Friday, March 15, 2013

Fruity Review#7 : Justin Timberlake - The 20/20 Experience


Justin Timberlake
The 20/20 Experience
8/10

คงไม่ต้องเท้าความอะไรกันแล้วมั้งสำหรับความฮ็อตของพ่อหยอยคนนี้ เพราะการที่คนเราใจคออยากจะเว้นไปแสดงหนังสักห้าหกปีไม่มีโผล่มาให้เห็น แต่ก็ยังมีคนรอคอยการกลับมากันทั่วโลกแบบนี้ คงเป็นเครื่องบ่งชี้ความฮ็อตของหนุ่ม Justin Timberlake ได้อย่างชัดเจน ตั้งแต่เปิดตัว Suit & Tie เมื่อมกราคมที่ผ่านมานี้พี่หยอยแกก็เดินสายโปรโมทกระหน่ำจนแทบจะยึดเอาเดือนกุมภาไว้เป็นของตัวเองทั้งเดือน ทั้งขึ้นโชว์ที่ Saturday Night Live รวมไปถึงพรีเมียร์ในเวทีใหญ่อย่าง Grammy ด้วย แถมยังปล่อย Mirrors ซิงเกิ้ลสองตามมาติดๆ ถ้าพี่แกออกทัวร์ตอนนี้ได้แกคงทำไปแล้ว นี่ถ้าใครยังไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับอัลบั้ม The 20/20 Experience สงสัยงต้องกลับไปทบทวนตัวเองอย่างหนักจริงๆ

ตลอดเวลาที่หายไปนั้น Robin Thicke อีกหนึ่งหนุ่มผู้น่าสงสารมักจะถูกผู้ฟังเปรียบเทียบกับหยอยอยู่เสมอ บ้างก็ฟังไปพลางๆ ระหว่างรอหยอยคืนสู่สังเวียน แต่สำหรับวันนี้เหมือนทุกอย่างจะกลับตาลปัตร เมื่อหยอยหันมาจับสไตล์แบบโอลด์สคูล โซล สุดเนี้ยบในแบบที่ร็อบบินทำมาแล้วหลายอัลบั้ม อย่างที่เราได้ฟังกันไปใน Suit & Tie จนทำให้ถูกเปรียบเทียบไปตามระเบียบ แม้ว่าจะเคยบอกไปแล้วว่าได้รับอิทธิพลจากศิลปินรุ่นเก๋าอย่าง Otis Redding หรือ Stevie Wonder มาตั้งแต่เด็กก็ตาม อันที่จริงการถูกเทียบกับศิลปินอย่างร็อบบิน ธิกค์ไม่ใช่เรื่องอัปยศอะไร แต่อย่าลืมว่าเราคนฟังอย่างเราเป็นพวกพอเพียง มีนักร้องอย่างละคนก็พอแล้ว

แต่เมื่ออัลบั้มมาถึง และนั่งฟังอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วก็บอกได้ว่าประเด็นเปรียบเทียบที่ว่านี้ตัดไปได้เลย เพราะนอกจาก Suit & Tie แล้ว 10 เพลงในอัลบั้มนี้ก็มีเพียง Pusher Love Girl เท่านั้นที่ดูจะเข้าข่ายใกล้เคียง แถมยังออกมาเป็นโซล ออกโบราณนิดๆ แต่ไพเราะด้วยวงมโหรีดีดสีตีเป่าน่าชิดเชยชม กวาดสายตาดูเห็นมีแค่ 10 แทร็คก็อย่าเพิ่งด่วนสรุปนึกว่าหยอยขี้เกียจหรืออะไรหรอกนะ เพราะแต่ละเพลงความยาวร่วมหกถึงเจ็ดนาทีกันทั้งนั้น ฟังตั้งแต่ต้นจนจบก็ยาวพอๆ กับบางอัลบั้มที่มียี่สิบกว่าแทร็คแต่อุดมไปด้วย intro/interlude นั่นแหละ ดูเหมือนว่าหยอยจะพยายามหลีกเลี่ยงทุกคลีเช่ที่มีอยู่ในคลื่นวิทยุปัจจุบัน พยายามจะสร้างความแปลกใหม่ไม่จำเจ แม้ว่านั่นจะหมายถึงคลื่นวิทยุจะเริ่มลังเลที่จะต้องเปิดซิงเกิ้ลอย่าง Mirrors ที่มีความยาวกว่าแปดนาทีก็ตาม -- Tunnel Vision ฟังเก๋ไก๋ไม่แพ้ชื่อ มาพร้อมกับซาวน์เอฟเฟกวิบวับของเฮียทิมบาแลนด์โปรดิวเซอร์คู่ใจ สำหรับรายนี้หลังจากผ่านพ้นช่วงยุคทิมบาแลนด์ล้นตลาดมาได้ งานของเขาก็ดูน่าสนใจขึ้นมาก ดูตัวอย่างเช่น That Girl ที่ลบตัวตนออกไปได้มาก แค่ปรับให้บัลลาดโซลที่มาดีๆ อยู่แล้วให้ดูทันสมัยมากขึ้นเท่านั้น -- Strawberry Bubblegum อาร์แอนด์บีเซ็กซี่จั๊กจี้หัวใจ ความยาวแปดนาที ยาวพอให้เราช็อคกลางเพลง เมื่อรู้ว่าหยอยกำลังเปรียบเทียบอวัยวะเพศของภรรยาเป็นหมากฝรั่งรสตรอเบอรรี่นี่แหละ โธ่ถังหมดกัน -- สำหรับใครที่กำลังควานหาเพลงเต้นๆ สนุกๆ อย่าง Rock Your Body หรือ Sexy Back เตรียมตัวผิดหวังนะจ๊ะ เพราะนอกจาก Suit & Tie แล้วก็มีเพลงที่จังหวะเร็วกว่านั้นแค่เพลงเดียวคือ Let The Groove Get In ซึ่งเพลงนี้ฟังแล้วอย่าเข้าใจผิดคิดว่าจะแห่กลองยาวไปขอใครที่ไหน มาสืบทีหลังเขาเรียกว่าจังหวะ Batucada นิยมมากในบราซิล แต่ก็นั่นแหละใครมีมะกรูดมาแลกได้เลยตอนนี้ --- สำหรับเพลงสุดท้าย Blue Ocean Floor นี่ถ้าเป็นหนังต้องบอกว่าจบแบบหักมุมหงายเงิบ เพราะไม่ได้คิดว่าจะเจอเพลงเหงาหงอยเศร้าสร้อยได้ถึงเพียงนี้ แถมทำออกมาได้ดีมากในด้านการออกแบบคอรัสสะท้อนไปสะท้อนมา ใครอยากได้เพลงไปบิ้วอารมณ์นั่งดูคลื่นกระทบฝั่งขอให้พิจารณาเพลงนี้

ข้อดีอย่างหนึ่งของอัลบั้มนี้คือหยอยชัดเจนมาก ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการร่วมงานกับโปรดิวเซอร์เพียงไม่กี่คน ทิศทางของดนตรีจึงไม่ดูกระจัดกระจายไปไหน และที่สำคัญคือคาดเดาไม่ยากนักสำหรับศิลปินคนนึงที่โตมากับเพลงสไตล์โซล แจ๊ซ ฟังก์ ยุค 60s-70s ที่ต้องเก็บงำความชอบส่วนตัวมาปล่อยในเวลาที่เหมาะสม นั่นคือต้องผ่านช่วงยุคหัวหยอยใน Nsync หรือยุคโซโล มาจนอายุเข้าเลขสาม แต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาซะก่อน เพราะต้องยอมรับว่าอัตลักษณ์ของตัวศิลปินเองก็มีผลต่อความน่าเชื่อถือของดนตรีอยู่ไม่น้อย และหยอยก็มาปล่อยเต็มเอากับอัลบั้มนี้ อย่างที่เราเห็นๆ กันตามการแสดงสดต่างๆ ที่ดูเป็นธรรมชาติเป็นอย่างยิ่ง จนเราเริ่มนึกได้ว่าเสน่ห์ของผู้ชายคนนี้คงไม่ใช่แค่หน้าหล่อหุ่นล่ำอย่างเดียวซะแล้ว แต่มันมาจากความสุขจากการได้ทำงานที่ตัวเองรักอย่างเต็มที่ด้วย

