56th Annual Grammys Awards Favorite Performances
จบลงไปอย่างสวยงามสำหรับ งานประกาศรางวัล Grammy Awards ครั้งที่ 56 ที่ถ่ายทอดสดยิงตรงจาก Staples Center, Los Angeles ผ่านความเมตตาการุณของสถานีวิทยุกองทัพบกช่องเจ็ดที่เผยแผ่เข้าสู่จอโทรทัศน์ความคมชัดต่ำราคาถูกในบ้านของข้าพเจ้าในเช้าตรู่เวลา 8 โมง แถมยังได้รับชมผ่านมุมมองของสองนักพากย์ที่ผลัดกันทำมาหากินอย่างขยันขันแข็ง ตัวข้าพเจ้าในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่นดูการถ่ายทอดสดอย่างตั้งใจ ในขณะที่มืออีกข้างหนึ่งก็สำรวจแรงกระเพื่อมแห่งโซเชียลเน็ตเวิร์กไปในเวลาเดียวกัน ขอบอกว่าการดูงานประกาศรางวัลด้วยความเห็นของ "คุณรุจ" แห่ง "เนื้อคู่ประตูถัดไป" ราวกับมานั่งเชียร์ข้างๆ นั้นถือเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ที่ยากจะหาสัมผัสใดเทียบเทียม
แต่ในที่สุดช่วงเวลาสำคัญแห่งวงการดนตรีประจำปี (ที่ผ่านมา) ก็ผ่านไป พร้อมกับศิลปินนักร้องที่หิ้วกราโมโฟนทองคำกลับบ้านเอาไปทับกระดาษกันเป็นแถว ชาวบ้านร้านตลาดแห่งโซเชียลเน็ตเวิร์กก็ต่างแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างเจือยแจ้วรวมถึงตัวข้าพเจ้าเองด้วย หลายคนชื่นชอบ หลายคนผิดหวังกับการตัดสิน หลายคนหมั่นไส้หนูหลอดเด็ก 17 ที่บังอาจคว้ารางวัลใหญ่ๆ อย่าง Best Pop Solo และรางวัลใหญ่อย่าง Song of The Year ไปในเพลง Royals ชาวแร็พพันแท้หลายคนก็รู้สึกขัดลูกหูลูกตาที่เห็นแร็พผิวขาว ร้องเพลงรัก อย่าง Macklemore & Ryan Lewis เฉือนชนะ Good Kid M.a.a.d City ของ Kendrick Lamar ไปในสาขา Best Rap Album ไปแบบไม่น่าให้อภัย และมีคนอีกมากมายที่ยังติดตราตรึงใจกับโชว์จากศิลปินใหญ่ในงานที่ทำออกมาได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือข้าพเจ้าเนี่ยแหละ
ซึ่งนั่นนำไปสู่จุดประสงค์หลักของโพสต์ในวันนี้ ที่เราจะมาพูดถึง 3
โชว์จากแกรมมี่อวอร์ด ที่ประทับใจที่สุด คงหนีไม่พ้นที่หลายคนชอบเท่าไหร่
แต่ถ้าอยากรู้ว่าทางนี้คิดเห็นยังไงบ้างก็เริ่มไปกันได้เลย
Kendrick Lamar and Imagine Dragons
Radioactive/M.a.a.d city
แม้ว่าจะไม่ใช่สำหรับทุกการแสดง แต่ก็แอบสังเกตเห็นจุดเด่นของโชว์แกรมมี่ในปีนี้คือจะเน้นการเอาศิลปินสองกลุ่มมาชนกัน ซึ่งก็ถือว่าเป็นไอเดียที่น่าสนใจเลยทีเดียวสำหรับเวทีที่อุทิศตนให้กับดนตรีเพียวๆ โดยไม่มีเรื่องความนิยมด้านอื่นมาแทรกแซง จึงเกิดการทดลองผสมผสานออกมาเป็นรสชาติใหม่ๆ ที่มีให้เห็นได้แค่ที่แกรมมีเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นโชว์เล็กๆ อย่างสาวคันทรี Miranda Lambert เจอกับหนุ่มอดีตพังค์แห่งยุค 90s อย่าง Billie Joe Armstrong แห่ง Green day ที่ควงคู่กันมาสดุดีแก่ศิลปินผู้ล่วงลับ หรือ Sara Bareilles จับคู่กับนักร้องรุ่นใหญ่อย่าง Carole King ในเพลงดังของทั้งสองคน หรือคู่ Metallica ที่ตัดอารมณ์อย่างลงตัวกับเปียโนคลาสสิกของ Lang Lang และอีกมากมาย
