Friday, January 31, 2014

MTV Unplugged: Miley Cyrus


MTV Unplugged: Miley Cyrus


ช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้แฟนเพลงเจ๊แม่ Madonna ทั้งรุ่นเล็กรุ่นใหญ่อาจต้องตกใจเมื่อเสิร์ชเพลง Don't Tell Me แล้วได้ผลลัพธ์เป็นนางเหมยลี่ลิ้นยาวในสภาพเสื้อยีนส์ขาดวิ่นและหมวกคาวบอย อันเนื่องมาจากวันพุธที่ผ่านมาเกิดสิ่งที่เรียกว่า Miley Cyrus: MTV Unplugged ที่ต่อชีวิตการงานวัยใกล้เกษียณของมาดอนน่าให้กลับมาอยู่ในสายตาคนฟังรุ่นใหม่อีกครั้ง

ต้องขอบคุณไปถึง MTV Unplugged รายการแสดงสดจากช่องดนตรียักษ์ใหญ่แห่งอเมริกา ที่จะเชิญศิลปินดังต่างๆ มาจัดคอนเสิร์ตเปิดบ้านอคูสติกแบบส่วนตัว โดยให้อิสระทางความคิดและการเงินอย่างเต็มที่ และต้องขอบคุณอาเหมย Miley Cyrus ที่ยังคิดถึงเพลงของอาม่า อันเป็นเพลงที่ถูกกาลเวลากลบหายไปกว่าสิบปีอย่าง Don't Tell Me ขึ้นมาร้องใหม่ แถมยังไม่ลืมที่จะบวงสรวงอัญเชิญเสด็จย่าตัวจริงมาประทับที่เวที MTV ด้วย

ไหนๆ Don't Tell Me ก็กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง ก็เลยอยากจะถือโอกาสนี้เขียนถึงซิงเกิ้ลอันเป็นที่รักยิ่งของข้าพเจ้าสักหน่อย ครั้นจะเขียนถึง Don't Tell Me ให้แฟนมาดอนนาอ่านก็เกรงว่าจะเป็นการสอนจระเข้ว่ายน้ำเสียเปล่า แต่เมื่อวันสองวันก่อนก็ยังได้ยินน้องนุ่งหลายคนที่ยอมสารภาพว่า "เกิดไม่ทัน" และไม่เคยได้ยินมาก่อน ก็จะคิดเสียว่าจะอุทิศโพสต์นี้ให้กับยุวชนรุ่นหลังเสียแล้วกัน


Madonna - Music (2000)


ไม่แปลกนักที่อาเหมยจะให้สัมภาษณ์ว่าฟังเพลงของอาม่าสมัยยังเป็นเด็ก เพราะวันที่อัลบั้มนี้วางแผงเจ้าตัวเองก็คงอายุได้ไม่เกิน 10 ขวบด้วยซ้ำ จินตนาการเอาเองว่าคุณพ่อนักร้องคันทรี Billie Rae Cyrus คงพยายามกรอกหูให้ลูกซึมซับแนวดนตรีของตัวอยู่ เพลง Don't Tell Me นั้นอยู่ในอัลบั้มที่ตั้งชื่อได้อย่างย่ำแย่ว่า "MUSIC" ราวกับว่าโลกนี้มีนี้ไม่มีสิ่งอื่นที่ถูกเรียกว่า music เลยทีเดียว หรือถ้าจำไม่ได้ก็ให้นึกถึงยุคที่คุณแม่แต่งตัวเป็นคาวบอยนี่แหละ หลายคนที่เห็นเธอปรากฏตัวในงานแกรมมี่ด้วยชุดคาวบอยคงจะหาได้อีกหนึ่งเหตุผลมาตอบตัวเองว่าทำไมเธอเลือกลุ๊คนี้กลับมาแต่งอีกครั้ง นั่นก็อาจจะเป็นเพราะกำลังจะเชื่อมโยงไปถึงการแสดงสดกับไมลี่ ไซรัสในอีกไม่กี่วันถัดมานั่นเอง 

แต่แรงบันดาลใจจากความคันทรี่นั้นไม่ได้อยู่ที่แค่การแต่งตัวอย่างเดียวหรอกนะ เพราะคุณป้าเองก็ไม่สู้จะเห็นด้วยกับไอเดียการแต่งตัวเป็นคาวบอยโปรโมทอัลบั้มนี้ของช่างภาพคู่ใจ Jean-Baptiste Mondino ซักเท่าไหร่ แต่คุณป้าก็เริ่มเห็นสัญญาณความคันทรีในผลงานของตัวเองตั้งแต่เพลง American Pie เพลงคันทรีระดับคลาสสิกที่ถูกค่ายบังคับให้คัฟเวอร์มาเมื่อต้นปีที่แล้ว บวกกับการที่คุณป้าเริ่มหัดเล่นกีตาร์เป็นครั้งแรกจึงอาจจะเป็นโอกาสที่ดีที่จะเสริมให้แก่ลุ๊คนี้ จนกระทั่งป้าเห็นผลลัพธ์ที่ถ่ายออกมานั่นแหละถึงจะรู้สึกปลื้มปริ่มไฟเขียวให้ผ่านได้

Don't Tell Me คือเพลงแรกของคุณป้าที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเพลงแนวคันทรีเข้าไปเต็มๆ มันถูกแต่งโดย Joe Henry น้องเขยของตัวเองโดยใช้ชื่อว่า Stop โดยผ่านกระบวนการตัดแต่งให้เข้ากับปากตัวเองก่อนที่จะมาร้อง เพลงนี้โด่งดังด้วยกีตาร์ริฟที่นำความรู้สึกเหมือนเพลงคันทรี-โฟล์ค ก่อนที่จะตลบด้วยบีทสนุกๆ และเรียบง่ายทำให้กลายเป็น pop-dance ที่ใส่ความรู้สึกแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนในเพลงของมาดอนน่า ทำให้นักวิจารณ์หลายคนในช่วงนั้นก็มักจะชมอัลบั้มนี้ไปในทางที่ว่า "กล้าเปลี่ยนแปลง กล้าทดลอง และร่าเริงกว่า Ray Of Light" จุดนี้เจ้าของบล็อกก็ขอชูมือเห็นด้วยอีกคน แต่ก็น่าเสียดายที่ Don't Tell Me ไม่ได้รับการตอบรับเลิศเลอเหมือน Music ซิงเกิ้ลพี่สาว และอัลบั้มเองก็ส่งซิงเกิ้ลมาอีกเพียงหนึ่งเพลงก็พับโปรเจ็คปิดกิจการเรียบร้อย