Like this? Try These: Robin Thicke, Jamiroquai, Miguel

Thursday, March 14, 2013

Janet Jackson: The Discography


JANET JACKSON: THE DISCOGRAPHY


ไมค์ลอยทัดหูกับเสต็ปหน้ากระดานขั้นเทพ น้ำเสียงกระซิบกระซาบ รอยยิ้มพิมพ์ใจ เธอคนนี้มีอะไรให้จดจำตั้งมากมาย แต่ทำไม๊ทำไมทุกครั้งที่พูดถึง Janet Jackson ใครต่อใครก็มัวแต่นึกถึงเธอในฐานะน้องสาว Michael Jackson อยู่เสมอ หารู้ไม่ว่า นี่แหละคือตัวแม่แห่งวงการของจริง ที่ประสบความสำเร็จจาการผลิตดนตรีคุณภาพด้วยน้ำพักนัำแรงจากการต่อสู้นำพาดนตรีคนดำหญิงเดียวสู่ความนิยมอันดับหนึ่งทั่วโลก กลายเป็นแม่แบบให้ศิลปินรุ่นหลังไม่ว่าจะเป็น Beyonce, Ciara หรือแม้กระทั่ง Aaliyah เพราะฉนั้นเพื่อไม่ให้ใครต้องพลาดของดี วันนี้จึงเราจะจัดหนักกันหน่อย ตั้งแต่ชีวิตอันทรหดในวัยเด็ก ทั้งเรื่องปัญหาความอ้วน ฟันฝ่าโรคซึมเศร้า และปัญหาร้อยแปดของเธอ ไต่เต้าไปจากเด็กหญิงที่อยู่ใต้เงาของราชาเพลงป็อปมาตลอดจนกลายเป็นศิลปินแทบจะคนเดียวที่มีชั่วโมงบินสูสีกับมาดอนน่าในขณะนี้ น่าแปลกที่ในบ้านเรา นอกจากเรื่องเปิดหนองโพรสช็อคโกแล็ตโชว์ในงาน Superbowl แล้ว ไม่ว่าจะยุคไหนก็ไม่มีเพลงฮิตของเจ๊แกดังซักเพลง วันนี้ก็เลยอาสามาเล่าแจ้งแถลงไข และคลายความ underrated ของนางให้ได้รู้จักกันสักครั้ง

วันนี้เราจะมาเจาะลึกผลงานเพลงของ Janet กันแบบอัลบั้มต่ออัลบั้มตั้งแต่ชุดแรกในปี 1982 จนถึงอัลบั้มล่าสุดที่ใครหลายคนยังพอจำได้อย่าง Discipline ในปี 2008 กันไปเลย

เรื่องหัวนอนปลายเท้าเป็นอะไรที่เราแทบจะไม่ต้องแนะนำกันเลยทีเดียว เพราะเด็กหญิง Janet Damita Jo Jackson จากเมืองเล็กใน Indiana คนนี้ เป็นลูกสาวคนสุดท้องของตระกูล Jackson มีพี่ชายและพี่สาวรวมกันแปดคน พี่ชายห้าคนของเจเน็ตโด่งดังในฐานะวง The Jackson 5 วงดนตรีโซลค่าย Motown ที่ใครๆ ก็รู้จัก โดยมีคุณพ่อ Joseph Jackson เป็นผู้จัดการวง เป็นธุรกิจในครัวเรือนอันลือเลื่องในยุค 70s แต่เห็นแบบนี้เชื่อหรือไม่ว่าชีวิตวัยเด็กของครอบครัวนี้ไม่ได้รื่นรมย์อย่างที่คิด ด้วยความที่พ่อเป็นผู้จัดการสุดโหดที่พยายามเข็นลูกทุกคนเข้าวงการกันตั้งแต่อ้อนแต่ออด เจเน็ตถูกหัดให้ร้องเพลงและเต้นตั้งแต่ยังไม่รู้เดียงสาด้วยซ้ำ พ่อของเธอมักจะสั่งให้ทุกคนในครอบครัวเรียกแค่ว่า Joseph เฉยๆ ไม่ต้องเรียกพ่อ เพื่อที่จะไม่ได้ต้องรู้สึกบาดหมางมาก ให้มองว่าเป็นผู้จัดการก็พอ และนั่นก็กลายมาเป็นปมหนึ่งที่ภายหลังไมเคิลเคยเปิดเผยว่ามันทำให้เขารู้สึกเหมือนไม่มีครอบครัวเหมือนคนอื่นแต่เหมือนลืมตามาก็อยู่ในค่ายดนตรีแล้ว ส่วนเจเน็ตบอกว่าสมัยก่อนพ่อเธอดุและคาดหวังสูงมาก แค่มองหน้าก็รู้แล้วที่ทำไปนั้นยังดีไม่พอ แต่แม้ว่าจะถึงขั้นตีลูกให้ไปซ้อม แต่ไมเคิลก็บอกว่าถ้าหากไม่ได้พอโจ ก็คงไม่โตมาเป็นคนมีระเบียบวินัยขนาดนี้ได้

ที่สำคัญเจเน็ตไม่ได้มีความใฝ่ฝันจะเป็นศิลปินใดๆทั้งสิ้น เธอกล่าวในรายการของโอปราห์ว่าอยากจะได้เรียนหนังสือสูงๆ ในมหาวิทยาลัย แต่ปมเรื่องการศึกษาก็กลายมาเป็นความกดดันอีกอย่างหนึ่งเหมือนกัน เพราะเธอเป็นคนหัวทื่อมาก เรียนหนังสือไม่เคยทันคนอื่นและเคยโดนครูว่าต่อหน้าเพื่อนทั้งชั้นแต่ก็ไม่สามารถกลับไปเล่าให้พ่อแม่ฟังได้ ไมเคิล แจ็คสันจึงกลายเป็นคนเดียวที่เธอสนิทด้วยที่สุดและกลายมาเป็นแรงบันดาลใจในฐานะศิลปินให้เธอตลอดมา 

Janet Jackson (1983) และ Dream Street (1984)

