Saturday, June 30, 2012

Lana Del Rey serving it up with A$AP Rocky this week



จุดแข็งข้อสำคัญทีทำให้ Lana Del Rey นั้นขายดิบขายดีนั้นไม่ใช่แค่น้ำเสียง แต่รวมไปถึงการรักษาลุ๊คสุดแสนจะวินเทจ สไตล์ Nancy Sinatra ผสมกับ Brigitte Bardot ผสมปนเปกับไอดอลหญิงยุคห้าศูนย์หกศูนย์อีกหลายคนทั้งทางด้านดนตรีหรือรูปลักษณ์ แถมเธอยังรักษาคอนเซปต์ได้อย่างมั่นคงกว้างไกลไปถึงเอ็มวีแต่ละตัวที่ทำออกมาได้สวยสดงดงามอย่าบอกใคร

สำหรับครั้งนี้ก็คงไม่แพ้กันในเพลง National Anthem ที่เพิ่งออกมาล่าสุดอาทิตย์นี้ที่ LDR เธอแปลงโฉมเป็น Marilyn Monroe เวอร์ชั่นผมตรงยาวสุดคลาสซี่ พร้อมดัดเสียงอ่อนเสียงหวานร้องเพลง Happy Birthday ให้กับท่านประธาธิปดีเคเนดี้ ล้อกับเหตุการณ์สุดฉาวบ้านแตกสาแหรกขาดเมื่อครั้งสมัยก่อน ก่อนจะแปลงโฉมไปเป็น Jackie O หรือ Jacqueline Kennedy สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งคอยปรนนิบัติพัดวีประธานาธิปดีเคเนดี้ ที่รับบทโดย A$AP Rocky แร็พเปอร์สายอินดี้ร่วมรุ่น ออกมาเป็นเอ็มวีที่ทั้งแรงทั้งล่อเป้า สวยงามด้วยการบรรจงถ่ายทำด้วยกล้องโบราณ และเสื้อผ้าหน้าผมราวกับดูโฆษณายุค 60's ของ Ralph Lauren แถมยังฉลาดตอบโจทย์ตามชื่อเพลง National Anthem อีกต่างหาก

แต่รู้สึกว่าระหว่าง LDR กับ A$AP Rocky จะมีกลิ่นอะไรตะหงิดๆ อยู่ ในเมื่อคนที่จะรับบทปธน.ได้ดีกว่าก็มีตั้งเยอะแยะไปทำไมต้องเป็น A$AP Rocky หรือนาย Rakim Mayers แร็พเปอร์ตัวแสบที่เพิ่งมีผลงานอัลบั้มแรกเมื่อปลายปีที่แล้วช่วงๆ เดียวกับลานา และทั้งสองยิ่งดูแน่นแฟ้นไปกันใหญ่เมื่อลานาเธอไปโผล่หน้าเบลอๆ ปากเจ่อๆ ร่วมร้องในเพลง Ridin' (หรือเพลง My Bitch ตามชื่อเดิมที่ A$AP ตั้งไว้) อีกต่างหาก ถึงแม้เพลงนี้จะยังไม่มีเอ็มวีมาให้ชมแต่ก็รู้สึกว่าลานาเธอมีเซ็กซ์แอพเพียลแบบผู้หญิ๊งผู้หญิงที่ลงตัวกับจังหวะและการร้องแบบฮิปฮอปโอล์ดสคูลแบบนี้มาก เรียกว่าได้ใจไปเต็มๆเลย