MTV Unplugged: Miley Cyrus Poster

ตัดภาพกลับมาที่เหมยลี่ที่ ณ จุดนี้จะขี้จะตดก็เป็นข่าวมันเสียหมด ถึงคราวอาเหมยขอใช้เวที MTV Unplugged พิสูจน์ความสามารถกันซักตั้ง โดยงานนี้ก็เรียกว่าถอดปลั๊กหมดทุกชิ้นไม่มีเครื่องดนตรีไหนที่มาจากคอมพิวเตอร์เลย เรียกว่าเป็นกฏของรายการนี้ ที่จะต้องแสดงโดยเป็นรูปแบบอคูสติกเท่านั้น สำหรับโชว์นี้ตั้งแต่ต้นจนจบเหมยก็เป็นคนคิดเองออกแบบเองทั้งหมดตั้งแต่เสื้อผ้า ฉาก ลิสต์เพลงต่างๆ รวมไปถึงการเลือกแขกรับเชิญนางนี้เข้ามาก็เป็นการตัดสินใจของเธอด้วยนะ เหมยบอก MTV ด้วยว่าความที่ชอบเสด็จย่ามาดอนน่ามาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เมื่อมาเลือกเพลงของย่าจึงสังเกตว่า โอ้ Don't Tell Me นี่มันมีความหมายเหมือน We Can't Stop เวอร์ชั่นเจ้าบทเจ้ากลอนกว่า และล่อแหลมน้อยกว่าแถมยังตรงกับแนวคันทรีสมัยเราเป็น Hannah Montana เลยนี่นา! ว่าแล้วนางก็คงยกหูกริ๊งกร๊างไปหาเสด็จย่าที่บังเอิญกำลังหิวกระหายโอกาสที่จะกลับมาอยู่กระแสวัยรุ่นอีกครั้ง

ความรู้สึกแรกที่ได้ยิน Don't Tell Me หลุดออกจากปากไมลีย์คือ "ร้องเพราะกว่าเจ๊อีกอ่ะ" แต่ก็ไม่ปล่อยให้คนดูคอยนาน อาเหมยก็กระดิกนิ้วเรียกอาม่าที่นั่งไขว่ห้างรอคิวอยู่ในแถวคนดูให้ลุกขึ้นมาสำแดงฤทธิ์ความเป็นควีนออฟพ็อพอย่างเร็วไว เคมีของทั้งสองเข้ากันได้ดีจนดูเหมือนสองคนนี้เป็นย่าหลานที่ร้องเพลงนี้ด้วยกันในปาร์ตี้หลังบ้านทุกวันเสาร์อาทิตย์จริงๆ ดูเป็นกันเอ๊งกันเองและเพลิดเพลินกับสิ่งที่ตัวเองทำอยู่กันมากๆ แถมไมลีย์ก็ดูเหมือนจะไม่มีความเกรงกลัวกับการร่วมแสดงกับศิลปินระดับมาดอนน่าเลย ส่วนมาดอนน่าในอายุปูนนี้แต่งตัวแนวคันทรี ผลลัพธ์นั้นรอดพ้นสภาพความใกล้เคียง Dolly Parton ไปอย่างหวุดหวิด ส่วนไมลีย์นั้นต้องขอเทคะแนนให้กับความน่ารักน่าชังทั้งหน้าตาทรงผมและเสื้อผ้า นึกถึงมาดอนน่าอายุเท่านี้นางยังสองมือถือชะลอมเข้าเมืองหลวงมาหางานทำอยู่เลยมั้ง

ถึงแม้ว่าโชว์นี้จะไม่ใช่โชว์ที่สะเด็ดสะเด่าทางด้านการร้องหรือดนตรีก็ไม่เลิศเลออะไร (ท่อนที่ต่างคนต่างร้อง พูดได้ว่า "พัง") แต่ทั้งคู่ก็แสดงออกมาอย่างสบายๆ ด้วยเคมีที่ตรงกันแบบสุดๆ แถม Star Power ของเหมยยังทำให้ Don't Tell Me กลับมามีคนพูดถึงอีกครั้ง สำหรับแฟนมาดอนน่าคนหนึ่งแค่นี้ก็ถือว่าโอแล้วแหละ

Wednesday, January 29, 2014

Kelis New Album "Food"


Kelis - Jerk Ribs (HQ)
and her upcoming album

หายหน้าหายตาไปนาน สำหรับอดีตตำนานเต้าสั่นขวัญแขวนอย่าง Kelis ที่หลังจากได้ข่าวว่าหมดสัญญากับค่ายยักษ์ใหญ่อย่าง Interscope ก็หลบไปใช้ชีวิตเป็นคุณแม่ใบเลี้ยงเดี่ยว อยู่กับเย้าเฝ้ากับเรือน หมกมุ่นกับการทำกับข้าวจนพี่แกสามารถเขียนออกมาเป็นหนังสือทำอาหารออกมาเป็นเล่มๆได้ แถมยังเอาจริงเอาจังจนถึงขั้นจะทำซอสของตัวเองขายอีกต่างหาก เอาซี่! ถ้างั้นบรรดาแฟนๆ ผู้ติดใจอัลบั้มแซ่บๆ อย่าง Kelis Was Here และ Flesh Tone ก็ได้แต่หวั่นใจว่าวันดีคืนดีนางจะผันไปเลือกเส้นทางชีวิตเป็นมนุษย์มะนาปกติ เช่ยผลิตซอสขายเลี้ยงชีพแทน โลกนี้คงต้องขาดนักร้องเสียงดีลีลาเด็ด น่าเศร้าสลดใจอยู่ไม่น้อย

แต่สาว Kelis Rogers วัย 34 ปีผู้นี้หาได้ทำให้แฟนๆ ผิดหวัง เมื่อเธอได้ประกาศเซ็นสัญญากับค่ายเทปอินดี้แห่งหนึ่งนามว่า Ninja Tunes ที่พร้อมจะปั้นอัลบั้มใหม่ลำดับที่ 7 โดยฝีมือของนาย Dave Sitek แห่งวง TV on the Radio ตั้งแต่เพลงแรกถึงเพลงสุดท้าย แถมเจ้าตัวยังดูตื่นเต้นกับการได้ย้ายเข้ามาร่วมงานกับค่ายเพลงนี้ด้วย โดยบอกว่า "This is something I wanted to do for so long" อัลบั้มใหม่ของ Kelis เขาประกาศอย่างเป็นทางการแล้วว่าจะใช้ชื่อว่า "Food" ตามสไตล์แม่ครัวมือใหม่ผู้หลงไหลในศิลปะการทำอาหาร เท่านั้นยังไม่พอเพลงในอัลบั้มยังเป็นชื่ออาหารตลกๆ อีก เช่น "Cobbler", "Fish Fried", "Breakfast", "Biscuit n' Gravy" คงดูจะสนใจการทำอาหารจริงด้วย และอีกหนึ่งเมนูที่เซิร์ฟมาอย่างไม่เป็นทางการเมือปีที่แล้วคือซิงเกิ้ล "Jerk Ribs" วันนี้เจ้าของบล็อกก็ภูมิใจจะนำเสนอเวอร์ชั่นแบบฟังชัดใสแจ๋ว เพราะทางค่ายปล่อยให้ดาวน์โหลดทางไอทูนส์และเปิดพรีออร์เดอร์อัลบั้มอย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อย --ใครบังอาจครหาว่าค่ายเล็กแล้วเพลงจะเห็นหอย งานนี้คงได้ฟังชัดเต็มสองกกหู ด้วยงานโซลเท่ห์ๆ ขนกองทัพเครื่องดนตรีมาดีดสีตีเป่ากันครบวง และสไตล์การร้องและน้ำเสียงที่น้อยคนจะเลียนแบบได้ยังโดดเด่นสมศักดิ์ศรี เห็นแนวทางอนาคตอัลบั้มที่ใหม่ที่ไฉไลมาแต่ไกล ฟังแล้วนึกถึงอีพี True อันลือลั่นของสาว Solange เมื่อปีก่อนเลยแหละ

แต่ขอตินิดเดียวจริงๆ ทางค่ายจะลงทุนหากราฟฟิกดีไซน์เนอร์ดีๆ มาออกแบบปกอัลบั้มไม่ได้หรือไง หรือให้ลูกชายสี่ขวบมันใช้โปรแกรม Paint วาดให้เนี่ย!