เธอเริ่มเข้าวงการตั้งแต่อายุเจ็ดขวบ ด้วยการเป็นตัวประกอบในละครซิทคอมต่างๆ จนมาเริ่มมีชื่อเสียงในหมู่คนผิวสีจากเรื่อง Diff'rent Strokes อันว่าด้วยเด็กผิวสีสองคนที่มีเศรษฐีคนขาวสองคนมารับไปเลี้ยงในคฤหาสถ์ แต่เจเน็ตก็ไม่ได้รับบทเด่นอะไร แต่ก็มีฉากร้องเพลงให้พอได้ฉายแววกันบ้าง พออายุได้สิบหกคุณพ่อโจจับเซ็นสัญญากับบริษัท A&M เพื่อทำอัลบั้มแรกให้โดยก็ตั้งชื่อง่ายๆ ว่า Janet Jackson ตามพี่ชายที่กำลังดังได้ที่ไป นึกง่ายๆ ก็เหมือนพ่อแม่เด็กซิงกิ้งคิดส์บ้านเราที่ชอบดันให้ไปออกรายการอะไรต่อมิอะไรไปเรื่อย หน้าปกอัลบั้มก็ถ่ายกันง่ายๆในสระว่ายน้ำหลังบ้านตัวเองนั้นแหละ แต่อนิจจา อัลบั้มเปิดตัวของเธอหาได้ประสบความสำเร็จใดๆ ทั้งสิ้น เพราะมันไม่ได้ทำให้เธอเป็นที่รู้จักมากขึ้นได้และไม่มีเพลงฮิตอะไรเลยสักเพลง ในขณะที่พี่ชายก็ดังเอาดังเอา เธอก็ถูกบังคับให้ออกอัลบั้มที่สองตามมาอีกครั้ง แต่ก็ยิ่งไม่เป็นที่พูดถึงไปกันใหญ่เมื่ออัลบั้ม Dream Street ตามออกมาในปี 1984 นั้นไต่อันดับได้สูงสุดเพียงอันดับที่ 147 เท่านั้น ซิงเกิ้ล Dream Street เป็นเอ็มวีเพลงแรกในชีวิตของเจเน็ตก็สุดแสนจะน้ำเน่า เธอแสดงเป็นเด็กสาวเข้ามาล่าท้าฝันเป็นดาราในเมืองลอสเอนเจลลิส ตัดกับฉากยืนร้องเพลงกับบลูสกรีนโง่ๆ อีกสองสามฉาก แค่นั้น

การที่ทั้งสองอัลบั้มนี้เงียบเป็นเป่าสากนั้นอาจมีสาเหตุมาจากการที่เธอไม่ได้มีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์หรือแต่งเพลงเลยแม้แต่เพลงเดียว เพราะพ่อเธอดูแลการผลิตทั้งหมดและเหล่าพี่ชายก็รับหน้าที่แต่งเพลงให้ทุกเพลง รวมไปถึงความกดดันอย่างหนักที่รับมาจากครอบครัว ทั้งๆที่ยังอายุน้อยมาก สำหรับวันนี้ Janet Jackson และ Dream Street เป็นสองงานเพลงชุดที่นอกจากจะหาฟังยากแล้ว ยังหาสะสมยากกว่าอีก สมัยนี้ถ้าใครหยิบมาฟังก็หวนรำลึกซาวน์สมัยต้นยุค 80s ก็ดูเท่ห์ดีไม่หยอก

 
Control (1986) 

 การครอบงำจากครอบครัวยังคงดำเนินมา เรื่อยๆ จนกระทั่งเจเน็ตอายุสิบแปดปีพอบรรลุนิติภาวะ เธอเลยตัดสินใจแต่งงานกับ James DeBarge ลูกชายเจ้าของค่ายเพลงอีกค่ายหนึ่งเพียงเพราะว่าจะหนีไปจากครอบครัวของตัว เองเท่านั้น และแน่นอนว่าทางบ้านคัดค้านการแต่งงานครั้งนี้อย่างยิ่ง เพราะ DeBarge ทั้งติดยาและขาดวุฒิภาวะ เจเน็ตเลิกกับเขาในเวลาไม่กี่อาทิตย์และย้ายไปอยู่กับพี่สาวแทน 

ความพยายามในการหลุดพ้นมาเริ่มเป็นผลเมื่อเจเน็ตตัดสินใจตัดขาดความสัมพันธ์กับพ่อของเธอทั้งในฐานะผู้นำครอบครัวและผู้จัดการส่วนตัว และจ้าง John McCain มาเป็นผู้จัดการแทน ซึ่งในสมัยนั้นเป็นวาทะร้อนแรงทางหน้าหนังสือพิมพ์อย่างมากระหว่างเมคเคนและ พ่อของเจเน็ต โจเซฟกล่าวว่าเมคเคนจะเกาะลูกสาวตัวกินบ้าง จะทำให้เสียศักดิ์ศรีแจ็คสันบ้าง แต่อย่างไรก็ตามอัลบั้มใหม่ของเธอนั้นได้ Jimmy Jam และ Terry Lewis สองโปรดิวเซอร์คู่บุญที่ร่วมงานกับเจเน็ตตลอดยี่สิบปีต่อมา อัลบั้มใหม่ที่พวกเขาร่วมกันสร้างนั้นเป็นการผสมผสานดนตรีที่ล้ำสมัยเข้ากับ สไตล์การร้องของเจเน็ต ผนวกกับดิสโก้ อาร์แอนด์บี และฟังค์ ออกมาเป็นผลงานที่ไม่มีแจ็คสันคนไหนทำมาก่อน และเรียกมันว่า "Control"

ภายใต้หน้าปกสีแดงแสนเก๋ไก๋ เสียงแรกที่ได้ยินคือไตเติ้ลแทร็คชื่อว่า Control มันคือคำประกาศอิสรภาพอย่างเป็นทางการทั้งทางด้านดนตรีและชีวิต เป็นอัลบั้มชุดที่เธอแต่งเพลงเองทั้งหมดและราวกับว่าเธอกำลังสื่อไปถึงพ่อและครอบครัวที่กำลังฟังอยู่ว่าตอนนี้เธอขึ้นมากุมบังเหียนชีวิตตัวเองเรียบร้อยแล้ว 

Control กลายมาเป็นอัลบั้มที่ดังที่สุดของเจเน็ตในยุคนั้น (จนทุกวันนี้ก็ยังนับเป็นหนึ่งในอัลบั้มที่เปรี้ยงที่สุดอยู่) เพราะมีเพลงสร้างชื่อติดบิลบอร์ดท็อปไฟว์ทุกซิงเกิ้ลตั้งแต่ "What Have You Done For Me Lately", "Nasty", "Control", "The Pleasure Principle" และ "When I Think of You" ที่่ขึ้นอันดับหนึ่งเป็นเพลงแรก แฟนเพลงไม่ใช่ไม่ว่าจะคนขาวคนดำต่างแห่แหน นักวิจารณ์จากหลายสำนักต่างลงความเห็นว่า การขับเคี่ยวกันระหว่าง Control ของเจเน็ตกับ True Blue ของมาดอนน่ากำลังทำให้วงการเพลงป็อปเข้มข้นขึ้นอีกครั้ง อีกทั้ง Control ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่สาขาอัลบั้มแห่งปีอีกด้วย ธรรมดาซะที่ไหน


Janet Jackson's Rhythm Nation 1814 (1989)

หลังจากเชิดใส่คุณพ่อจอมบงการ มาทำอัลบั้มแรกที่แท้จริงจนได้ดิบได้ดี ส่งเพลงต่างๆทะยานขึ้นสู่อันดับหนึ่งของชาร์ทไปเป็นทิวแถวเรียบร้อยแล้ว เจเน็ตที่ขณะนี้เป็นที่รู้จักทั่วโลกก็เดินหน้าทำอัลบั้มต่อไปทันทีในเดือนกันยายน 1989 และยังคงร่วมงานกับโปรดิวเซอร์คู่หูคู่เดิมและแมคเคนผู้จัดการส่วนตัวก็กลายมาเป็นผู้บริหารค่าย A&M และเสนอตัวมาร่วมเป็น executive producer ให้กับงานชุดนี้ด้วย ในตอนแรกทางค่ายอยากให้ออกอัลบั้มอย่าง Control มาอีกครั้ง โดยคราวนี้เสนอให้เล่นกับเรื่องข่าวฉาวเกี่ยวกับครอบครัวมากขึ้น แต่เจเน็ตปฎิเสธและยืนยันที่จะแต่งเพลงเกี่ยวกับสิ่งที่เธออยากจะพูดจริงๆ นั่นก็คือเรื่องสันติภาพและความอยุติธรรมในสังคม จึงทำให้อัลบั้ม Janet Jackson's Rhythm Nation 1814 มีเพลงอย่าง The State of the World, Living in the World (That We Didn't Make) และ Rhythm Nation เป็นธีมหลัก