ส่วนเรื่องทั้งสองคนนี้เขาเดทกันอยู่หรือเปล่าอะไรยังไง แร็พเปอร์เจ้าตัวแม้จะลุ๊คแรงพูดจาแรงแต่ก็ขอตอบแมนๆว่าเธอก็น่ารักดี แต่ยังไม่ได้คิดอะไรกันมากมาย เอาล่ะ ใครจะว่าอะไรได้ ถ้าทั้งสองคบกันแล้วมีเพลงดีๆ ออกมาแบบนี้ คนฟังจะไม่ให้เชียร์ได้ยังไงใช่ไหมล่ะ ส่วนลานาก็ไม่ได้ตอบอะไรมากมาย นอกจากเนื้อเพลงในเพลง Blue Jeans ที่ฟ้องไว้ว่าใครจะมาดร็อคยังไงแต่ฉันเนี่ยชอบสายฮิปฮอปหรอกนะจ๊ะ

สุดท้ายนี้แฟน LDR เตรียมตัวไว้เลยเพราะเธอกำลังเตรียมจัดชุดใหญ่จากอัลบั้ม Born to Die ไว้อีกหลายเพลงไม่ว่าจะเป็น Summertime Sadness ที่เริ่มได้ยินกันตามคลื่นวิทยุ (ต่างประเทศ) แล้ว ยังมีข่าวมาว่าเธอกำลังเตรียมถ่ายเอ็มวีเพลง Dark Paradise ให้ได้รอชมกันอีกด้วย 

Wednesday, June 27, 2012




ข่าวล่ามาแรง! Princess Die เพลงใหม่ชื่อเพราะของเลดีกาก้า เล่นให้ฟังกันสดๆเป็นที่แรกในคอนเสิร์ตที่เมลเบิร์น!

เหตุการณ์เกิดจากว่ามีลิตเติ้ลมอนสเตอร์มือบอนโยนมงกุฎขึ้นมาบนเวที เลดีกาก้าจึงฉุกคิดขึ้นได้ถึงเพลงใหม่ที่แต่งขึ้นที่เธอออกตัวไว้ชัดเจนว่าอาจจะมีอยู่หรือไม่มีในอัลบั้มใหม่ก็ได้ (คล้ายว่าหล่อนยังไม่ได้ตัดสินใจ) ก็เลยถือโอกาสร้องเพลงเศร้าๆ นี้อันมีนามว่า Princess Die ให้แฟนเพลงได้ฟังกันเป็นของกำนันพิเศษเอาซะเลย

ฟังจบครั้งแรกรู้สึกก็ทึ่งกับฝึมือการแต่งเพลงของเธอเข้าเต็มๆ อีกครั้ง ด้วยบรรยากาศคอนเสิร์ตที่อบอุ่นบวกกับวิญญาณนักดนตรีในเสียงเปียโนเบาบาง ฟังดูคล้ายกำลังฟัง Tori Amos ร้องเพลงของ Elton John อยู่ก็ไม่ปาน ถึงแม้ว่าตอนนี้จะฟังดูคล้ายหนึ่งในหลายเพลงบัลลาดร็อคที่มักซ่อนเข้ามาในอัลบั้มต่างๆ อย่าง Speechless หรือ You and I แต่เราเดาไม่ได้เลยว่าเพลงนี้เมื่อไปอยู่ในอัลบั้มใหม่ของเธอจริงจะมีหน้าตาออกมาเป็นเช่นไร คล้ายกับครั้งแรกที่เราได้ยินเธอร้อง Born This Way ในงานเอ็มทีวีที่เธอใส่ชุดเนื้อสดนั้น ก็ไม่ได้มีเค้าของซิงเกิ้ล Born This Way ที่ออกมาหลังจากนั้นเลย

ไม่ว่าเพลงใหม่นี้จะมีให้ฟังในอัลบั้มใหม่หรือไม่ อย่างน้อยเธอก็แอบเผยไต๋ว่าแอบแต่งเพลงใหม่มาหลบซ่อนไว้ตามหลืบตามกรุไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ที่สำคัญคนที่คุ้มที่สุดก็คือเหล่าลิตเติ้ลมอนสเตอร์จ่ายตังค์ซื้อบัตรมาดูรอบนี้ เรียกว่าคุ้มโคตรๆ ทีเดียว!

