Justin Timberlake
The 20/20 Experience
8/10
คงไม่ต้องเท้าความอะไรกันแล้วมั้งสำหรับความฮ็อตของพ่อหยอยคนนี้ เพราะการที่คนเราใจคออยากจะเว้นไปแสดงหนังสักห้าหกปีไม่มีโผล่มาให้เห็น แต่ก็ยังมีคนรอคอยการกลับมากันทั่วโลกแบบนี้ คงเป็นเครื่องบ่งชี้ความฮ็อตของหนุ่ม Justin Timberlake ได้อย่างชัดเจน ตั้งแต่เปิดตัว Suit & Tie เมื่อมกราคมที่ผ่านมานี้พี่หยอยแกก็เดินสายโปรโมทกระหน่ำจนแทบจะยึดเอาเดือนกุมภาไว้เป็นของตัวเองทั้งเดือน ทั้งขึ้นโชว์ที่ Saturday Night Live รวมไปถึงพรีเมียร์ในเวทีใหญ่อย่าง Grammy ด้วย แถมยังปล่อย Mirrors ซิงเกิ้ลสองตามมาติดๆ ถ้าพี่แกออกทัวร์ตอนนี้ได้แกคงทำไปแล้ว นี่ถ้าใครยังไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับอัลบั้ม The 20/20 Experience สงสัยงต้องกลับไปทบทวนตัวเองอย่างหนักจริงๆ
ตลอดเวลาที่หายไปนั้น Robin Thicke อีกหนึ่งหนุ่มผู้น่าสงสารมักจะถูกผู้ฟังเปรียบเทียบกับหยอยอยู่เสมอ บ้างก็ฟังไปพลางๆ ระหว่างรอหยอยคืนสู่สังเวียน แต่สำหรับวันนี้เหมือนทุกอย่างจะกลับตาลปัตร เมื่อหยอยหันมาจับสไตล์แบบโอลด์สคูล โซล สุดเนี้ยบในแบบที่ร็อบบินทำมาแล้วหลายอัลบั้ม อย่างที่เราได้ฟังกันไปใน Suit & Tie จนทำให้ถูกเปรียบเทียบไปตามระเบียบ แม้ว่าจะเคยบอกไปแล้วว่าได้รับอิทธิพลจากศิลปินรุ่นเก๋าอย่าง Otis Redding หรือ Stevie Wonder มาตั้งแต่เด็กก็ตาม อันที่จริงการถูกเทียบกับศิลปินอย่างร็อบบิน ธิกค์ไม่ใช่เรื่องอัปยศอะไร แต่อย่าลืมว่าเราคนฟังอย่างเราเป็นพวกพอเพียง มีนักร้องอย่างละคนก็พอแล้ว
แต่เมื่ออัลบั้มมาถึง และนั่งฟังอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วก็บอกได้ว่าประเด็นเปรียบเทียบที่ว่านี้ตัดไปได้เลย เพราะนอกจาก Suit & Tie แล้ว 10 เพลงในอัลบั้มนี้ก็มีเพียง Pusher Love Girl เท่านั้นที่ดูจะเข้าข่ายใกล้เคียง แถมยังออกมาเป็นโซล ออกโบราณนิดๆ แต่ไพเราะด้วยวงมโหรีดีดสีตีเป่าน่าชิดเชยชม กวาดสายตาดูเห็นมีแค่ 10 แทร็คก็อย่าเพิ่งด่วนสรุปนึกว่าหยอยขี้เกียจหรืออะไรหรอกนะ เพราะแต่ละเพลงความยาวร่วมหกถึงเจ็ดนาทีกันทั้งนั้น ฟังตั้งแต่ต้นจนจบก็ยาวพอๆ กับบางอัลบั้มที่มียี่สิบกว่าแทร็คแต่อุดมไปด้วย intro/interlude นั่นแหละ ดูเหมือนว่าหยอยจะพยายามหลีกเลี่ยงทุกคลีเช่ที่มีอยู่ในคลื่นวิทยุปัจจุบัน พยายามจะสร้างความแปลกใหม่ไม่จำเจ แม้ว่านั่นจะหมายถึงคลื่นวิทยุจะเริ่มลังเลที่จะต้องเปิดซิงเกิ้ลอย่าง