Monday, January 27, 2014

56th Annual Grammys Awards Favorite Performances

56th Annual Grammys Awards Favorite Performances 

จบลงไปอย่างสวยงามสำหรับ งานประกาศรางวัล Grammy Awards ครั้งที่ 56 ที่ถ่ายทอดสดยิงตรงจาก Staples Center, Los Angeles ผ่านความเมตตาการุณของสถานีวิทยุกองทัพบกช่องเจ็ดที่เผยแผ่เข้าสู่จอโทรทัศน์ความคมชัดต่ำราคาถูกในบ้านของข้าพเจ้าในเช้าตรู่เวลา 8 โมง แถมยังได้รับชมผ่านมุมมองของสองนักพากย์ที่ผลัดกันทำมาหากินอย่างขยันขันแข็ง ตัวข้าพเจ้าในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่นดูการถ่ายทอดสดอย่างตั้งใจ ในขณะที่มืออีกข้างหนึ่งก็สำรวจแรงกระเพื่อมแห่งโซเชียลเน็ตเวิร์กไปในเวลาเดียวกัน ขอบอกว่าการดูงานประกาศรางวัลด้วยความเห็นของ "คุณรุจ" แห่ง "เนื้อคู่ประตูถัดไป" ราวกับมานั่งเชียร์ข้างๆ นั้นถือเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ที่ยากจะหาสัมผัสใดเทียบเทียม 

แต่ในที่สุดช่วงเวลาสำคัญแห่งวงการดนตรีประจำปี (ที่ผ่านมา) ก็ผ่านไป พร้อมกับศิลปินนักร้องที่หิ้วกราโมโฟนทองคำกลับบ้านเอาไปทับกระดาษกันเป็นแถว ชาวบ้านร้านตลาดแห่งโซเชียลเน็ตเวิร์กก็ต่างแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างเจือยแจ้วรวมถึงตัวข้าพเจ้าเองด้วย หลายคนชื่นชอบ หลายคนผิดหวังกับการตัดสิน หลายคนหมั่นไส้หนูหลอดเด็ก 17 ที่บังอาจคว้ารางวัลใหญ่ๆ อย่าง Best Pop Solo และรางวัลใหญ่อย่าง Song of The Year ไปในเพลง Royals ชาวแร็พพันแท้หลายคนก็รู้สึกขัดลูกหูลูกตาที่เห็นแร็พผิวขาว ร้องเพลงรัก อย่าง Macklemore & Ryan Lewis เฉือนชนะ Good Kid M.a.a.d City ของ Kendrick Lamar ไปในสาขา Best Rap Album ไปแบบไม่น่าให้อภัย และมีคนอีกมากมายที่ยังติดตราตรึงใจกับโชว์จากศิลปินใหญ่ในงานที่ทำออกมาได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือข้าพเจ้าเนี่ยแหละ 

 ซึ่งนั่นนำไปสู่จุดประสงค์หลักของโพสต์ในวันนี้ ที่เราจะมาพูดถึง 3 โชว์จากแกรมมี่อวอร์ด ที่ประทับใจที่สุด คงหนีไม่พ้นที่หลายคนชอบเท่าไหร่ แต่ถ้าอยากรู้ว่าทางนี้คิดเห็นยังไงบ้างก็เริ่มไปกันได้เลย


Kendrick Lamar and Imagine Dragons
Radioactive/M.a.a.d city

   แม้ว่าจะไม่ใช่สำหรับทุกการแสดง แต่ก็แอบสังเกตเห็นจุดเด่นของโชว์แกรมมี่ในปีนี้คือจะเน้นการเอาศิลปินสองกลุ่มมาชนกัน ซึ่งก็ถือว่าเป็นไอเดียที่น่าสนใจเลยทีเดียวสำหรับเวทีที่อุทิศตนให้กับดนตรีเพียวๆ โดยไม่มีเรื่องความนิยมด้านอื่นมาแทรกแซง จึงเกิดการทดลองผสมผสานออกมาเป็นรสชาติใหม่ๆ ที่มีให้เห็นได้แค่ที่แกรมมีเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นโชว์เล็กๆ อย่างสาวคันทรี Miranda Lambert เจอกับหนุ่มอดีตพังค์แห่งยุค 90s อย่าง Billie Joe Armstrong แห่ง Green day ที่ควงคู่กันมาสดุดีแก่ศิลปินผู้ล่วงลับ หรือ Sara Bareilles จับคู่กับนักร้องรุ่นใหญ่อย่าง Carole King ในเพลงดังของทั้งสองคน หรือคู่ Metallica ที่ตัดอารมณ์อย่างลงตัวกับเปียโนคลาสสิกของ Lang Lang และอีกมากมาย

แต่ที่ไม่พูดถึงไม่ได้คงหนีไม่พ้น Imagine Dragon และ Kendrick Lamar ที่เข้ากันได้ดีอย่างเหลือเชื่อ
สำหรับวงร็อคหน้าใหม่ขวัญใจประชาชนอย่าง Imagine Dragons นั้น คงไม่สามารถจะโชว์เพลงไหนแล้วจะสร้างความประทับใจได้มากเท่าเพลงฮิตอย่าง Radioactive แต่เผอิญว่าถ้าแค่เล่นเพลงเดิมไปโดยไม่มีอะไรพิเศษก็คงไม่ต่างอะไรกับที่ American Music Awards และคงจะดูเป็นลุกไม้ตื่นๆ ไม่สมราคาแกรมมี่นัก ทำยังไงดีก็เลยเดือดร้อนไปถึงอีกศิลปินหน้าใหม่ที่เริ่มมีผลงานดังตั้งแต่ปี 2012 อย่างแร็พเปอร์หนุ่มวัย 26 ปี Kendrick Lamar ที่แรงต่อเนื่องไม่แพ้กัน แต่คุณสมบัติของทั้งคู่ไม่ได้มีแค่ว่าดังในช่วงเดียวกันหรอกนะ แต่ทั้งคู่ถูกนำมาจับคู่กันเพื่อเป็นการตอกย้ำความสำเร็จของค่ายเทปยักษ์ใหญ่อย่าง Def Jam ที่เป็นต้นสังกัดของทั้งคู่ต่างหาก และที่สำคัญคือปีนี้ Def Jam เฉลิมฉลองวันเกิดอายุ 30 ปีเสียด้วย

ส่วนโชว์ออกมาเป็นอย่างไร จะมันส์ขนาดไหนนั้นก็คงต้องให้วีดีโอที่อยู่เบื้องหน้าของคุณอธิบายจะดีกว่า! ปล. โปรดระวังสาวเทกิ่งรักส์ที่เซิ้งอยู่หน้าเวทีอย่างเอาเป็นเอาตาย นี่ถ้าหล่อนไม่ใส่ชุด Gucci คงนึกว่าหล่อนมาเต้นหน้าเวทีหมอลำงานบุญบั้งไฟนะเนี้ย ดูกะโตกกะตากมาก