Monday, June 25, 2012

Calvin Harris อัลบั้มใหม่ อีกนานไหมพี่?


สำหรับโพสต์นี้ขอใช้เป็นที่ระบายความร้อนอกร้อนใจเกี่ยวกับอัลบั้มที่สามที่ไม่เคยมาถึง (และยังไม่คิดแม้แต่จะตั้งชื่อ!) ของโปรดิวเซอร์หนุ่มหน้าหวานที่ฮ็อตที่สุดในวงการขณะนี้ ซึ่งก็คงนึกถึงใครอื่นไม่ได้นอกจาก Calvin Harris นั่นเอง อาจเป็นเพราะช่วงนี้พี่คอลวินแกจะหมกมุ่นอยู่กับงานเบื้องหลังปั้นเพลงให้กับศิลปินดังมากหน้าหลายตา ตั้งแต่งานดังๆที่ทุกคนบนโลกนี้ต้องเคยได้ยินอย่าง Rihanna กับ We Found Love หรือจะเป็น LMFAO, Tinchy Stryder, The Ting Tings, Kylie Minogue ไปจนถึงล่าสุด ที่กำลังอยู่เบื้องหลัง Magic Hours อัลบั้มล่าสุดของพี่น้องกรรไกร Scissor Sisters ก็มาขอเข้าคิวใช้บริการของพี่เค้าด้วย นอกจากนี้ยังแอบไปเป็นดีเจเปิดตัวให้ Katy Perry ใน California Dreams Tour ร่วมทัวร์ตะลอนกับเค้าด้วย งานล้นมือแบบนี้พี่คอลวินแกจะหาเวลาส่วนตัวที่ไหนมาสร้างสรรค์งานของตัวเองได้ เลยได้แต่ออกเป็นซิงเกิ้ลกะปริบกะปรอยอย่างที่เห็น จนทุกวันนี้ก็ศิริรวมครบหนึ่งปีแล้วตั้งแต่ซิงเกิ้ลแรกอย่าง Bounce ที่ปล่อยออกมาอย่างลอยลม ไม่มีวี่แววจะมีอัลบั้มเต็มมาออกให้แฟนได้ชื่นชมให้เสนาะหูแต่อย่างใด แต่สำหรับวันนี้เราไม่ขอนั่งรอตาละห้อยอย่างเดียว ฟรุตตี้สปูนขอถือโอกาสนี้มานั่งไล่ซิงเกิ้ลทั้งหลายที่พ่อหนุ่มคนนี้ปล่อยออกมาให้ฟังกันตั้งแต่เดือนนี้ของปีที่แล้วนู้น มาดูกันว่าพี่แกมีทีเด็ดมัดใจอะไรถึงทำเอาเรานั่งรอจนอยู่หมัดได้เยี่ยงนี้



10 มิถุนายน 2011 ทั้งแม่ยกชาวเน็ตและบล็อกเกอร์ทั่วโลกก็ได้ฤกษ์กรี๊ดกร๊าดกันยกใหญ่เมื่อได้ยินแทร็กเฮาส์ผสมป็อปสุดจี๊ดที่ลือกันว่าจะเป็นซิงเกิ้ลใหม่ของหนุ่มคอลวิน ฮารริส -- เดือนต่อมาวีโว่ก็เปิดตัวเอ็มวีเพลงที่มีชื่อว่า Bounce นี้อย่างเป็นทางการบนยูทูปให้ทุกคนได้ชมกัน ดูเหมือนการกลับมาครั้งนี้ พี่คอลวินแกจะรื้อรากเก่าระเกะระกะแบบที่ได้ยินกันในงานเก่าๆ อย่าง Ready For The Weekend แล้วสร้างบรรยากาศแบบทีเล่นที่จริงด้วยซาวน์ 8 bit เหมือนเสียงเกมส์บอยกวนๆ ที่ทุกคนคุ้นเคย บวกกับการถอนตัวเองออกจากตำแหน่งนักร้องและยกให้ Kelis ที่ช่วงนั้นเพิ่งกระเถิบเข้ามาในวงการอิเลคโทรมาร้องแทน ออกมาเป็นเพลงคลับแดนซ์แปลกหู จังหวะกลางๆ ที่ไม่ทันไรก็โดดพรวดขึ้นไปที่อันดับสอง UK Dance Chart นู้น


