได้โปรดักชั่นอลังการต่อตัวเท่าตึกระฟ้าเหมือน All The Lovers และแน่นอนว่าคงไม่ใช่ซิงเกิ้ลที่เป็นหมุดหมายสำคัญในการงานอาชีพของนางนี้ แต่ตัวเอ็มวีเองก็สามารถประคับประคองเนื้อเพลงไปในทางที่น่าสนใจมากขึ้น ได้ยินครั้งแรกแล้วนึกภาพเห็นแต่น้ำทะเลท้องฟ้าแสนน่าเบื่อ มีวีดีโอเข้ามาเสริมเรื่องราวกลายเป็นความรักของหนุ่มสาวคู่นี้ไปได้ บวกกับเนื้อหาเพลงความหมายสุดจรรโลงปลุกชาาาาร์จสัตว์โลกให้ลุกขึ้นมาแดนซ์กันในยามเช้าอีกครั้ง

Friday, January 31, 2014

MTV Unplugged: Miley Cyrus


MTV Unplugged: Miley Cyrus


ช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้แฟนเพลงเจ๊แม่ Madonna ทั้งรุ่นเล็กรุ่นใหญ่อาจต้องตกใจเมื่อเสิร์ชเพลง Don't Tell Me แล้วได้ผลลัพธ์เป็นนางเหมยลี่ลิ้นยาวในสภาพเสื้อยีนส์ขาดวิ่นและหมวกคาวบอย อันเนื่องมาจากวันพุธที่ผ่านมาเกิดสิ่งที่เรียกว่า Miley Cyrus: MTV Unplugged ที่ต่อชีวิตการงานวัยใกล้เกษียณของมาดอนน่าให้กลับมาอยู่ในสายตาคนฟังรุ่นใหม่อีกครั้ง

ต้องขอบคุณไปถึง MTV Unplugged รายการแสดงสดจากช่องดนตรียักษ์ใหญ่แห่งอเมริกา ที่จะเชิญศิลปินดังต่างๆ มาจัดคอนเสิร์ตเปิดบ้านอคูสติกแบบส่วนตัว โดยให้อิสระทางความคิดและการเงินอย่างเต็มที่ และต้องขอบคุณอาเหมย Miley Cyrus ที่ยังคิดถึงเพลงของอาม่า อันเป็นเพลงที่ถูกกาลเวลากลบหายไปกว่าสิบปีอย่าง Don't Tell Me ขึ้นมาร้องใหม่ แถมยังไม่ลืมที่จะบวงสรวงอัญเชิญเสด็จย่าตัวจริงมาประทับที่เวที MTV ด้วย

ไหนๆ Don't Tell Me ก็กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง ก็เลยอยากจะถือโอกาสนี้เขียนถึงซิงเกิ้ลอันเป็นที่รักยิ่งของข้าพเจ้าสักหน่อย ครั้นจะเขียนถึง Don't Tell Me ให้แฟนมาดอนนาอ่านก็เกรงว่าจะเป็นการสอนจระเข้ว่ายน้ำเสียเปล่า แต่เมื่อวันสองวันก่อนก็ยังได้ยินน้องนุ่งหลายคนที่ยอมสารภาพว่า "เกิดไม่ทัน" และไม่เคยได้ยินมาก่อน ก็จะคิดเสียว่าจะอุทิศโพสต์นี้ให้กับยุวชนรุ่นหลังเสียแล้วกัน


Madonna - Music (2000)