สำหรับซิงเกิ้ลนั้น ในแต่ละเพลงจะเห็นว่าเจเน็ตเดินตามรอยเท้าพี่ชายนักเต้นเท้าไฟไปอย่างชัดเจน เพราะเรียกว่าถ้าไมเคิลมีเพลงดังท่าเต้นเด็ดอย่าง Thriller เจเน็ตก็มี Rhythm Nation นี่แหละที่พอจะประมือกันได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ โดย Rhythm Nation นี้ส่งให้เธอคว้ารางวัลออกแบบท่าเต้นยอดเยี่ยมจาก VMA ไปครอง ส่วนลุ๊คชุดทหารกับหมวกแก็ปสีดำพร้อมปฎิวัติในเอ็มวีนี้เป็นสิ่งที่ใครต่อใครก็จำได้และนำกลับมาใช้เป็น reference กันอยู่จนถึงทุกวันนี้ โดยเฉพาะในงาน MTV Icon ปี 2001 ที่ Pink, Usher และ Mya ร่วมกันแสดงทรีบิวต์ให้กับท่าเต้นของเพลงต่างจากอัลบั้มนี้ อย่างเช่น Miss You Much, Alright, Pleasure Principle (อันนี้จากอัลบั้มก่อนหน้า) และ Rhythm Nation 


janet. (1993)

มาถึงจุดนี้ขอบอกว่าเจ๊แกดังชนิดที่ว่าเอาอะไรมาฉุดก็ไม่อยู่แล้ว หลังจากความสำเร็จจากอัลบั้มก่อน สัญญากับค่าย A&M ที่ยาวนานกว่าสิบปีก็ใกล้จะหมดลง ทำให้เกิดศึกสงครามชิงตัวเจเน็ตมาเซ็นสัญญาระหว่างค่ายเพลงยักษ์ใหญ่อย่าง Atlantic, Capitol และ Virgin ในขณะที่ A&M เองก็ต้องการให้เธอต่อสัญญาด้วยเช่นกัน สงครามการประมูลจบลงที่ข้อเสนอของ Richard Branson เฒ่าแก่ใหญ่แห่ง Virgin ที่สนนราคาให้ที่ 40 ล้านดอลลาร์ พร้อมส่วนแบ่งเหนาะๆ 22 เปอร์เซ็น ทำให้เธอกลายเป็นนักร้องหญิงที่มีค่าตัวสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ขณะนั้น

เจเน็ตพยายามลบคำครหาว่าเธอเป็นนักร้องที่ต้องอาศัยชื่อเสียงของพี่ชาย เมื่อเทียบกับวิทนีย์ หรือมารายห์ที่มาแนวขายเสียงแบบเน้นๆ ทำให้เธอดูเหมือนนักร้องที่ต้องอาศัยฝีมือโปรดิวเซอร์เป็นหลัก เมื่อได้ยินเช่นนั้นเจ๊จึงขอออกโรงเองกำหนดทิศทางอัลบั้มและแต่งเพลงเองทั้งหมด ส่วนชื่ออัลบั้มที่เห็นนี้ อันที่จริงจะต้องออกเสียงว่า janet period คือเจเน็ตเฉยๆ ประมาณว่าจะสลัดภาพที่ว่าเธอมาจากตระกูลดังออกไป ไม่ต้องมีนามสกุุลตามหลังเพลงชั้นก็ดังได้คอยดู! -- janet. อัลบั้มแรกในสังกัด Virgin จึงไม่ได้มีแค่ลุ๊คที่เน้นเซ็กซี่ขึ้นเท่านั้นแต่รวมไปถึงเนื้อหาของเพลงที่ก้าวผ่านความเป็นวัยรุ่นออกมาอย่างชัดเจน ที่การพูดถึงเรื่องความรักและเซ็กซ์ในมุมมองที่มีชั้นเชิงมากขึ้น

หน้าปกอัลบั้มที่เห็นอยู่นี้ มาจากปกนิตยสารโรลลิ่งสโตนอันโด่งดัง ถ่ายโดย Patrick Demarchelier ภาพเจเน็ตยืนท็อปเลสหน้ากล้องนี้เป็นหนึ่งในภาพตำนานที่นิตยสาร Time จัดให้เป็นหนึ่งในสิบหน้าปกนิตยสารที่เซ็กซี่ที่สุด ส่วนมือที่โผล่มาปิดไว้อย่างหมิ่นเหม่นั้นคาดว่าจะอภินันทนาการจาก Rene Elizondo คุณสามีของเธอตอนนั้นนั่นแหละ

สำหรับเพลงฮิตในอัลบั้มนี้คงหนีไม่พ้น That's the Way Love Goes อาร์แอนด์บีจังหวะกลางๆ ซิ งเกิ้ลแรกที่ขึ้นอันดับหนึ่ง Hot 100 เป็นเพลงที่หกภายในไม่กี่สัปดาห์ ในเอ็มวีนี้ถ้าดูดีๆ จะเห็น Jennifer Lopez มาป้วนเปี้ยนเป็นแดนเซอร์อยู่ด้วย ในขณะที่ If เป็นเพลงจังหวะสนุกๆ ที่พูดกล้าพูดถึงเรื่องเซ็กส์อย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับการจินตนาการการร่วม รักกับชายที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอมีตัวตน และ Again เพลงประกอบภาพยนตร์ Poetic Justice ที่เจเน็ตแสดงนำก็ได้เสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาเพลงประกอบยอดเยี่ยมด้วย

Scream - Michael Jackson feat. Janet Jackson (1995)

และแล้วความฝันของเจเน็ตก็เป็นจริง เมื่อเธอได้รับการติดต่อให้บินไปนิวยอร์กเพื่อไปร่วมงานในโปรเจ็คใหญ่ของไมเคิล พี่ชายอันเป็นแรงบันดาลใจในการทำงานของเธอมาเสมอ ในวันที่ 31 เมษายน ปี 1993 Scream ซิงเกิ้ลแรกจากอัลบั้ม History ก็เปิดตัวอย่างเป็นทางการ นี่คือการโคจรมาเจอกันครั้งประวัติศาสตร์ของสองศิลปินแห่งทศวรรษ คล้ายกับ Human Nature ของมาดอนน่า Scream เป็นการตอบกลับทางดนตรีถึงข่าวต่างๆ ที่เขาถูกหนังสือพิมพ์แทปลอยด์รุมโจมตีอย่างหนัก ทั้งเรื่องในฉาวโฉ่ในครอบครัวและเรื่องการใช้ยาเสพติด ราวกับจะบอกว่าเขาเหนื่อยและอัดอั้นจนอยากจะระเบิดมันออกมา Scream จึงเป็นป็อปร็อคที่หนักแน่นและรุนแรงไปด้วยไลน์โซโลกีตาร์และบีทกระหึ่มตลอดเพลง ความสำเร็จของซิงเกิ้ลนี้จึงเป็นการตอกย้ำถึงพฤติกรรมการบริโภคดราม่าของอเมริกันชนได้อย่างดี