Macklemore, Ryan Lewis, Mary Lambert and Madonna
Same Love/Open Your Heart

อย่าว่าแต่คุณเลย เราเองก็ยังไม่อยากเชื่อหู เมื่อข่าวก่อนหน้านี้หลุดมาว่าเจ๊แม่มาดอนนาผู้หญยิ่งยะโสจะขึ้นโชว์กับสองหนุ่ม Macklemore and Ryan Lewis ในฐานะที่เป็นแฟนเพลงเจ๊มาหลายปีบอกได้เลยว่านี่คือโอกาสที่พิเศษมากๆ สำหรับศิลปินระดับมาดอนน่าที่แทบจะไม่เคยขึ้นแสดงกับใครเลย จะเปลี่ยนมารับบทรองให้กับโชว์ในครั้งนี้ 

เพราะนางเอกตัวจริงไม่ใช่คุณแม่ แต่คือก้าวสำคัญของนิยามความรักใหม่ของคนบนโลกนี้ต่างหาก สาเหตุนั้นคงเดาไม่ยากว่าทำไมคุณแม่ถึงตกปากรับคำเข้ามาโชว์ได้ ทั้งๆที่ไม่ได้มีอัลบั้มใหม่และไม่ได้มีผลงานอะไรเลยในช่วงปีที่ผ่านมา แต่เพราะเพลง Same Love ของสองหนุ่มต่างหากที่ดึงดูดให้เธอเข้ามาร่วมงานด้วย ด้วยเนื้อหาชวนเปิดใจให้กับเพศทางเลือก และเปิดทางให้กับการสมรสอย่างถูกกฎหมายระหว่างเพศเดียวกันในสหรัฐที่กำลังเป็น issue กันอยู่ในช่วงนี้ ฉากการสมรสหมู่ร่วมกันของชาวเพศเดียวกันและต่างเพศนั้นคือภาพที่สวยงามเหมาะแก่การบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ เพราะการที่คู่รักเพศเดียวกันมีพื้นที่ยืนทัดเทียมกับคู่รักต่างเพศในเวทีแห่งนี้ได้นั้นถือเป็นการให้เกียรติแก่มนุษย์ในฐานะเพื่อนร่วมโลกได้อย่างดี เพราะพวกเขาไม่ได้ต้องการให้เป็นการแต่งงานพิเศษ แต่เพียงเพราะว่าการแต่งงานของเพศเดียวกันนั้นควรจะเป็นเรื่องปกติมิใช่หรือ

คุณแม่มาดอนน่าปรากฎตัวในชุดสีขาวและหมวกคาวบอยที่มีความกำกวมทางเพศอยู่ไม่น้อย แถมการแต่งกายแบบคาวบอยนั้นยังทำให้แฟนเพลงเดนตายยังจำได้ว่ามันคือชุดเดียวกับที่ใส่ในเพลง Music ที่ร้องว่า Music makes the people come together อีกต่างหาก แต่เพลงที่เธอร้องกลับเป็นท่อนสั้นๆ จาก Open Your Heart ผลงานจากอัลบั้ม True Blue เมื่อปี 1986 ที่ถึงแม้จะไม่ได้ถูกเขียนมาเพื่อเพศทางเลือกโดยตรง แต่ความหมายตรงท่อนนี้ก็สามารถเข้าได้กับ Same Love เป็นอย่างดี


Daft Punk, Pharrell Williams, Neil Rodgers and Stevie Wonder
Get Lucky/Le Freak

 คู่สุดท้ายคงทุกคนคงไม่ต้องเดากันให้เสียเวลา เพราะปีที่๋ผ่านมาอัลบั้ม Random Access Memories ออกมาฮิตไปทั่วนั้น ชื่อ Daft Punk แทบจะดำรงอยู่เองไม่ได้โดยปราศจาก Pharrell Williams โปรดิวเซอร์ที่ฮ็อตที่สุดแห่งปีโดยไม่มีข้อกังขา ผลงานของเขานั้นเข้าชิงรางวัลใหญ่ที่สุดคือ Record of the Year ถึงสองเพลงทั้ง Get Lucky และ Blurred Lines และอีกมากมาย แต่สำหรับเวทีแกรมมี่แค่ Daft Punk กับ Pharrell เอง คงจะดูธรรมดาเกินไป จึงต้องเสริมทัพด้วย Nile Rogers มือกีตาร์ชื่อดังอดีตมือกีตาร์วงดิสโก้มากมายเช่น Chic, Sister Sledge รวมไปถึงขุ่นแม่ Madonna ด้วย แค่นั้นยังไม่พอ อีกหนึ่งแขกรับเชิญที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ Stevie Wonder ตำนานเพลง Funk ต้นกำเนิดแรงบันดาลใจแห่งอัลบั้มนี้ก็มาร่วมแสดงด้วยกันตัวเป็นๆ

ใช่แล้ว คู่แมทช์ที่แท้จริงของโชว์นี้ คือหุ่นยนต์ Daft Punk ปะทะครอบครัวตำนาน Funk แห่งยุค 70s โชว์ เปิดด้วยเวทีจำลองห้องอัดที่ดูวินเทจนิดๆ แออัดไปด้วยศิลปินระดับตำนานนั่งกันอยู่พร้อมหน้า หนุ่ม Pharrell Williams ปรากฎตัวด้วยหมวกที่เห็นแล้วอดนึกถึง Smokey Bear ไม่ได้ แต่เขาบอกว่าหมวกนี่ได้รับแรงบันดาลใจจากที่เขาใส่ในเพลง Buffalo Gas ต่างหากหรอก จะอย่างไรก็ตาม Pharrell ก็ทำหน้าที่นำเพลง Get Lucky ในห้องอัดแห่งนี้ไปโดยปราศจากเงาของสองโรบอทให้เห็น

แต่ ทันใดที่ทั้งสองปรากฎตัวขึ้นหลังห้องอัดไฟ LED ที่เดินไว้นตามจุดต่างๆ ก็ทำให้ห้องอัดแห่งนี้กลายสภาพเป็นยาวอวกาศสุดล้ำ trademark ของ Daft Punk ในทันที แถมเนื้อเพลงก็เปลี่ยนมาเป็นท่อนจาก Le Freak ของ Chic ซึ่งเป็นเพลงต้นฉบับที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับ Get Lucky อีกด้วย

และประหนึ่งว่างานฉลอง after party จะมาเร็วกว่ากำหนด เหล่าศิลปินดาราทั้งหลายที่นั่งสวยๆ กันอยู่ก็ลุกขึ้นเซิ้งกันถ้วนหน้าตั้งแต่รุ่นเล็กอย่างหนูเทย์ หนูแข ไปจนถึงลุง George Harrison แห่ง The Beatles ก็มิอาจต้านทานได้ไหว ดูแล้วเป็นภาพที่น่ารักดีที่มีการแสดงร่วมสมัยที่สรรเสริญตำนานดนตรีให้กับคนรุ่นเราได้ฟังกันแล้ว ยังเล่นได้มันส์จนต้องลุกขึ้นมาเต้นด้วยละเอ้อ!