ไม่แปลกนักที่อาเหมยจะให้สัมภาษณ์ว่าฟังเพลงของอาม่าสมัยยังเป็นเด็ก เพราะวันที่อัลบั้มนี้วางแผงเจ้าตัวเองก็คงอายุได้ไม่เกิน 10 ขวบด้วยซ้ำ จินตนาการเอาเองว่าคุณพ่อนักร้องคันทรี Billie Rae Cyrus คงพยายามกรอกหูให้ลูกซึมซับแนวดนตรีของตัวอยู่ เพลง Don't Tell Me นั้นอยู่ในอัลบั้มที่ตั้งชื่อได้อย่างย่ำแย่ว่า "MUSIC" ราวกับว่าโลกนี้มีนี้ไม่มีสิ่งอื่นที่ถูกเรียกว่า music เลยทีเดียว หรือถ้าจำไม่ได้ก็ให้นึกถึงยุคที่คุณแม่แต่งตัวเป็นคาวบอยนี่แหละ หลายคนที่เห็นเธอปรากฏตัวในงานแกรมมี่ด้วยชุดคาวบอยคงจะหาได้อีกหนึ่งเหตุผลมาตอบตัวเองว่าทำไมเธอเลือกลุ๊คนี้กลับมาแต่งอีกครั้ง นั่นก็อาจจะเป็นเพราะกำลังจะเชื่อมโยงไปถึงการแสดงสดกับไมลี่ ไซรัสในอีกไม่กี่วันถัดมานั่นเอง 

แต่แรงบันดาลใจจากความคันทรี่นั้นไม่ได้อยู่ที่แค่การแต่งตัวอย่างเดียวหรอกนะ เพราะคุณป้าเองก็ไม่สู้จะเห็นด้วยกับไอเดียการแต่งตัวเป็นคาวบอยโปรโมทอัลบั้มนี้ของช่างภาพคู่ใจ Jean-Baptiste Mondino ซักเท่าไหร่ แต่คุณป้าก็เริ่มเห็นสัญญาณความคันทรีในผลงานของตัวเองตั้งแต่เพลง American Pie เพลงคันทรีระดับคลาสสิกที่ถูกค่ายบังคับให้คัฟเวอร์มาเมื่อต้นปีที่แล้ว บวกกับการที่คุณป้าเริ่มหัดเล่นกีตาร์เป็นครั้งแรกจึงอาจจะเป็นโอกาสที่ดีที่จะเสริมให้แก่ลุ๊คนี้ จนกระทั่งป้าเห็นผลลัพธ์ที่ถ่ายออกมานั่นแหละถึงจะรู้สึกปลื้มปริ่มไฟเขียวให้ผ่านได้

Don't Tell Me คือเพลงแรกของคุณป้าที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเพลงแนวคันทรีเข้าไปเต็มๆ มันถูกแต่งโดย Joe Henry น้องเขยของตัวเองโดยใช้ชื่อว่า Stop โดยผ่านกระบวนการตัดแต่งให้เข้ากับปากตัวเองก่อนที่จะมาร้อง เพลงนี้โด่งดังด้วยกีตาร์ริฟที่นำความรู้สึกเหมือนเพลงคันทรี-โฟล์ค ก่อนที่จะตลบด้วยบีทสนุกๆ และเรียบง่ายทำให้กลายเป็น pop-dance ที่ใส่ความรู้สึกแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนในเพลงของมาดอนน่า ทำให้นักวิจารณ์หลายคนในช่วงนั้นก็มักจะชมอัลบั้มนี้ไปในทางที่ว่า "กล้าเปลี่ยนแปลง กล้าทดลอง และร่าเริงกว่า Ray Of Light" จุดนี้เจ้าของบล็อกก็ขอชูมือเห็นด้วยอีกคน แต่ก็น่าเสียดายที่ Don't Tell Me ไม่ได้รับการตอบรับเลิศเลอเหมือน Music ซิงเกิ้ลพี่สาว และอัลบั้มเองก็ส่งซิงเกิ้ลมาอีกเพียงหนึ่งเพลงก็พับโปรเจ็คปิดกิจการเรียบร้อย