Scream เป็นที่โจษขานว่าเป็นมีเอ็มวีใช้ทุนสร้างมากที่สุดในโลก นั่นคือราวเจ็ดล้านเหรียญ ใช้เวลาถ่ายทำกว่าสิบเอ็ดวัน ต้องใช้นักออกแบบท่าเต้นถึงสี่คนเพื่อให้เจเน็ตและไมเคิลดูกลมกลืนและขัดแย้งกันในเวลาเดียวกัน ไอเดียยานอวกาศสีขาวของผู้กำกับ Mark Romanek  นี้ถูกนำมาเป็นแรงบันดาลใจต่อศิลปินรุ่นหลังอีกมากมาย ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดเห็นจะเป็น No Scrubs ของสามสาว TLC นี่แหละ 

แต่น่าเสียดายที่ทั้งสองไม่เคยมีโอกาสได้แสดงสดเพลงนี้ด้วยกันเลย จนกระทั่งไมเคิลเสียในปี 2009 เจเน็ตในวัย 43 ปีจึงหยิบเพลงนี้มาทรีบิวต์ให้เขาในงาน VMA ในปีนั้น



The Velvet Rope (1997)

อย่างที่หลายคนอาจจะสังเกตว่าเจเน็ตเป็นศิลปินที่ถ้าไม่ได้อยู่ในระหว่างการโปรโมทอัลบั้มหรือทัวร์จะหายเงียบไม่มีข่าวอะไรให้หายคิดถึงเลย ลองนึกถึงยุคที่ยังไม่มีโซเชียลเน็ตเวิร์คให้ติดตามแฟนเพจเหมือนทุกวันนี้ คงไม่ยากที่หลายคนอาจสงสัยว่าเธอหายไปไหน มีความคืบหน้าอย่างไรบ้าง หรือไม่ก็ลืมไปเลย คำตอบในหลายๆ ครั้งที่เธอหายไปนั้นคือ เธอกำลังเผชิญกับโรคซึมเศร้า! แม้เธอจะมีทุกอย่างที่ใครๆ ต้องการทั้งชื่อเสียง เงินทอง และความสำเร็จ แต่อาการของโรคกำลังบอกเธอว่าเธอไม่มีอะไรเลย และไม่ต้องการอะไรเลย ไม่ใช่แค่ช่วงปีนี้แต่หลายครั้งที่เจเน็ตมีปัญหาเรื่องพฤติกรรมการกินและเกิดอาการเครียดจากเรื่องน้ำหนักที่คุมไม่ได้ เจเน็ตเคยเล่าว่าตอนสมัยเด็กๆ โปรดิวเซอร์ซิทคอม Good Times เคยบอกให้เธอลดน้ำหนักตั้งแต่อายุราวสิบเอ็ดสิบสอง บวกกับไมเคิลพี่ชายคู่หูสุดประเสริฐก็ขยันแซวตั้งแต่เล็กจนโต ทำให้กลายมาเป็นปมเรื่องรูปร่างตอนโต บวกกับเรื่องครอบครัวซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของตระกูลนี้มาตั้งแต่ต้น อีกทั้งยังมีปัญหากับสามีเรื่องเงินๆ ทองๆ จนต้องหย่ากันในไม่กี่ปีถัดมา ทำให้เมื่อเจเน็ตเข้าสตูดิโออัดอัลบั้มใหม่ เธอมักไม่พูดไม่จาและจู่ๆก็เดินออกจากห้องอัดอยู่หลายครั้ง

อย่างไรก็ตามในวันที่ 7 ตุลาคม ปี 1997 The Velvet Rope อัลบั้มชุดที่ 6 ของเธอก็ออกวางแผงจนได้ เป็นอัลบั้มที่จะบอกว่าฟังยากก็ไม่ใช่ จะบอกว่าป็อปก็ไม่เชิง แต่เป็นหากเทียบกับผลงานเก่าๆ แล้ว นี่ถือว่าเป็นงานเพลงชิ้นโบว์แดงที่มีจิตวิญญาณอยู่สูงที่สุดก็ว่าได้ เจเน็ตใช้คำว่า Velvet Rope หรือเชือกกำมะหยี่สีแดงๆ ที่กั้นหน้าโรงหนังมาเป็นสัญลักษณ์แทนตัว เชื้อเชิญชนคนฟังให้ก้าวข้ามมันมา ราวกับว่าเธอกำลังจะเปิดเผยความลับอะไรบางอย่าง

เมื่อก้าวข้ามเชือกกำมะหยี่ผ่านหลังม่านสีแดงมาได้ ในแทร็คแรกเราจะพบกับเสียงไวโอลินชวนขนพองสยองเกล้าของ Vanessa Mae ในเพลง Velvet Rope เมื่อผ่านมาได้เราจะเจอกับสุดยอดศิลปะในการเล่าเรื่องที่ลงลึกไปแตะประเด็นความรุนแรงในครอบครัว อาการซึมเศร้า เพศที่สาม ไปจนถึงอาการรังเกียจเพศที่สามหรือ Homophobia เรียงรายอยู่ในอัลบั้มนี้ แต่ถ้าหากฟังผ่านๆ ไม่ได้ฟังเนื้อเพลงเราได้อัลบั้มอาร์แอนด์บีที่เรียบเรียงแบบแจ๊ซและฟังค์ ฟังสนุกอัลบั้มหนึ่ง โดยดูไม่ออกเลยว่าเธอกำลังพูดถึงเรื่องอะไร

แต่เพลงที่เธอเลือกตัดซิงเกิ้ลในอัลบั้มสุดเซอร์นี้กลับเป็นเพลงที่มักไม่ค่อยเชื่อมโยงกับธีมหลักของอัลบั้มเท่าไรนัก เพลงอย่าง Together Again เป็นป็อปแดนซ์ฟังสนุกสุดฟีลกู๊ด ในขณะที่ I Get Lonely เป็นอาร์แอนด์บีชวนโยกที่ทำให้เจเน็ตคว้ารางวัลนักร้องอาร์แอนด์บีหญิงยอดเยี่ยมจากแกรมมี่ไปครอบครอง ส่วน Got Til It's Gone อีกหนึ่งซิงเกิ้ลที่แอบหยอดแซมเปิ้ลเพลง Big Yellow Taxi ของ Joni Mitchell ก็มีเอ็มวีที่ถ่ายทอดบบรรยากาศไนท์คลับของคนดำในยุคหกศูนย์ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม


All For You (2001)

คิดว่าเพื่อนๆ หลายคนจะเกิดทันยุคนี้กันแล้ว ตอนนั้นเราประมาณสิบขวบเห็นจะได้ เห็นวีเจในวีเอชวันเรียกอัลบั้มนี้เป็นภาษาไทยว่า "ให้เธอหมดเลย" เลยเกิดอาการฝังใจเรียกอัลบั้มนี้ว่า "ให้เธอหมดเลย" ตลอดมา ฮ่าๆ คิดไปคิดมาก็เข้ากับเพลงในอัลบั้มนี้อยู่ใช่น้อย เพราะมันเป็นอะไรที่หวานแหววแต๋วจ๋าราวกับจะย้อนไปอายุสิบสี่สิบห้าอีกครั้ง

All For You เป็นอะไรที่ตรงกันข้ามกับ The Velvet Rope ทุกอย่าง คล้ายว่ากลัวจะโดนเด็กรุ่นใหม่อย่าง  หนูหอกบริทนีย์ หรือ แม่สะโพกดินระเบิดเจโล ถอนหงอก คุณแม่เจเน็ตจึงยกเครื่องแปลงโฉมใหม่ให้ดูเป็นวัยรุ่นอีกครั้ง ไม่ใช่แค่เสื้อผ้าหน้าผม แต่รวมไปถึงเพลงที่กลายเป็นป็อปแดนซ์สดในน่ารักและที่สำคัญ ทันสมัยขึ้น ถ้าใครฟังเพลงป็อปสมัยนั้นก็น่าจะนึกออกว่าเป็นยังไง และแม้ว่าจะมีการใช้ภาษาและภาพลักษณ์ที่ค่อนข้างแรงจนได้ Parental Advisory มาประดับปกสวยๆ แต่นั่นก็ยิ่งทำให้สามารถเพื่อเจาะกลุ่มผู้ฟังวัยรุ่นได้ดียิ่งขึ้น 