Thursday, January 23, 2014

Kylie Kiss Me Once Album Title/Cover


หน้าปกอัลบั้ม Kylie Minogue "Kiss Me Once"

น้าไข่ให้เล่นปริศนาคำใบ้อยู่หนึ่งสัปดาห์ อะไรเอ่ย คำแรกสี่ตัวอักษร คำสองสองตัวอักษร คำสามสี่ตัวอักษร ไม่ใช่ Read my lips ไม่ใช่ Feel my kiss ทายกันจนหัวปั่นแต่สุดท้ายหวยมาออกที Kiss Me Once ชื่ออัลบั้มที่ 12 ของน้าที่รอฟังกันได้ไม่เกินซัมเมอร์นี้แน่นอน ใครที่ฟัง Into the Blue แล้วไม่ค่อยปลื้ม จุดนี้ยังพอมีลุ้นเพราะเขาบอกว่ายังไม่ใช่เวอร์ชั่นสำเร็จนะจ๊ะ (เห็นสำเร็จทีไรก็ออกมาอีแบบเดิมทุกที) ส่วนหน้าปกอัลบั้มนี่ก็ชุ่มช่ำเสียเหลือเกิน เห็นแล้วอยากฟังอัลบั้มใหม่จนอดใจไม่ได้

เนื่องจาก Into The Blue เวอร์ชั่นลูกผีลูกคนที่ถูกปล่อยมาไม่นานนี้ถูกเก็บเรียบไปแล้ว งั้นเลือกงานเก่ามาให้ฟังกันเล่นๆ เพลินๆ กันดีกว่า Giving You Up งานจากอัลบั้มรวมฮิตเมื่อปี 2004 เพลงน้าสาวแตกยังไงสิบปีให้หลังก็ยังไม่มีเสื่อมคลายจ้า แต่ก็รักน้าเสมอนะ...

Disclosure - F For You feat. Mary J. Blige

 Disclosure - F For You feat. Mary J. Blige

เราจะไม่หยุดอวยจนกว่า Disclosure จะหยุดดัง จะให้หยุดแรงยังไงไหวเมื่อล่าสุดสองพี่น้อง Guy และ Lawrence Howard คว้าตัวซ้อใหญ่แห่งวงการอาร์แอนด์บีวัย 43 ปี Mary J. Blige มาอัดเสียงทำเวอร์ชั่นพิเศษสำหรับซิงเกิ้ล F For You อย่างไม่เกรงใจใคร หลังจากเมื่อวันอาทิตย์ทีผ่านมา สองหนุ่มบินลัดฟ้าจากเกาะอังกฤษไปแสดงสดที่นิวยอร์กและเซอร์ไพรซ์ผู้คนด้วยการเชิญ Mary J. Blige มาเป็นแขกรับเชิญพิเศษแบบไม่ทันตั้งตัว ดูจากเนื้อเพลงใหม่ที่เหมือนจะมีการเขียนมาก่อนแล้ว ทำให้บล็อกเกอร์น้อยใหญ่ในวงการดนตรีต่างเชื่อว่างานนี้มีอะไรให้ติดตามแน่นอน

ไม่นานคนที่ไม่มีโอกาสได้ไปชมโชว์ที่นิวยอร์กในวันนั้นก็ยิ้มออก เพราะวันต่อมาซ้อ Mary J. Blige ก็ทวีตข้อความประมาณว่า เดี๋ยวได้ฟังแน่นอน ลงทวีตเตอร์ วันต่อมาก็ออกมาเป็น studio version พร้อมเอ็มวีให้เสร็จสรรพอย่างที่เห็น ตัวเพลงก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่างจากอัลบั้มเวอร์ชั่นที่ฟังๆ กันมากมายนัก แต่พอเพิ่มท่อนที่ซ้อแกตีความลงไปจากเพลงเต้นไม่เน้นเนื้อหา ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นทันที แม้จะ improvise เยอะไปหน่อยแต่ก็ยังเต้นสนุกเหมือนเดิมนะ

ตัดภาพกลับมาที่สองหนุ่ม แน่นอนว่า ณ วินาทีนี้ กลายเป็นวงที่ถูกพูดถึงบ่อยมากที่สุดวงหนึ่งไปแล้ว เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเพลง F For You เพลงเดียวกันนี้เองก็ได้นำไปใช้ประกอบรันเวย์ Haute Couture SS14 ของห้องเสื้อชื่อดังอย่าง Chanel เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาหลังจากแสดงโชว์ที่นิวยอร์กแล้วก็ยังได้ขึ้นแสดงที่รายการ Late Night with Jimmy Fallon กับเพลง Latch พร้อมกับนาย Sam Smith หนำซ้ำยังมีข่าวลือว่าสองหนอจะไปปรากฏตัวในงาน Grammy ที่จะถึงนี้อีก! เอาซี่


Wednesday, January 22, 2014

Patti Smith covered "Stay", YES! Patti Smith!

 
Patti Smith covered "Stay", YES! Patti Smith!

สำหรับบล็อกเกอร์สายป็อปสุดโต่งที่อยากจะทำตัวอาร์ตเสียเต็มประดาอย่างข้าพเจ้า ไม่มีอะไรช่างน่าประทับใจไปกว่าการเห็นศิลปินหญิงเดี่ยวที่หลงเหลือจากยุคบุปผาชน คว้าเพลงบัลลาดแสนจะธรรมดาอย่าง Stay ของอีห่านมาแสดงนั้นถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง เพราะมันแสดงออกว่าเราเคารพกัน ไม่มีการออกตัวรังเกียจเดียจฉันเพลงยุคใหม่ เหมือนแฟนเพลงหลายคนที่ตัวฟังเพลงยุคเก่าแล้วคิดว่าเพลง Top 40 นั่นช่างด้อยค่า ไม่มีจิตวิญญาณเสียเหลือเกิน เห็นป้าร้องเนื้อผิดบ้างถูกบ้างแถมยังป้าบอกว่า "I'm sorry I'm just nervous" ยิ่งทำให้มันเพอร์เฟ็คไปกันใหญ่ กรี๊ด! 

Saturday, January 18, 2014

King Krule - Easy Easy (20syl Remix)



King Krule - Easy Easy (20syl Remix)

ไม่ได้เข้ามาอัพบล็อกตั้งเป็นอาทิตย์ กลับมาครั้งนี้เอารีมิกซ์เจ๋งๆ จากหนุ่มน้อยหัวแดง เจ้าของสไตล์เด็กโรงเรียนเอกชนอังกฤษจ๋าราวกับหลุดมาจากโปสเตอร์โฆษณาเสื้อผ้า Topman ผสมกับสไตล์ร็อคเมาๆ แบบนี้คือหนุ่ม Archibald Marshall หรือที่รู้จักกันในนาม King Krule ที่ฝากผลงานอัลบั้ม 6 Feet Beneath the Moon เมื่อปีที่แล้วกับซิงเกิ้ลอย่าง Easy Easy ที่แฝงสไตล์ Post-Punk เท่ห์ๆ ใครที่คิดถึงเนื้อเสียงแมนๆ และสำเนียงอังกฤษแบบนาย Pete Doherty แห่ง The Libertines ขอบอกว่าหนุ่มน้อยวัย 19 คนนี้อาจทำให้ลุ่มหลงงมงายได้ไม่ยากนะจ๊ะ

สำหรับวันนี้ฝากหนึ่งรีมิกซ์แทร็ค Easy Easy ที่ช่วงนี้เจ้าของบล็อกเปิดฟังหลังอาหารเช้า กลางวัน เย็นเป็นงานจาก 20syl ที่เพิ่มเติมบีทแบบ Oldschool Hip-hop เข้าไปให้ผู้ไม่สันทัดสายร็อคอย่างข้าพเจ้าได้โยกเบาๆ แบบพอดูมีอะไร

