Unorthodox Jukebox
7/10
Unorthodox Jukebox นั้น unorthodox อย่างไร? เป็นคำถามที่ยังค้างคาใจ ใคร่อยากรู้
คิดไปพลางนึกสงสัยว่าโลกนี้ สมัยนี้ ยังมีเพลงอะไรที่จัดได้ว่านอกรีตนอกรอยอีกด้วยหรือ แต่ด้วยคำบอกเล่าของเจ้าตัว หนุ่ม Bruno Mars แกได้ชี้แจงไว้ว่าอยากทำอะไรที่มันนอกเหนือไปจากที่เคยทำไปเมื่ออัลบั้มที่แล้ว ซึ่งนั้นเป็นข่าวดีทีเดียว! เพราะถ้ามันหมายความอัลบั้มนี้จะไม่มีพื้นที่ให้เพลงพระเอกหวานเลี่ยนอย่าง Just The Way You Are หรือประเภทเอาง่ายเข้าว่าอย่าง The Lazy Song ให้ได้เสนอหน้าอีกแม้แต่กระเบียดนิ้ว ปล่อยเพลงเหล่านั้นไว้ในอัลบั้มเก่า เก็บใส่ลิ้นชักไปเลยก็ได้ เพราะแค่อัลบั้มเดียวก็มากเกินกว่ามากแล้ว เลิกทำแต้มให้ชะนีน้อยใหญ่อ้าแขนรับไว้ในดวงใจแล้วเดินหน้าทำเพลงต่อไปซักที -- คราวนี้เราหันมาดูว่าในอัลบั้มที่สองนั้นหนุ่มมารส์ตีความคำว่า "อะไรที่ไม่เคยทำ" ว่าอย่างไรบ้าง อย่างแรกคือโปรดิวเซอร์ที่ก็ไม่ใหม่เท่าไหร่แต่ก็พอให้อภัย นั้นคือ Mark Ronson เจ้าพ่อโปรดิวเซอร์แนวโซล/ป็อป แห่งเกาะอังกฤษ และ คู่หู Major Lazer ที่เคยสังคายนาอัลบั้มใหม่ให้ No Doubt เมื่อปีที่แล้ว ที่เหลือก็ขนพวกพ้องน้องพี่ใน The Smeezington ที่ไม่ใช่ใครที่ไหนก็คือวงของนายบรูโน มารส์เนี่ยแหละมาร่วมหัวจมท้ายด้วย แถมยังได้ Esperanza Spalding นักร้องหญิงรางวัลแกรมมี่จากวงการแจ๊ซมาร่วมขบวนการอีกต่างหาก ใหม่ที่สองคือความหลากหลายทางแนวดนตรี ที่น่าประทับใจตรงที่พี่แกขนดนตรีทุกประเภทที่ประวัติศาสตร์ดนตรีผิวสีจะให้ได้ ตั้งแต่ ฟังก์ ดิสโก้ ป็อปแดนซ์แนวไมเคิล แจ็คสัน โพสต์ร็อค อะไรทั้งหลายแหล่ อัดแน่นกันอยู่ใน 10 เพลง บวก 1 โบนัสแทร็ค (ก็คือ 11 นั่นแหละ) และเดโมและรีมิกซ์อีกจำนวนหนึ่งในชุด Deluxe Edition ใครชอบอะไร all-in-one งานนี้ยังไงก็คุ้ม
Locked Out of Heaven ที่ยอมรับว่าได้ยินครั้งแรกนึกไปถึง Bring On The Night ของ The Police สมัยรุ่นพ่อนู้นน เป็นซิงเกิ้ลเปิดตัวอัลบั้มที่แสดงให้เห็นว่าได้เติบโตเป็นผู้เป็นคนขึ้นจากอัลบั้มแรกอยู่มาก, Gorilla อ้างอิงจากประสบการณ์จริงตอนถูกจับข้อหามีโคเคนไว้ในครอบครองเมื่อสองปีก่อน มาพร้อมกับท่อนฮุคติดหู radio-friendly มาก เหมาะกับการตัดเป็นซิงเกิ้ลดีอย่างเยี่ยม (แอบสังเกตว่านอกจากพี่แกจะหมกมุ่นกับการแต่งเพลงให้ผู้หญิงสวยๆแล้วยังขยันเอากอริลล่ามาเป็นเครื่องหมายการค้าให้ตัวเองด้วย) ต่อกันด้วย Treasure ดิสโก้สุดฟังกี้ น่ารักน่าชังสไตล์ Prince, Moonshine กับอินโทรกีตาร์เท่ห์ระเบิด เอาชนะใจใครต่อใครด้วยคอรัสโรแมนติกบาดจิต เคล้าอารมณ์ด้วยซาวน์อิเล็กโทรนิกตกแต่งพอประมาณ, Natalie โดนบีทอ้วนใหญ่เข้าเล่นงาน ลุกขึ้นเต้นกันแทบไม่ทัน นี่ฉันฟัง Single Ladies อยู่หรือเปล่าจ๊ะ? ต่อด้วย Show Me ที่ Major Lazer พาเราไปเที่ยวทะเลกันอีกแล้วกับจังหวะเร็กเก้ลื่นไหล ผนวกกับน้ำเสียงของหนุ่มบรูโน มารส์ที่พื้นเพเป็นชาวฮาวายอยู่แล้ว จึงทำให้เพลงดูน่าเชื่อถือเป็นพิเศษ ปิดท้ายด้วย Old & Crazy สวิงแจ๊ซแสนเก๋ ร้องคู่กับสาวเอสเปอรันซ่า สปอลดิ้ง พ่อแง่แม่งอนย้อนยุคกันขนาดนี้ เก็บไว้ให้ปาป๊ามาม๊าร้องคู่กันแทนจูบเย้ยจันทร์ดีกว่า
พูดกันตั้งแต่ต้นจนจะหมดอัลบั้มซะขนาดนี้ ถามว่าเห็นความพยายามในการทำสิ่งไม่เคยทำไหม ก็ต้องบอกว่าเห็นชัดตำตา หากเทียบกับอัลบั้มเดบิวต์แล้วก็ถือว่าทำคะแนนตีตื้นขึ้นมาได้ดี โดยเฉพาะทางด้านความหลากหลาย ไม่ใช่แค่ในแนวดนตรี แต่รวมไปถึงอารมณ์ต่างๆ ที่แต่ละแทร็คสร้างไว้ชัดเจน บางแทร็คลงลึกถึงขั้นสร้างธีมไว้ให้เรียบร้อย ภาพรวมก็เป็นอัลบั้มคึกคักฟังสนุกไม่ได้ขี้ริ้วขี้แหร่อะไร แต่มันไม่แค่ไม่ประทับใจ ไม่ประทับใจตรงที่หันไปทางไหนก็มีแต่ Reference คนอื่นหยุบหยับไปหมด เดี๋ยวก็ Prince บ้าง Police บ้าง Sam Cook บ้าง ไปจนถึง Daft Punk ซะอีกในแทร็ครีมิกซ์ ไม่รู้จะพูดยังไงเพราะมันอาจเป็นปัญหาของคนฟังที่ดันรู้มากไปเองเลยจับแพะชนแกะไปเองเรื่อย แต่แค่ความจับฉ่ายมันทำให้ไม่รู้สึกว่ากำลังฟังเพลงของใครเป็นพิเศษ คิดว่าอัลบั้มต่อไปคงได้ยินสิ่งที่น่าสนใจมากขึ้นในฐานะเพลงของบรูโน่ มารส์ที่เห็นความเป็นตัวของตัวเองชัดขึ้น อย่างน้อยก็น้ำเสียงไม่เหมือนใคร เทคนิกการร้องคล้ายไมเคิล แจ๊คสันที่สมัยนี้คงหาคนมาเทียบยากมาก หรือเพลงลูกครึ่งแร็กเก้ที่ฟังดูเข้าที่เข้าทางอย่างบอกไม่ถูก รอคอยฟังอัลบั้มใหม่ในอนาคตกันต่อไป แต่สำหรับตอนนี้เชิญรับประทานจับฉ่ายหม้อใหญ่ชื่อ Unorthodox Jukebox กันเลยจ้า
Love This?, Try These: Raphael Saadiq (Stone Rollin'), Major Lazer, Michael Jackson
No comments:
Post a Comment