จะว่าไปบางทีดนตรีมันหนักไปทางการตลาดมากกว่าศิลปะ มีการวิเคราะห์จุดแข็งจุดอ่อนชัดเจน งานชุดนี้ของเจเน็ตก็เหมือนกัน เมื่อเจอคู่แข่งเป็นเด็กรุ่นใหม่และคนฟังยุค N'Sync เข้าไป ซิงเกิ้ลแบ๊วๆ อย่าง All For You จึงถือกำเนิดขึ้น กับเอ็มวีที่ถ่ายด้วยฉากคอมพิวเตอร์กราฟฟิกทันสมัยและท่าเต้นที่เธอมีดีเหนือกว่าใครมาแต่ไหนแต่ไร ทำให้การพยายามครั้งนี้เป็นผลสมใจ เพราะได้รับความสนใจจากวัยรุ่นยุคใหม่และขยายฐานคนฟังไปกว้างไกลจนได้ขึ้นอันดับหนึ่ง Hot 100 ไปอีกหนึ่งเพลงอย่างสวยงาม อีกทั้ง All For You ยังเป็นเหมือนเพลงบังคับของเจเน็ตประจำทัวร์ต่างๆ ไปโดยปริยาย เพลงอื่นๆ อย่างเช่น Doesn't Really Matter เจ๊แกแอ๊บซะจนดูไม่ออกว่าสามสิบกว่า ดูไปดูมาบางทีก็น่ากลัวเหมือนกัน และเพลงด่าผู้ชายอย่าง Son of a Gun ที่มีป้าอึ่ง Missy Elliott มาร่วมทัพด้วย เดาไม่ยากว่าเธอแต่งให้คุณสามีเม็กซิกันที่เพิ่งหย่าไปนั่นแหละ


Damita Jo (2004)

ที่เห็นข้างบนคือสิ่งที่เจเน็ตให้คำจำกัดความผู้หญิงที่ชื่อ Damita Jo หรือตัวเธอเองนั้นแหละ ในเพลง Damita Jo เพลงแรกของอัลบั้มชื่อเดียวกันที่ออกมาสามปีให้หลัง All For You นี้ พยายามจะสื่อว่าเธอเองก็เป็นผู้หญิงคนนึงที่ชอบร้องเต้น ชอบอ่านหนังสือ และไปดูหนังเหมือนคนปกติทั่วไปเหมือนกัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพยายามจะนำตัวเองเข้าไปใกล้ชิดกับคนฟังให้มากขึ้นอีกครั้ง ถึงแม้ว่าเจเน็ตมักจะให้สัมภาษณ์เสมอว่าเธอรู้สึกอายทุกครั้งที่ถูกรุมถ่ายรุปหรือถูกสายตาแฟนเพลงจับจ้องก็ตาม จริงใจหรือไก่กาไม่รู้ แต่อัลบั้ม Damita Jo ชุดนี้ เป็นอัลบั้มหนึ่งที่ทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว เป็นงานอาร์แอนด์บีสุดเซ็กซี่ที่รักษาสมดุลย์ด้วยการเล่าเรื่องแบบบทพูดน่ารักๆ ฟังดูติดดินและจริงใจ I Want You เป็นตัวอย่างหนึ่งของเพลงที่ว่านี้ ส่วน R&B Junkie ก็ดึงซาวน์สุดโอล์ดสกูลสุดเท่มามิกซ์ได้อย่างเจ็บแสบ แถมยังมี SloLuv ดิสโก้ดีดดิ้งแบบที่ไม่เคยเห็นในเพลงไหนของเจเน็ตมาก่อนอีกหนึ่งเพลงด้วย

แต่น่าเสียดายที่ทั้งหมดทีพูดมาดันไปเสียกับมหกรรมโชว์เต้าเขย่าขวัญในการแสดงคั่นเวลา Super Bowl ไปอย่างน่าเสียดาย สำหรับใครที่ไม่รู้จริงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นในวันนั้นก็จะเล่าให้ฟังว่าเจเน็ตได้รับเกียรติให้ขึ้นแสดงโชว์คั่นเวลาแห่งนี้ ซึ่งเป็นงานใหญ่อันทรงเกียรติสำหรับศิลปินอเมริกาเป็นอย่างมากหลังจากที่ไมเคิลพี่ชายเคยขึ้นแสดงไปแล้วเมื่อปี 1990 พอขึ้นโชว์เพลง Rhythm Nation และ All For You เสร็จ แขกรับเชิญสุดฮ็อตพ่อหยอย Justin Timberlake ก็ต่อด้วย Rock Your Body อีกหนึ่งเพลง พอสิ้นคำสุดท้ายว่า I'm gonna have you naked by the end of this song หยอยก็กระชากเสื้อที่ปิดหน้าอกของเธอจนขาดติดมือออกมา แล้วโชว์ก็จบไปอย่างงงๆ พร้อมกับหนองโพรสช็อคโกแล็ตหราถ่ายทอดสด ทิ้งให้คนดูอ้าปากหวอกันทั้งประเทศ

แต่ประเด็นหลักคือ มันไม่ตลกเลย วันต่อมาทั้งอเมริกาพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น CBS สถานทีโทรทัศน์ช่องที่ถ่ายทอดสดถูกศาลปรับไปสูงถึง 550,000 ดอลลาร์ เจเน็ตถูกถอนชื่อออกจากรายชื่อเข้าชิงรางวัลต่างๆทั้งหมด และถูกค่ายบังคับให้จัดแถลงข่าวขอโทษกับสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งเธอเผยภายหลังว่าเธอไม่น่าขอโทษไปเลย เพราะยังไงก็ยังยืนยันคำเดิมว่ามันคืออุบัติเหตุ อันที่จริงจัสตินต้องดึงแค่แถบหนังสีดำด้านนอกออกให้เหลือแต่ลูกไม้สีแดงเท่านั้น แต่เธอก็ยังถูกโจมตีอย่างหนักทั้งจากฝ่ายอนุรักษ์นิยม มีการนำคำว่า Wardrobe Malfunction หรือชุดทำหน้าที่บกพร่อง มาล้อเลียนไปทั่วตามรายการหรือซิทคอมต่างๆ เจเน็ตไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกเลยจนกระทั่งมาออกรายการโอปราห์อีกครั้งในปี 2006 เธอเผยความรู้สึกว่ารู้สึกเสียใจที่เห็นความใจร้ายของคนอเมริกา ในตอนนั้นเกิดสงครามในอิรักมีคนตายมากมายแต่คนดูกลับเลือกที่จะมาสนใจกับอีแค่นมเต้าเดียวเท่านั้น ส่วนจัสตินที่ดูเหมือนจะลอยตัว ไม่ต้องตกเป็นจำเลยใดๆทั้งสิ้น ก็กล่าวว่า สำหรับเรื่องนี้เขาและเจเน็ตมีความผิดทั้งคู่ แต่มันบานปลายมาขนาดนี้ด้วยความมือถือสากปากถือศีลของอเมริกานี่แหละ