MTV Unplugged: Miley Cyrus Poster

ตัดภาพกลับมาที่เหมยลี่ที่ ณ จุดนี้จะขี้จะตดก็เป็นข่าวมันเสียหมด ถึงคราวอาเหมยขอใช้เวที MTV Unplugged พิสูจน์ความสามารถกันซักตั้ง โดยงานนี้ก็เรียกว่าถอดปลั๊กหมดทุกชิ้นไม่มีเครื่องดนตรีไหนที่มาจากคอมพิวเตอร์เลย เรียกว่าเป็นกฏของรายการนี้ ที่จะต้องแสดงโดยเป็นรูปแบบอคูสติกเท่านั้น สำหรับโชว์นี้ตั้งแต่ต้นจนจบเหมยก็เป็นคนคิดเองออกแบบเองทั้งหมดตั้งแต่เสื้อผ้า ฉาก ลิสต์เพลงต่างๆ รวมไปถึงการเลือกแขกรับเชิญนางนี้เข้ามาก็เป็นการตัดสินใจของเธอด้วยนะ เหมยบอก MTV ด้วยว่าความที่ชอบเสด็จย่ามาดอนน่ามาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เมื่อมาเลือกเพลงของย่าจึงสังเกตว่า โอ้ Don't Tell Me นี่มันมีความหมายเหมือน We Can't Stop เวอร์ชั่นเจ้าบทเจ้ากลอนกว่า และล่อแหลมน้อยกว่าแถมยังตรงกับแนวคันทรีสมัยเราเป็น Hannah Montana เลยนี่นา! ว่าแล้วนางก็คงยกหูกริ๊งกร๊างไปหาเสด็จย่าที่บังเอิญกำลังหิวกระหายโอกาสที่จะกลับมาอยู่กระแสวัยรุ่นอีกครั้ง

ความรู้สึกแรกที่ได้ยิน Don't Tell Me หลุดออกจากปากไมลีย์คือ "ร้องเพราะกว่าเจ๊อีกอ่ะ" แต่ก็ไม่ปล่อยให้คนดูคอยนาน อาเหมยก็กระดิกนิ้วเรียกอาม่าที่นั่งไขว่ห้างรอคิวอยู่ในแถวคนดูให้ลุกขึ้นมาสำแดงฤทธิ์ความเป็นควีนออฟพ็อพอย่างเร็วไว เคมีของทั้งสองเข้ากันได้ดีจนดูเหมือนสองคนนี้เป็นย่าหลานที่ร้องเพลงนี้ด้วยกันในปาร์ตี้หลังบ้านทุกวันเสาร์อาทิตย์จริงๆ ดูเป็นกันเอ๊งกันเองและเพลิดเพลินกับสิ่งที่ตัวเองทำอยู่กันมากๆ แถมไมลีย์ก็ดูเหมือนจะไม่มีความเกรงกลัวกับการร่วมแสดงกับศิลปินระดับมาดอนน่าเลย ส่วนมาดอนน่าในอายุปูนนี้แต่งตัวแนวคันทรี ผลลัพธ์นั้นรอดพ้นสภาพความใกล้เคียง Dolly Parton ไปอย่างหวุดหวิด ส่วนไมลีย์นั้นต้องขอเทคะแนนให้กับความน่ารักน่าชังทั้งหน้าตาทรงผมและเสื้อผ้า นึกถึงมาดอนน่าอายุเท่านี้นางยังสองมือถือชะลอมเข้าเมืองหลวงมาหางานทำอยู่เลยมั้ง

ถึงแม้ว่าโชว์นี้จะไม่ใช่โชว์ที่สะเด็ดสะเด่าทางด้านการร้องหรือดนตรีก็ไม่เลิศเลออะไร (ท่อนที่ต่างคนต่างร้อง พูดได้ว่า "พัง") แต่ทั้งคู่ก็แสดงออกมาอย่างสบายๆ ด้วยเคมีที่ตรงกันแบบสุดๆ แถม Star Power ของเหมยยังทำให้ Don't Tell Me กลับมามีคนพูดถึงอีกครั้ง สำหรับแฟนมาดอนน่าคนหนึ่งแค่นี้ก็ถือว่าโอแล้วแหละ

About Me

My photo
my name is mish my favorite color is turquoise when i grow up I want to be an architect