ต่อมาในเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว หลังจากประกาศว่าจะเป็นดีเจอย่างเดียวไม่ร้องเพลงตอนทัวร์คอนเสิร์ตอีกซะดิบดี คอลวินก็ตัดสินใจขอมีเอี่ยวในการร้องเพลงตัวเองอีกครั้ง โดยในเพลง Feel So Close นี้นอกจากจะร้องเองแล้วพี่แกยังเข้าไปเล่นเอ็มวีกับเขาด้วย โดยเพลงนี้มาแปลกกับอินโทรด้วยเสียงร้องเก้ๆ กังๆ ของพี่แกควบไปกับเปียโนเชื่องช้าฟังเพลินๆ ตามด้วยเสียงกีตาร์อิเลคโทรนิกแสบแก้วหู ก่อนจะระเบิดออกเป็นจังหวะสนุกๆ ให้ได้กระโดดกัน แต่สำหรับใครที่คิดว่าแค่นี้ยังแรงไม่พอ ในแผ่นซิงเกิ้ลนี้ก็ครบมือด้วยรีมิกซ์โหดๆ จากดีเจดังๆ ออกมาวาดลวดลายกันมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Benny Benassi ที่ไว้ลายมือรีมิกซ์เบอร์หนึ่งด้วยเวอร์ชั่นทรานซ์ให้เต้นกันคลับแตก ส่วนใครที่ชอบ dubstep ต้องลองเวอร์ชั่นของ Nero ที่ทำเอาคอลวินจ๋อยไปเลย


หลังจากหายไปตั้งนานสองนาน มีนาคมปี 2012 เป๊ปซี่ก็อยากจะตอบรับกระแสฟุตบอลยูโร 2012 ด้วยการเอานักบอลทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น เมซซี่ ตอเรส หรือแฟรงค์ แลมพาร์ด มามะรุมมะตุ้มเตะบอลกันกลางคอนเสิร์ตอย่างสนุกสนานในโฆษณาเป๊ปซี่นี้ แต่เอ๊ะเดี๋ยวก่อนนี่มันเพลงใหม่ของคอลวิน ฮารริสนี่! ว่าแล้วไม่นานวีโว่เจ้าเดิมก็ปล่อยเอ็มวีแบบไม่ใช่โฆษณาของเพลงล่าสุดอย่าง Let's Go มาให้ประชาชีชาวโลกได้ดูกัน เอ็มวีก็ดูง่ายแค่รวมพลฉายภาพชีวิตสุดเหวี่ยงของคนสามคู่จากสามมุมโลกเช่น Los Angeles, Rio del Janeiro ไปจนถึงหนุ่มสาว Tokyo ก็ขอมีเอี่ยวร่วม เลทซึโกะ! กับเขาด้วย แต่แหมรู้สึกหนุ่มสาวพวกนี้จะดื่มเป๊ปซี่กันเป็นว่าเล่นเชียวนะ ...ส่วนทางด้านดนตรีคราวนี้คอลวินจับมือกับ Ne-Yo ขาแดนซ์จากอเมริกามาร่วมร้องให้ด้วย ดูเหมือนตั้งใจมาถล่มทุกคลับด้วยบีทคลับแดนซ์เต้นกระจาย เอาสิ คราวนี้ใครไม่โยกให้มันรู้ไป