Monday, January 13, 2014

Mariah Carey - Vision of Love



Mariah Carey - Vision of Love

ขณะที่ตกอยู่ภาวะสมองตีบตันกึ่งหลับกึ่งตื่นและเพลงใหม่ๆ ไม่สามารถทำให้เราตื่นเต้นได้ สายตาก็เผลอไปเจออาร์ตเวิร์คสวยๆ ในอินเตอร์เน็ต สมองที่ทำงานอย่างโรยราก็สั่งการให้ไปหยิบอัลบั้มรวมฮิตของแม่มาลัยมาฟังตามสัญชาติญาณ หลังจากฟังเพลงนี้จบ เกิดความคิดว่า การลิปซิงค์เป็นกิจกรรมที่ควรได้รับการสนับสนุนจาก สสส. ให้ได้รับความนิยมมากกว่านี้ เพราะนอกจากจะฝึกทํกษะการได้ยิน รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างริมฝีปากและท่วงท่าที่สอดคล้องกับดนตรีแล้ว การปลดปล่อยความเป็นมารายห์ในตัวเองเป็นประจำยังเป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพจิตอีกด้วย

<ตำแหน่งเว็บไซต์ที่ไปก็อปอาร์ตเวิร์คเขามา>

Thursday, January 9, 2014

Foxes - Let Go For Tonight + Fred Falke Remix


Foxes - Let Go For Tonight + Fred Falke Remix

ไหนๆ อากาศเมืองไทยก็กลับมาเรียกว่าร้อนได้อย่างเต็มปากเต็มคำแล้ว ก็ขอปรับอุณหภูมิเพลงต้อนรับสภาพอากาศ (และสภาพบ้านเมืองสักหน่อย) เป็นป็อปมันส์ๆ แบบที่เชื่อว่าใครหลายคนกำลังต้องการหาฟังอยู่เพื่อคลายความเบื่อหน่ายในหลายๆ เรื่องช่วงนี้ ก็เลยมิวายต้องพูดถึงซิงเกิ้ลใหม่ล่าสุดของสาวหน้าม้าตาโตวัย 24 ปีจากอังกฤษนามว่า Louisa Rose Allen หรือที่รู้จักในนาม Foxes นี่แหละ แหน่ะ พอจะนึกออกแล้วใช่ไหม ก็คนเดียวกันกับที่ไปเอี่ยวในเพลงฮิตของ Zedd อย่าง Clarity เมื่อต้นปีที่แล้วไง งานนี้ถึงตาของเธอออกโรงอัลบั้มแรกเองบ้างแล้ว Let Go For Tonight ดูเหมือนจะเป็นซิงเกิ้ลที่สาว Foxes เธอใส่เกียร์เหยียบคันเร่งพุ่งตัวเข้าสู่โลก Mainstream อย่างเต็มขีดขั้น ดูจากดีกรีความป็อปชนิดที่หลายคนที่เคยติดตามมาก่อนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่านางจะทำเพลงกระแสหลักเต็มตัวแล้วซินะ

Let Go For Tonight เป็นเพลงป็อปที่ใช้เครื่องดนตรีมากมายมหาศาล เปิดด้วยเปียโน ตามด้วยกลองชุดใหญ่ให้จังหวะกระตุ้นเร้าเป็นหมายบอกเหตุว่าความสนุกกำลังมาถึง ฟังดูป็อปร็อคนิดๆ ก่อนจะตัดเข้าท่อนฮุคที่ใช้สารพัดเสียงจากฝั่งเพลงเต้นรำเข้ามาช่วยอีกแรง แต่เครื่องดนตรีมากมายก็ไม่ได้ทำให้เราลืมเสียงที่เคยตกหลุมรักใน Clarity ได้ แถมยังทำแต้มต่อเนื่องด้วยเนื้อเพลงสุดป็อปที่ชวนกันออกไปซ่าให้เต็มที่ คืนนี้ช่างมัน! ลืมทุกอย่างแล้วไปสนุกกัน!


 สาวเจ้ายังปล่อยเพลงใหม่มาให้ฟังไม่ทันตั้งหลักตั้งลำ วันสองวันให้หลังก็ตามมาติดๆ ด้วยรีมิกซ์ดิสโก้ที่เปรี้ยวจัดชนิดว่าแค่เบสอย่างเดียวก็โดดเด้งซะขนาดนี้แล้ว จัดไปเลย 7 นาทีเต็ม เจ๋งจริงต้องยกให้นังดีเจตัวแสบ Fred Falke นี่เลย จำไม่ได้แล้วเหมือนกันว่าหลงรักรีมิกซ์ของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เท่าที่จำความได้ก็มี รีมิกซ์เพลง Embrace ของ Ladyhawk ติดไอพอดอยู่ตลอดเวลาแล้ว

Tuesday, January 7, 2014

MS MR - Hurricane CHVRCHES remix



MS MR - Hurricane CHVRCHES remix

บางทีงานรีมิกซ์ดีๆ ก็ทำให้กลับมาสนใจเพลงที่เคยเราเคยชอบแต่ลืมไปแล้วได้ อย่างเช่น Hurricane จากศิลปินคู่หู่จากนิวยอร์ก MS MR ที่เคยสร้างความติดตาตรึงใจด้วยเอ็มวีที่สร้างจากฟูตเตจวีดีโอเก่าๆ มาร้อยเรียงกันเมื่อปลายปี 2012 วันนี้วงป็อปที่กำลังติดกระแสลมบนอย่าง CHRVCHES นำกลับมาทำใหม่ย้อนยุคกลับไปเพลงป็อปย้อนยุค 80s น่ารักน่าชัง ฟังแล้วนึกถึง I wanna dance with somebody ของป้าวิทนีย์ หรือ video kills the radio star ของ bangles เลยนะเนี่ย

เปลี่ยนชื่อ

การเปลี่ยนชื่อบล็อก ไม่คิดว่ามันจะง่ายดายขนาดนี้ ชื่อ Fruityspoon ออกเสียงยากเย็นเหลือเกิน ปีใหม่ขอปรับโฉมนิดหน่อย และชื่อบล็อกที่เปลี่ยนใหม่เป็น Death By Hamburger ที่แอบขโมยมาจากชื่อภาพถ่ายชิ้นหนึ่งของ David Lachapelle อันเป็นชื่อที่ซ่อนเร้นด้วยนัยยะความป็อป และสุนทรียะการเขียนแบบอาหารขยะๆ ช่างเหมาะสมกับการตั้งชื่อใหม่เสียจริง ระวัง บริโภคบล็อกเรามากๆ อาจไขมันอุดตันเส้นเลือดได้

Monday, January 6, 2014

The Videography: Gwen Stefani - Cool


 The Videography: Gwen Stefani - Cool

คงจะดีไม่น้อยถ้าเรากลับมาเป็น "แค่เพื่อน" กับคนที่เคยไปไกลกว่านั้นได้อย่างราบรื่น สำหรับคนส่วนใหญ่แล้วคำขอที่ว่า "เรากลับมาเป็นเพื่อนกันเถอะ" 80 เปอร์เซ็น รู้ว่าความสัมพันธ์ฉันมิตรนั้นจะต้องล้มเหลวอย่างแน่นอน แต่ไม่ใช่สำหรับขุ่นแม่แห่ง No Doubt อย่าง Gwen Stefani ในซิงเกิ้ลจากอัลบั้มเดี่ยวของเธอที่ชื่อว่า Cool นั้นเป็นเสียงรำพึงของความสัมพันธ์ที่อย่างเราคงอิจฉา แต่ความลับลมคมในทั้งเบื้อหน้าและเบื้องหลังของเอ็มวีนี้ซิที่จะต้องคันปากอยากบอกต่อ