Mirrors ที่มีความยาวกว่าแปดนาทีก็ตาม -- Tunnel Vision ฟังเก๋ไก๋ไม่แพ้ชื่อ มาพร้อมกับซาวน์เอฟเฟกวิบวับของเฮียทิมบาแลนด์โปรดิวเซอร์คู่ใจ สำหรับรายนี้หลังจากผ่านพ้นช่วงยุคทิมบาแลนด์ล้นตลาดมาได้ งานของเขาก็ดูน่าสนใจขึ้นมาก ดูตัวอย่างเช่น That Girl ที่ลบตัวตนออกไปได้มาก แค่ปรับให้บัลลาดโซลที่มาดีๆ อยู่แล้วให้ดูทันสมัยมากขึ้นเท่านั้น -- Strawberry Bubblegum อาร์แอนด์บีเซ็กซี่จั๊กจี้หัวใจ ความยาวแปดนาที ยาวพอให้เราช็อคกลางเพลง เมื่อรู้ว่าหยอยกำลังเปรียบเทียบอวัยวะเพศของภรรยาเป็นหมากฝรั่งรสตรอเบอรรี่นี่แหละ โธ่ถังหมดกัน -- สำหรับใครที่กำลังควานหาเพลงเต้นๆ สนุกๆ อย่าง Rock Your Body หรือ Sexy Back เตรียมตัวผิดหวังนะจ๊ะ เพราะนอกจาก Suit & Tie แล้วก็มีเพลงที่จังหวะเร็วกว่านั้นแค่เพลงเดียวคือ Let The Groove Get In ซึ่งเพลงนี้ฟังแล้วอย่าเข้าใจผิดคิดว่าจะแห่กลองยาวไปขอใครที่ไหน มาสืบทีหลังเขาเรียกว่าจังหวะ Batucada นิยมมากในบราซิล แต่ก็นั่นแหละใครมีมะกรูดมาแลกได้เลยตอนนี้ --- สำหรับเพลงสุดท้าย Blue Ocean Floor นี่ถ้าเป็นหนังต้องบอกว่าจบแบบหักมุมหงายเงิบ เพราะไม่ได้คิดว่าจะเจอเพลงเหงาหงอยเศร้าสร้อยได้ถึงเพียงนี้ แถมทำออกมาได้ดีมากในด้านการออกแบบคอรัสสะท้อนไปสะท้อนมา ใครอยากได้เพลงไปบิ้วอารมณ์นั่งดูคลื่นกระทบฝั่งขอให้พิจารณาเพลงนี้
ข้อดีอย่างหนึ่งของอัลบั้มนี้คือหยอยชัดเจนมาก ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการร่วมงานกับโปรดิวเซอร์เพียงไม่กี่คน ทิศทางของดนตรีจึงไม่ดูกระจัดกระจายไปไหน และที่สำคัญคือคาดเดาไม่ยากนักสำหรับศิลปินคนนึงที่โตมากับเพลงสไตล์โซล แจ๊ซ ฟังก์ ยุค 60s-70s ที่ต้องเก็บงำความชอบส่วนตัวมาปล่อยในเวลาที่เหมาะสม นั่นคือต้องผ่านช่วงยุคหัวหยอยใน Nsync หรือยุคโซโล มาจนอายุเข้าเลขสาม แต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาซะก่อน เพราะต้องยอมรับว่าอัตลักษณ์ของตัวศิลปินเองก็มีผลต่อความน่าเชื่อถือของดนตรีอยู่ไม่น้อย และหยอยก็มาปล่อยเต็มเอากับอัลบั้มนี้ อย่างที่เราเห็นๆ กันตามการแสดงสดต่างๆ ที่ดูเป็นธรรมชาติเป็นอย่างยิ่ง จนเราเริ่มนึกได้ว่าเสน่ห์ของผู้ชายคนนี้คงไม่ใช่แค่หน้าหล่อหุ่นล่ำอย่างเดียวซะแล้ว แต่มันมาจากความสุขจากการได้ทำงานที่ตัวเองรักอย่างเต็มที่ด้วย
Like this? Try These: Robin Thicke, Jamiroquai, Miguel
No comments:
Post a Comment