เหมือนจะรู้ทันว่ามือกำลังขึ้น คอลวินก็ไม่รีรอรีบปล่อยซิงเกิ้ลอย่างไม่เป็นทางการมาอีกหนึ่งดอกเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมานี่เอง เป็นอีกหนึ่งดอกที่ทุกคนแอบหวังว่ามันจะเป็นนัดสุดท้ายก่อนอัลบั้มเต็มจะมาซักที สำหรับแทร็กนี้หลังจากแดนซ์มันส์กันไปแล้ว มาคราวนี้ในเพลง We'll Be Coming Back ก็เปลี่ยนแนวมาทำแนวโรแมนติกกันบ้าง แต่ก็ยังคงเหนียวแน่นกับแนวเฉพาะตัวไว้อย่างดี สำหรับเพลงนี้ก็พาคู่ซี้ Elliot John Gleave หรือ Example ศิลปินสายอิเล็กโทรนิกจากเกาะอังกฤษมาโชว์เสียงร้องแมนๆ ที่เข้ากันอย่างพอดิบพอดีกับเมโลดี้ของซินธ์นุ่มๆ ที่ปูพื้นไว้ ออกมาเป็นแทร็คเท่ๆ ที่จะแดนซ์ก็ได้จะฟังก็เพลินมาให้ฟังกันระหว่างรออัลบั้มเต็มครับ

อย่างไรก็ตามสำหรับอัลบั้มใหม่ดีเจหน้าหวานของเราก็ยังไม่มีการประกาศวันให้ตั้งตาคอย ได้แต่บอกไว้ลอยๆ ว่าคงจะเป็นซักช่วงในปีนี้ ถ้ามีอะไรคืบหน้าเราจะรายงานทันที เอาเป็นว่าช่วงนี้ฟังอีสามสี่เพลงที่มีไปก่อนละกัน :( 




Sunday, June 24, 2012



มิได้หลงไหลได้ปลื้มอะไรไปเป็นพิเศษ แต่จะขอทำนายว่าเพลงนี้จะต้องเป็นฮิตรับซัมเมอร์ (ของฝรั่ง) อย่างแน่นอน เพราะ Good Time เพลงใหม่ของ Owl City ศิลปินป็อปชายที่แบ๊วที่สุดของยุค ได้โคจรมาเจอกับ Carly Rae Jepsen เด็กแก่แดดเจ้าของเพลง Call Me, Maybe ที่ฮิตระเบิดอยู่ตอนนี้แหละ ไม่มีอะไรเหมาะเหม็งไปกว่าสองคนนี้อีกแล้ว ทั้งคู่มาพร้อมกับเพลงป็อปโลกสวยสดใส ฟังไปก็นึกเห็นภาพสนามหญ้าสีเขียว คุณพ่อยืนรดน้ำต้นไม้ หมาพันธุ์ลาบราดอร์วิ่งเล่น และพระอาทิตย์ยิ้มแฉ่ง แถมด้วยท่อนฮุค โว้โวโว้ ให้เด็กนักเรียนบนรถบัสคันเหลืองๆ ได้ร้องตามกันเป็นแถว ใครว่าหนูน่ารักไปก็ช่าง แต่เพลงป็อปใสๆแบบนี้จะหาได้ที่ไหนในยุคนี้อีกเล่าว่าไหม ไหนจะลงสังเวียนป็อปแล้วก็ต้องทำเพลงแบบป็อปสุดๆให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยน้องเอ้ย!