20 Y.O (2006)

หลังจากหมดยุค All For You ไปแล้ว ก็ไม่มีอะไรหลังจากนี้ที่ยิ่งใหญ่ได้เท่าเมื่อก่อนอีกเลย เจเน็ตยังคงเจอปัญหาเดี๋ยวอ้วนเดี๋ยวผอมอยู่ตลอด สื่อต่างๆ ก็ยังพูดถึงเธออยุ่แค่เรื่อง Super Bowl อยู่เหมือนเดิม อัลบั้มชุดที่เก้า 20 Y.O ที่วางแผงสามปีให้หลังจากเหตุการณ์ที่ Super Bowl ได้รับกระแสตอบรับน้อยมาก แม้ว่าจะได้ Jermaine Dupri สามีคนที่สาม (แล้วก็หย่ากันในปี 2009) มาช่วยโปรดิวซ์และแต่งเพลงให้ แต่นิตยสาร Allmusic รีวิวอัลบั้มนี้ไว้ว่า "เป็นอัลบั้มที่อ่อนที่สุดนับตั้งแต่ Dream Street" แถมยังถูกนักวิจารณ์สับแหลก Rollling Stone นิตยสารเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ก็ให้แค่ 3 ดาวจากเต็ม 10 เท่านั้น แต่เจเน็ตยังคงเดินหน้าทำเพลงอาร์แอนด์บีต่อไปแม้จะรู้ว่าช่วงกลางทศวรรษที่ผ่านมา ประมาณปี 2005-2006 เป็นยุครุ่งเรืองที่สุดของเพลงแนวนี้ที่กำลังล้นตลาดอย่างหนัก จนทำให้ซิงเกิ้ลอย่าง So Excited หรือ Call On Me ถูกกลืนหายไปกับกระแสอย่างรวดเร็ว คิดๆแล้วแค้นที่คุณสามีโปรดิวเซอร์มมือทองในปีเดียวกันนั้นทำอัลบั้ม The Emancipation of Mimi ของมารายห์ให้กลับมาดังได้ แต่ทำให้เมียแท้ๆ ได้แค่อัลบั้มภาคต่อของ Damita Jo เท่านั้น แข่งบุญแข่งวาสนาคงแข่งกันไม่ได้จริงๆ


Discipline (2008)

เมื่อสัญญาอันยาวนานกับค่าย Virgin หมดลง เธอจึงย้ายเข้าสังกัดไปอยู่ Island Records ซึ่งมี Jermaine และตัวเธอเองเป็นประธาน และออก Discipline อัลบั้มล่าสุดของเจเน็ตที่ไม่มีคู่หู Jimmy Jam และ Terry Lewis เป็นโปรดิวเซอร์ให้อีกต่อไป แต่ได้ศิลปินมือดีมากมายมาร่วมทั้งหน้าเก่าหน้าใหม่มาร่วมโปรดิวซ์อัลบั้มให้ตั้งแต่ Jermaine Dupri, Darkchild, Stargate, The-Dream และ Ne-Yo และกลับกลายเป็นว่าเจเน็ตไม่ได้แต่งเพลงในอัลบั้มนี้เลยแม้แต่เพลงเดียว อีกทั้งอัลบั้มนี้โปรโมทเพียงไม่กี่เดือนก็ลอยแพทิ้งไปเรียบร้อย

Feedback ซิงเกิ้ลแรกสามารถเรียกความสนใจจากวงการได้บ้างหลังจากไปรั้งอยู่ท้ายแถวมาหลายปี แต่ดูเหมือนจะหมดยุคการจับแดนเซอร์เรียงแถวหน้ากระดานเต้นซะแล้ว เพราะเอ็มวีนี้ใครดูก็รู้สึกทันทีว่าเชยระเบิด แถมช่วงท้ายๆ ดูแล้วอยากกินซีเรียลกับนมอย่างบอกไม่ถูก ลองไปเปิดดูเอาเองแล้วกัน ส่วน Rock With U อิเล็กโทรป็อปที่ฟังเพลินได้หนุ่มนีโยแต่งให้นั้นทำออกมาได้ดีทีเดียวกับการถ่าย long shot กับท่าเต้นและคอสตูมสุดล้ำ ดูทันยุคทันสมัยกว่าซิงเกิ้ลแรกมาก อย่างไรก็ดีอัลบั้ม Discipline เป็นงานที่เปลี่ยนแนวมาเป็นอิเล็กโทรนิก มีการใช้เสียงสังเคราะห์เข้ามามิกซ์มากขึ้น ส่วนที่ยังเป็นอาร์แอนด์บีเต็มๆ อยู่ก็ไพเราะไม่แพ้ใคร เพลงชื่อเดียวกับอัลบั้ม Discipline คงความเซ็กซี่อาร์แอนด์บีซาบซ่าน slow jam ตามแบบฉบับเจเน็ตก็ยังเด็ดอยู่ไม่เสื่อมคลาย

เจเน็ตขึ้นกล่าวสุนทรพจน์แก่พี่ชายผูู้ล่วงลับในงาน BET Awards 2009

25 มิถุนายน ปี 2009 เช้าวันนั้นเจเน็ตได้รับโทรศัพท์จากผู้ช่วยส่วนตัวว่าไมเคิลหัวใจวาย กว่าเธอจะบินจากนิวยอร์กไปดูใจพี่ชายที่แอลเอ ข่าวก็ออกทั่วโลกแล้วว่าไมเคิลแจ็คสันเสียชีวิตแล้ว หลังจากเหตุการณ์วันนั้นทำให้เจเน็ตสูญเสียที่พึ่งคนสำคัญไปอย่างไม่กลับคืนมา สื่อแสดงความเห็นใจกับเธอและครอบครัวอย่างยิ่งเมื่อเห็นเธออีกครั้งในงานศพของเขา เจเน็ตปรากฎตัวในงาน BET Awards เพื่อกล่าวสุนทรพจน์เพียงสั้นๆให้แก่ชายว่า "สำหรับคุณเขาคือไอคอน สำหรับพวกเราเขาคือครอบครัว และเขาจะอยู่ในใจของเราตลอดไป" หลังจากนั้นเธอก็ออกรายการไม่กี่รายการและพยายามเลี่ยงการให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับคดีการตายของไมเคิล ล่าสุดเธอก็ปฎิเสธที่จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับคอนเสิร์ตรำลึกถึงเขา เจเน็ตเปิดเผยในหนังสือของเธอ True You: A Journey to Finding and Loving Yourself ที่เขียนหลังจากไมเคิลเสียว่ามันคือการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ เธอกินไม่ได้นอนไม่หลับ ไม่สามารถฟังเพลงหรือดูอะไรที่เกี่ยวกับเขา และไม่สามารถลืมภาพเขาได้เลย

นอกจาก Make Me จากอัลบั้มรวมฮิตแล้วเจเน็ตก็ไม่มีผลงานอะไรออกมาติดตามเลยและดูท่าทางยังคงต้องรอกันอีกนาน เพราะเพิ่งแต่งงานกับมหาเศรษฐีชาวกาตาร์ มีข่าวลือหนาหูว่าเธอเปลี่ยนศาสนาเป็นอิสลาม ก็เลยสงสัยว่าต่อไปจะร้องจะเต้นกันยังไง หรือว่าได้เวลาเปลี่ยนชื่อเพลงจาก Pleasure Principle เป็น Non-pleasure Principle ซะแล้ว

Lay Down In Swimming Pools


ขอกรี๊ดคอแตกหลายๆครั้งให้กับเพลงใหม่ของ Mutya Keisha และ Siobhan สามสาว Origibabes (เพราะนางคือ Original Sugarbabes!!) ที่เอา Swimming Pools ของ Kendrick Lamar ที่เราชอบม้ากกกก มาทำใหม่ได้อย่างลงตัว ฟังแล้วนึกถึงวันเก่าๆ ที่เคยทนฟัง Round Round ทางวิทยุวันละร้อยสามสิบรอบแล้วถึงได้รู้สึกว่าคิดถึงเสียงสามนางนี้แค่ไหน ถ้านี่เป็นแค่การแก้เนื้อเล่นๆ ขำๆ ก็เริ่มอยากจะฟังอัลบั้มจริงที่กำลังจะออกภายในปีนี้แล้วล่ะ!!