ได้เวลาย้อนอดีตกันอีกแล้วทุกคน ว่าจะเขียนถึงมานานแสนนานในที่สุดก็ได้ฤกษ์มาเล่าขานความแซ่บของซิงเกิ้ลนี้กันซักที แน่นอนว่า ย้อนกลับไปในเดือนพฤศจิกายนปี 2004 คงไม่มีใครลืมงานเดี่ยวสุดเปรี้ยวของเจ๊เกวน Gwen Stefani นามว่า Love.Angel.Music.Baby ไปได้ จุดนี้ถ้าได้ยินชื่อแล้วสมองยังไม่สั่งการจริงๆ ให้นึกถึงเพลงสุดเกร่ออย่าง "Hollaback Girl" ก็คงจะร้องอ๋อกันเป็นแถว สิงหาคมปี 2005 เกือบหนึ่งปีหลังจากที่ปล่อยอัลบั้มเต็มออกมา ซิงเกิ้ลสุดท้ายจากอัลบั้มนี้มีชื่อเย็นๆ ว่า "Cool" ถ้าไม่ขี้ลืมเกินไปนักก็คงจะยังนึกถึงเสียงคีย์บอร์ดใสๆ และกลิ่นอายนิวเวฟเท่ห์ๆ อยู่ได้ 

เนื้อเพลงหวานๆ นี้ได้ผ่านปลายปากกาของ Dallas Austin นักแต่งเพลงหนุ่มที่แต่งเพลงมาแล้วร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำในช่วงยุค 90s โดยนายดัลลาสเองก็เคยแต่งเพลงให้กับ No Doubt มาแล้วอย่าง "Simple Kind of Life" ในอัลบั้ม Return of Saturn จนรู้สึกว่า มันต้องมีภาคต่อจากเพลงนี้ซักหน่อยสิ! ก็เลยอยากจะแต่งเพลงเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่มันจบไปแล้วดูบ้าง แต่แต่งเท่าไหร่ก็เอาให้จบไม่ได้ซักที หลายปีต่อมาดัลลาสได้ข่าวว่าเกวนกำลังจะทำอัลบั้มเดี่ยว จึงมาเสนอโครงการให้เจ๊เกวนจัดการ และด้วยอินเนอร์อะไรบางอย่างของนางทำให้เจ๊เกวนสามารถแต่งเนื้อเพลงนี้ต่อจนจบได้ภายในเวลาสิบห้านาที! ออกมาเป็น "Cool" เพลงที่ว่าด้วยความสัมพันธ์กับแฟนเก่าที่ถึงแม้จะผ่านชีวิตช่วงนั้นไปนานจนต่างคนต่างมีครอบครัวไปแล้ว แต่เมื่อกลับมาเจอกันอีกครั้งทั้งสองก็ยัง "Cool" หรือยังทำตัวสบายๆ ไม่เขอะเขินอยู่ได้

สืบไปสืบมา นางไปเอาอินเนอร์มาจากไหนถึงได้แต่งออกมาเป็นเพลงใหม่ได้อย่างรวดเร็ว แน่นอน ใกล้เกลือจะกินด่างอยู่ทำไม ก็เอา "เรื่องจริง" ระหว่างตัวเองกับ Tony Kanal มือเบสของวงที่เคยกิ๊กกันเมื่อครั้งยังละอ่อนอยู่มาเล่าต่อซะเลย จะไม่ให้คูลยังไงไหว ในเมื่อปัจจุบันนี้พี่โทนี่แกก็แต่งงานมีลูกสาวสองคนไปแล้ว แต่ก็ยังอยู่ในวงเป็นมือเบสวงเดียวกันได้ไม่มีหน่ายหนี 

เรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างเจ๊ Gwen และมือเบส Tony Kanal ยังมีให้เม้าไม่หมด // Tony Kanal เคยให้สัมภาษณ์ว่า "การเดทกับเกวนนั้นเป็นข้อห้ามหนึ่งของเรา มันไม่ต่างอะไรกับเป็นแฟนกับน้องสาวตัวเอง" แต่ก็ยังไม่วาย ทั้งสองก็แอบคบกันลับหลังสมาชิกคนอื่นๆ อยู่ดี แต่ในที่สุดความรักก็ร้าวในช่วงปี 1993 ที่กำลังเตรียมตัวทำอัลบั้มที่สาม "Tragic Kingdom" ทั้งสองก็ต้องเลิกกันในที่สุดโดย Tony บอกว่าเขาขอเป็นคนถอยมาเองดีกว่าเพราะตัวไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องความรักมากนัก ก็แหงแหละ เทียบกับเจ๊เกวน สเตฟานี่ผู้เลอโฉมขนาดนั้นเป็นใครก็คงอดประหม่าไม่ได้ แต่เจ๊เกวนเองก็ออกอาการเฮิร์ทหนัก จนทำให้เราได้ฟังเพลงฮิตอย่าง "Don't Speak" อันว่าด้วยการศูนย์เสียเพื่อนสนิทไปนี่แหละ ไม่รู้ว่ามันจะรู้สึกยังไงนะ ที่จะต้องร้องเพลงเรื่องความร้าวฉานของตัวเองให้คนอื่นฟังแบบนี้

เวลาผ่านไปเนิ่นนานจนถึงคราวเกวนได้รับโอกาสที่จะแต่งเพลงในอัลบั้มเดี่ยวของตัวเอง จึงเกิดเพลงอย่าง "Cool" ขึ้น เนื้อเพลงบางช่วงนอกจากจะฟังดูว่าเรากลับมาเป็นเพื่อนกันได้โดยดีแล้ว ยังมีกลิ่นอายถ่านไฟเก่าคุกรุ่นอยู่ไม่น้อย แต่ไฮไลท์ของซิงเกิ้ลนี้ไม่ได้อยู่แค่เนื้อเพลง แต่วีดีโอที่สุดแสนจะหวาบหวาม สวยงามเพอร์เฟคจนเกินจริง และที่สำคัญมันช่างสอดคล้องกับเนื้อเพลงเสียนี่กระไร