แต่ที่ไม่พูดถึงไม่ได้คงหนีไม่พ้น Imagine Dragon และ Kendrick Lamar ที่เข้ากันได้ดีอย่างเหลือเชื่อ
สำหรับวงร็อคหน้าใหม่ขวัญใจประชาชนอย่าง Imagine Dragons นั้น คงไม่สามารถจะโชว์เพลงไหนแล้วจะสร้างความประทับใจได้มากเท่าเพลงฮิตอย่าง Radioactive แต่เผอิญว่าถ้าแค่เล่นเพลงเดิมไปโดยไม่มีอะไรพิเศษก็คงไม่ต่างอะไรกับที่ American Music Awards และคงจะดูเป็นลุกไม้ตื่นๆ ไม่สมราคาแกรมมี่นัก ทำยังไงดีก็เลยเดือดร้อนไปถึงอีกศิลปินหน้าใหม่ที่เริ่มมีผลงานดังตั้งแต่ปี 2012 อย่างแร็พเปอร์หนุ่มวัย 26 ปี Kendrick Lamar ที่แรงต่อเนื่องไม่แพ้กัน แต่คุณสมบัติของทั้งคู่ไม่ได้มีแค่ว่าดังในช่วงเดียวกันหรอกนะ แต่ทั้งคู่ถูกนำมาจับคู่กันเพื่อเป็นการตอกย้ำความสำเร็จของค่ายเทปยักษ์ใหญ่อย่าง Def Jam ที่เป็นต้นสังกัดของทั้งคู่ต่างหาก และที่สำคัญคือปีนี้ Def Jam เฉลิมฉลองวันเกิดอายุ 30 ปีเสียด้วย
ส่วนโชว์ออกมาเป็นอย่างไร จะมันส์ขนาดไหนนั้นก็คงต้องให้วีดีโอที่อยู่เบื้องหน้าของคุณอธิบายจะดีกว่า! ปล. โปรดระวังสาวเทกิ่งรักส์ที่เซิ้งอยู่หน้าเวทีอย่างเอาเป็นเอาตาย นี่ถ้าหล่อนไม่ใส่ชุด Gucci คงนึกว่าหล่อนมาเต้นหน้าเวทีหมอลำงานบุญบั้งไฟนะเนี้ย ดูกะโตกกะตากมาก
Macklemore, Ryan Lewis, Mary Lambert and Madonna
Same Love/Open Your Heart
อย่าว่าแต่คุณเลย เราเองก็ยังไม่อยากเชื่อหู เมื่อข่าวก่อนหน้านี้หลุดมาว่าเจ๊แม่มาดอนนาผู้หญยิ่งยะโสจะขึ้นโชว์กับสองหนุ่ม Macklemore and Ryan Lewis ในฐานะที่เป็นแฟนเพลงเจ๊มาหลายปีบอกได้เลยว่านี่คือโอกาสที่พิเศษมากๆ สำหรับศิลปินระดับมาดอนน่าที่แทบจะไม่เคยขึ้นแสดงกับใครเลย จะเปลี่ยนมารับบทรองให้กับโชว์ในครั้งนี้
เพราะนางเอกตัวจริงไม่ใช่คุณแม่ แต่คือก้าวสำคัญของนิยามความรักใหม่ของคนบนโลกนี้ต่างหาก สาเหตุนั้นคงเดาไม่ยากว่าทำไมคุณแม่ถึงตกปากรับคำเข้ามาโชว์ได้ ทั้งๆที่ไม่ได้มีอัลบั้มใหม่และไม่ได้มีผลงานอะไรเลยในช่วงปีที่ผ่านมา แต่เพราะเพลง Same Love ของสองหนุ่มต่างหากที่ดึงดูดให้เธอเข้ามาร่วมงานด้วย ด้วยเนื้อหาชวนเปิดใจให้กับเพศทางเลือก และเปิดทางให้กับการสมรสอย่างถูกกฎหมายระหว่างเพศเดียวกันในสหรัฐที่กำลังเป็น issue กันอยู่ในช่วงนี้ ฉากการสมรสหมู่ร่วมกันของชาวเพศเดียวกันและต่างเพศนั้นคือภาพที่สวยงามเหมาะแก่การบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ เพราะการที่คู่รักเพศเดียวกันมีพื้นที่ยืนทัดเทียมกับคู่รักต่างเพศในเวทีแห่งนี้ได้นั้นถือเป็นการให้เกียรติแก่มนุษย์ในฐานะเพื่อนร่วมโลกได้อย่างดี เพราะพวกเขาไม่ได้ต้องการให้เป็นการแต่งงานพิเศษ แต่เพียงเพราะว่าการแต่งงานของเพศเดียวกันนั้นควรจะเป็นเรื่องปกติมิใช่หรือ