Tuesday, March 5, 2013

Video of the Month: February : David Bowie - The Stars (Are Out Tonight)


Video of the Month: February
The Stars (Are Out Tonight)
Artist: David Bowie
Director: Floria Sigismondi

หลังจากสอดส่องหาเอ็มวีที่ดีที่สุดประจำเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ มาสองสามวัน ในที่สุดก็ได้คำตอบเสียที สรุปว่าเอ็มวีที่กระแทกตาที่สุดประจำเดือนนี้ตกเป็นของการกลับมาของราชาแกลมร็อคแห่งยุค 80s David Bowie นั่นเอง! โดยเพลงนี้มีชื่อว่า The Stars (Are Out Tonight) เป็นซิงเกิ้ลที่สองจากอัลบั้ม The Next Day สตูอัลบั้มล่าสุดของเดวิด โบวี่ที่ถึงแม้จะหายหน้าหายตาไปเป็นสิบปีแต่ก็มีทั้งเด็กรุ่นเก่ารุ่นใหม่พูดถึงกันอยู่ตลอดไม่ขาดสาย

หากใครถามว่าทำไมถึงเลือกเอ็มวีนี้ ขอให้ชะเง้อดูรายชื่อนักแสดงและผู้กำกับตอบเริ่มเพลงเอาซะก่อนครับ Star Power ล้วนๆ เพราะงานนี้นอกจากจะได้โบวี่มาร่วมแสดงเองแล้ว ยังได้คุณนาย Tilda Swinton ขวัญใจชาวฮิปสเตอร์มารับบทนำซะด้วย เธอจ๋า มันยังมีอะไรน่าประทับใจไปกว่า David Bowie กับ Tilda Swinton ในจอเดียวกันอีกเหรอ แค่นั้นยังไม่พอยังได้นายแบบที่สวยที่สุดอย่าง Andrej Pejic และนางแบบลุคทอมบอย Saskia De Brauw มาร่วมแสดงอีกด้วย ส่วนผู้กำกับหรือก็ไม่น้อยหน้าเพราะเธอคือ Floria Sigismondi ผกก.ชาวอิตาเลียน หนึ่งในผู้กำกับที่มีผลงานสร้างชื่อเสียงมาตลอดตั้งแต่ยุค 90s และได้ร่วมงานกับโบวี่ในเพลง Dead Man Walking และ Little Wonder มาแล้ว สำหรับใครที่ยังไม่คุ้นให้นึกถึงเอ็มวี Try ของ P!nk ที่น่าจะผ่านตามาเมื่อไม่นานมานี้ และคุณพี่ Floria นี่แหละคือคนที่จับนังติ๊นากลายร่างเป็นนางพญาแมลงในเอ็มวี Fighter ในปี 2003

ดูเหมือนว่าคุณพี่ฟลอเรียจะไปป๊ะเข้ากับบล็อก Tildastardust หรือไรมิทราบถึงได้บังเกิดไอเดียสร้างเอ็มวีสุดป่วงเพลงนี้ เพราะบล็อกที่ว่านี้ตั้งข้อสังเกตว่า David Bowie กับ Tilda Swinton นี่หน้าตาละม้ายคล้ายกันแปลกๆ คุณพี่เลยไม่รอช้า อาสาไขข้อสงสัยด้วยการจับสองคนนี้แสดงเป็นคู่ผัวตัวเมียมันให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย ในเอ็มวีนี้ทั้งสองเล่นเป็นคุณลุงป้าที่อาศัยอยู่ในบ้านอย่างสงบ (นังคุณป้าทิลด้าขนาดได้รับบทเป็นแม่บ้าน ชีก็ยังหิ้วโค้ท Lanvin มาเฉิดฉายอยู่จนได้) จนวันหนึ่งมาเจอคู่หูนักร้องเพลงร็อคที่ย้ายเข้ามาซ้อมดนตรีเสียงดัง จนคุณป้าทิลด้าคล้ายจะเกิดอาการทางจิตประสาทหลอน เห็นเพื่อนบ้านอยู่ทุกที่จนวันดีคืนดีก็หยิบเอาไก่ดิบมาเสิร์ฟให้ผัว แถมยังเอาที่หั่นไก่ไฟฟ้ามาไล่เชือดเอาชีวิตผัวบังเกิดเกล้าอีก พล็อตหลุดโลกขนาดนี้ดูเหมือนอีเจ๊ผู้กำกับจะได้แรงบันดาลใจจากหนังของ David Lynch เยอะไปหน่อย เพราะมะนุดมะนาที่ยังมีความคิดอยู่บนพื้นฐานของเหตุผลอย่างเราๆ ท่านๆ นั้นจะดูให้เข้าใจคงต้องใช้เวลาเปิดวนดูสักสี่ห้ารอบ

เอ็มวี The Stars (Are Out Tonight) คือมหากาพย์ความกำกวมทางเพศอย่างแท้จริง เพราะเท่าที่รู้กันคือทัั้งโบวี่และทิลด้าต่างเป็นผู้บุกเบิกแฟชั่นสไตล์ Androgyny ชนิดหญิงแต่งชายชายแต่งหญิงดูไม่ออกว่าเพศไหนเป็นเพศไหน แถมยังได้ Andrej Pejic นายแบบหน้าสวยชนิดชะนีซูเปอร์โมเดลต้องมองค้อนขวับกันเป็นแถว กับ Saskia De Brauw อีกหนึ่งแฟชั่นไอคอนลุ๊คทอมบอยมาสมทบอีกแรง เรียกว่าใครเพศอะไรในเอ็มวีนี้แทบไม่มีความหมายเลย โดยเฉพาะตอนที่นักร้องทั้งสองดันแต่งตัวทรีบิวต์ให้ลุ๊คเก่าๆ ของโบวี่ยิ่งไปขับเน้นความกำกวมทางเพศให้ชัดเจนไปกันใหญ่

นอกจากเรื่องเพศแล้วเอ็มวีเพลงนี้ของโบวี่ยังเก็บประเด็นเกี่ยวกับชื่่อเสียงได้ตามเนื้อเพลงได้อย่างครบถ้วน แถมผู้กำกับยังเน้นความเก๋าแนว rock n' roll แบบที่เคยทำไว้ในหนังชีวประวัติ Joan Jetts อย่าง The Runaways เมื่อไม่กี่ปีก่อน เอ็มวีนี้เหมาะมากสำหรับคนที่ชอบดูอะไรที่มันเป็นมากกว่าภาพประกอบเสียง ที่เท๊เท่ห์ไม่บันยะบันยังทั้งเพลง ทั้งดารา แถมยังโดดเด่นไปด้วยแฟชั่นเปรี้ยวแซ่บ ในบรรยากาศงงๆ หลอนๆ แต่เซ็กซี่นิดๆอีก เอ๊ะนี่มันอะไรกันเนี่ย เอ็มวีอะไรจะประเสริฐเลิศล้ำขนาดนี้! เอาไปเลยตำแหน่ง Video of the Month ประจำเดือนกุมภาพันธ์! ส่วนตอนนี้ งงไปหมดละ ขอตัวไปดูหนัง David Lynch ต่ออีกสักสองสามรอบก่อน สวัสดี

About Me

My photo
my name is mish my favorite color is turquoise when i grow up I want to be an architect