ผลงานเอ็มวีกำกับโดย Sophie Muller ที่เคยผ่านมือทำเอ็มวีให้ No Doubt มาเพลงแล้วเพลงเล่ารวมถึง Don't Speak ด้วย Cool เป็นผลงานชั้นครูที่เห็นแล้วต้องยกมือไหว้ ด้วยความงดงามเฉียบขาดตั้งแต่คอนเซปที่ดึงเอาเรื่องราวถ่านไฟเก่าของหญิงชายในสังคมชั้นสูง ที่เกิดขึ้นในคฤหาสถ์ริมทะเลสาปในอิตาลี แม่เกวนเธอรับบทเป็นสาวผมบลอนด์เจ้าของปราสาทแห่งนี้ที่ได้ต้อนรับแขกสุดพิเศษเป็นหนุ่มแฟนเก่าสมัยวัยเยาว์ของตัวที่หนีบภรรยาสุดสวย ที่บังเอิ๊ญ บังเอิญรับบทโดย Erin Lokitz ภรรยาคนปัจจุบันของ Tony Kanal นั่นเอง ส่วนเกวนเองก็สวยทุกส่วนสัดด้วยลุ๊คผมบลอนด์ปากแดง ทั้งฉากที่เกลือกกายอยู่บนเตียงก็เข้าใจเลือกเป็นคอเต่าเอวลอยสีน้ำเงินเข้มโชว์ความหรูหรารับกับผมสีทองได้พอดิบพอดี ครั้นจะย้อนวัยไปสมัยผมสีบรูเน็ทท์ก็ยังสวยงามไม่แพ้กัน จะวิ่งจะสะบัดท่าไหนก็ยังสวยได้อยู่ ฟังเพลงและวีดีโอไป ดูเหตุการณ์ตัดสลับไป ก็หวาดเสียวอยู่ไม่น้อยว่าเจ๊ผมบลอนด์คนนี้จะมีอันต้องสร้างความร้าวฉานให้ครอบครัวคนอื่นอีกหรือเปล่า

สงสารก็แต่แม่เมียนางแบบหยิบโหย่งที่ได้แต่มองขณะทั้งสองกรีดกรายจิบชาด้วยสายตาอันร้อนเร่าแทบจะกลืนกิน

Sunday, January 5, 2014

Sam Smith - In The Lonely Hour LP


Sam Smith - In The Lonely Hour LP

พูดถึง Sam Smith ทีไรก็ต้องนั่งตั้งสติไตร่ตรองอีกทีว่า คนนี้ Sam Smith หรือ John Newman กันแน่นะ สมองอันตีบตันของข้าพเจ้าต้องใช้เวลาในการแยกแยะอยู่ครู่หนึ่งทีเดียวกว่าจะแยกสองศิลปินที่คล้ายกันได้ ก็สองคนนี้ดันเล่นดังขึ้นมาในช่วงเดียวกัน นักร้องชายจากอังกฤษเหมือนกัน แถมยังโดนเปรียบเป็น Adele ร่างชายเหมือนกันอีก เลยแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร 

แต่วันนี้ชื่อ Sam Smith จะถูกจดจำมากขึ้น หลังจากที่ปล่อยอีกหนึ่งเพลจากอัลบั้มเต็ม In The Lonely Hour ชื่อเพลงว่า Money On My Mind มาให้ฟังเมื่อเดือนที่แล้ว ครั้งนี้มีข่าวคราวความคืบหน้าว่าอัลบั้มแรกของเขามีกำหนดวางแผงวันที่ 27 พฤษภาคมนี้ พร้อมทั้งได้อวดโฉมหน้าปกอัลบั้มเท่ห์ๆ ให้ดูด้วย

หากใครที่ไม่ค่อยถูกโฉลกกับท่อนฮุคเพลงใหม่อย่าง Money On My Mind ก็ขอแนะนำให้ลองหา EP ชุดเก่าที่มีชื่อว่า Nirvana จำนวน 4 เพลงแก้ขัดไปก่อนได้ แต่ถ้าใครที่ขี้เกียจจะลงทุนลงแรงอะไรให้ตัวเอง แนะนำให้ไปเดินสยามตอนนี้เลยจ๊ะ คาดว่าช่วงนั้นถ้ามีสติอยู่สมองจะ detect เสียงของเฮียแกในเพลง La La La ของ Naughty Boy ลอยเข้ามากระทบหูแน่นอน หรือถ้าคุณได้ยินเสียงเขาใน Latch ของ Disclosure แสดงว่าวันนั้นคุณจะโชคดีไปทั้งวัน


Saturday, January 4, 2014

BANKS - London EP



BANKS - London EP

   ที่เห็นยืนผมสวยอยู่นี่หาใช่เพเนโลเป้ ครูซแต่อย่างใด หากแต่เป็นศิลปินที่ถูกลิสต์ชื่อน่าจับตามอง หรือที่เรียกทับศัพท์ว่าถูก Hype มากที่สุด ณ ขณะนี้ ใครต่อใครก็พากันเปรียบเทียบว่าเพลงของเธอเหมือนฟัง Ellie Gouding คัฟเวอร์ The Weeknd และแม้แต่ Ellie Goulding เองยังบอกว่ามักจะฟังเพลงของเธออยู่บ่อยๆ ไม่ได้การ ต้องนำมาบอกต่อเสียหน่อย เธอคือ Jillian Banks หรือ Banks หนึ่งสาวจากแอลเอที่มีผลงานอีพี 4 เพลงชื่อว่า London มาให้ชาวโลกฟังเมื่อเดือนกันยาที่ผ่านมา จนเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ จนคนฟังเริ่มทำนายกันว่านางนี้จะมีอันได้ขึ้นทำเนียบศิลปินรายใหญ่ไปอีกหนึ่งคนในปีนี้

Waiting Game เป็นหนึ่งแทร็คที่ "สร้างแบรนด์" ให้ Banks ได้เป็นอย่างดี สิ่งแรกที่เรานึกถึงคืออาร์แอนด์บีหนาวๆ คอยประคับประคองเสียงร้องและซินธิไซเซอร์ในจังหวะ downtempo เนิบนาบ ในขณะที่ This Is What It Feels Like เพิ่มบีทตึ้บๆ ในโครงสร้างเพลงที่่แตกต่างกันมากนัก และเสียงสะท้อนก้องไปมาตลอดจนจบเพลง เจ้าตัวอ้างว่าได้รับแรงบันดาลจาก Fiona Apple แต่ ณ จุดนี้ เจ้าของบล็อกข้อย้ำว่านางเหมือน The Weeknd เวอร์ชั่นผู้หญิงอย่างมาก เป็นอันรู้กันว่าปีนี้ใครอยากหาฟังเพลงซาวน์ลอยๆ หลอนๆ แบบนี้เชิญพุ่งตัวไปหานางและอัลบั้มใหม่ที่ใครๆก็รอฟังกันเลย

ดีดีทั้งนั้น Vol.1

 
 
 

Thursday, January 2, 2014

Katy Perry - Dark Horse


Katy Perry - Dark Horse

ไม่ใช่เพลงใหม่เท่าไหร่ ถ้าใครติดตามแคมเปญของเป็ปซี่คงได้ฟังเพลงนี้พร้อมกับ Walking On Air ไปเป็นปีแล้ว แต่วันนี้แขคอนเฟิร์มมาแล้ว ซิงเกิ้ลที่สามมาแน่นอน หน้าปกสวยงาม ส่วนจะม้ามืดขึ้นอันดับหนึ่งอีกไหม รอดูกัน

Wednesday, January 1, 2014

Foster The People New Album

 

It's coming! Foster The People!

มีเรื่องให้ตื่นเต้นกันไม่เว้นแต่ละวัน Foster The People วงอินดี้ป็อปที่ขโมยหัวใจผู้คนไปล้นหลามเมื่อปี 2011 ปีนี้อัลบั้มสองกำลังมาแล้วนะจ๊ะ ชื่ออัลบั้มอะไรยังไม่มีบอก จะออกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ นั่งดูทีเซอร์ 45 วิเป็นน้ำจิ้มไปก่อนละกัน

About Me

My photo
my name is mish my favorite color is turquoise when i grow up I want to be an architect