คุณแม่มาดอนน่าปรากฎตัวในชุดสีขาวและหมวกคาวบอยที่มีความกำกวมทางเพศอยู่ไม่น้อย แถมการแต่งกายแบบคาวบอยนั้นยังทำให้แฟนเพลงเดนตายยังจำได้ว่ามันคือชุดเดียวกับที่ใส่ในเพลง Music ที่ร้องว่า Music makes the people come together อีกต่างหาก แต่เพลงที่เธอร้องกลับเป็นท่อนสั้นๆ จาก Open Your Heart ผลงานจากอัลบั้ม True Blue เมื่อปี 1986 ที่ถึงแม้จะไม่ได้ถูกเขียนมาเพื่อเพศทางเลือกโดยตรง แต่ความหมายตรงท่อนนี้ก็สามารถเข้าได้กับ Same Love เป็นอย่างดี
Daft Punk, Pharrell Williams, Neil Rodgers and Stevie Wonder
Get Lucky/Le Freak
คู่สุดท้ายคงทุกคนคงไม่ต้องเดากันให้เสียเวลา เพราะปีที่๋ผ่านมาอัลบั้ม Random Access
Memories ออกมาฮิตไปทั่วนั้น ชื่อ Daft Punk
แทบจะดำรงอยู่เองไม่ได้โดยปราศจาก Pharrell Williams
โปรดิวเซอร์ที่ฮ็อตที่สุดแห่งปีโดยไม่มีข้อกังขา
ผลงานของเขานั้นเข้าชิงรางวัลใหญ่ที่สุดคือ Record of the Year
ถึงสองเพลงทั้ง Get Lucky และ Blurred Lines และอีกมากมาย
แต่สำหรับเวทีแกรมมี่แค่ Daft Punk กับ Pharrell เอง คงจะดูธรรมดาเกินไป
จึงต้องเสริมทัพด้วย Nile Rogers
มือกีตาร์ชื่อดังอดีตมือกีตาร์วงดิสโก้มากมายเช่น Chic, Sister Sledge
รวมไปถึงขุ่นแม่ Madonna ด้วย แค่นั้นยังไม่พอ
อีกหนึ่งแขกรับเชิญที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ Stevie Wonder ตำนานเพลง Funk
ต้นกำเนิดแรงบันดาลใจแห่งอัลบั้มนี้ก็มาร่วมแสดงด้วยกันตัวเป็นๆ
ใช่แล้ว คู่แมทช์ที่แท้จริงของโชว์นี้ คือหุ่นยนต์ Daft Punk ปะทะครอบครัวตำนาน Funk แห่งยุค 70s โชว์
เปิดด้วยเวทีจำลองห้องอัดที่ดูวินเทจนิดๆ
แออัดไปด้วยศิลปินระดับตำนานนั่งกันอยู่พร้อมหน้า หนุ่ม Pharrell Williams
ปรากฎตัวด้วยหมวกที่เห็นแล้วอดนึกถึง Smokey Bear ไม่ได้
แต่เขาบอกว่าหมวกนี่ได้รับแรงบันดาลใจจากที่เขาใส่ในเพลง Buffalo Gas ต่างหากหรอก จะอย่างไรก็ตาม Pharrell ก็ทำหน้าที่นำเพลง Get Lucky ในห้องอัดแห่งนี้ไปโดยปราศจากเงาของสองโรบอทให้เห็น
แต่
ทันใดที่ทั้งสองปรากฎตัวขึ้นหลังห้องอัดไฟ LED ที่เดินไว้นตามจุดต่างๆ
ก็ทำให้ห้องอัดแห่งนี้กลายสภาพเป็นยาวอวกาศสุดล้ำ trademark ของ Daft Punk
ในทันที แถมเนื้อเพลงก็เปลี่ยนมาเป็นท่อนจาก Le Freak ของ Chic
ซึ่งเป็นเพลงต้นฉบับที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับ Get Lucky อีกด้วย
และประหนึ่งว่างานฉลอง after party จะมาเร็วกว่ากำหนด
เหล่าศิลปินดาราทั้งหลายที่นั่งสวยๆ
กันอยู่ก็ลุกขึ้นเซิ้งกันถ้วนหน้าตั้งแต่รุ่นเล็กอย่างหนูเทย์ หนูแข
ไปจนถึงลุง George Harrison แห่ง The Beatles ก็มิอาจต้านทานได้ไหว
ดูแล้วเป็นภาพที่น่ารักดีที่มีการแสดงร่วมสมัยที่สรรเสริญตำนานดนตรีให้กับคนรุ่นเราได้ฟังกันแล้ว ยังเล่นได้มันส์จนต้องลุกขึ้นมาเต้นด้วยละเอ้อ!
No comments:
Post a Comment