เเรงดีไม่มีตกต้องยกให้คนนี้เค้าจริงๆ สำหรับ Azealia Banks แร็พเปอร์สาวหน้าใหม่วัยเพียงยี่สิบปีคนนี้  ที่หลังจากไปโผล่ทัวร์ตามเทศกาลดนตรีต่างๆมาตั้งแต่ต้นปี ล่าสุดเพิ่งออกเพลงใหม่อย่าง Liquorice ที่แค่ซิงเกิ้ลอย่างเป็นทางการเพลงแรกก็ทำเอานิกกี้มินาจต้องหนาวๆ ร้อนๆ ซะแล้ว เพราะอาซีเลียเธอทั้งเด็กกว่า ก๋ากั่นกว่า มีระดับกว่า และที่สำคัญพี่แกแร็พหูดับตับไหม้ชนิดไม่เว้นช่องไฟไว้ให้หายใจ ของเขาขลังชนิดที่ว่าหลับตาไปก็นึกว่ารุ่นใหญ่อย่างป้าอึ่ง Missy Elliot ไม่ก็ Lil'Kim มาแร็พซะเอง สำหรับซิงเกิ้ลนี้ก็ทำออกมาได้อย่างมีสไตล์ด้วยการยำเอาดนตรีเฮาส์ยุค 90's ชวนขยับกับบีทตึ๊บๆมาชนกับไรห์มแร็พของอาซีเลียได้อย่างลงตัว แถมเอ็มวียังเก๋กว่าตรงที่ได้ Rankin ผู้กำกับสายแฟชั่นสุดเนี้ยบจากอังกฤษที่แปลงโฉมจากเด็กสลัมฮาร์เล็มนิวยอร์กเป็นคาวเกิรล์มาดดุ ดูดีทุกอย่างตั้งแต่แฟชั่นเสื้อผ้าหน้าผมไปจนถึงไส้กรอกเลยทีเดียว ...ยังไงดีสู้ไหมจ๊ะนิกกี้?

ส่วนตัว EP ที่ออกมาก็ดูเหมือนจะเป็นที่นิยมชมชอบของเหล่านักวิจารณ์เหมือนกัน โดยอีพีนี้มีนามว่า 1991 อันเป็นปีเกิดของเธอเอง เดาว่านี่อาจจะเป็นที่มาของซาวน์เฮ้าส์ย้อนยุคสุดไฉไลอันจะบอกเป็นนัยว่าชั้นเด็กไนน์ตี้นะจ๊ะ ในอีพีนอกจากจะมี Liqourice แล้วก็ยังมี 212 ซิงเกิ้ลแรกที่ออกมาให้ได้ฟังไปก่อนแล้วและเพื่อนของมันอีกสองเพลงคือ Van Vogue และไตเติ้ลแทร็ก 1991 ที่ชวนขยับแข้งขยับขาไม่แพ้กัน ฟังที่ไรเป็นอันเสพติดเปิดฟังแล้วฟังอีกทุกที จะว่าอะไรก็ดีมีแววไปได้ไกล แต่ทำไมไม่ออกอัลบั้มเต็มซักทีเพราะในนี้มันมีแค่สี่เพลงงงง!!!

  Azealia Banks - 1991 EP by Interscope Records

Monday, June 18, 2012

Fruity Review #2



Usher
Looking For Myself
8/10

ดูเหมือนคติฝรั่งที่ว่า "ไม่เสียอย่าซ่อม" จะไม่ใช่คติประจำใจของอัชเชอร์อย่างแน่นอน เพราะหลังจาก Raymond V. Raymond อัลบั้มก่อนหน้าที่ขายดิบขายดีขึ้นอันดับหนึ่ง แถมยังคว้า Grammy สาขาอัลบั้มอาร์แอนด์บียอดเยี่ยมมาการันตีตอกย้ำความสำเร็จครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดสิบเจ็ดปีในวงการดนตรีก็ดูเหมือนอัชเชอร์ไม่จำเป็นจะต้องเบนเข็ม ทำเพลงเอาใจกระแส หาโปรดิวเซอร์ตลาดๆมาเขียนเพลงอย่าง OMG กันคนละสองสามเพลงก็คงอยู่ได้ แต่เราก็ต้องหงายเงิบเมื่อได้ฟัง Climax เป็นครั้งแรก ด้วยความปลื้มอกปลิ้มใจที่เฮียแกยังไม่ลืมเสน่ห์แบบอาร์แอนด์บีแท้ๆในอัลบั้มตำนานอย่าง Confessions เอาไว้ ในขณะเดียวกันถึงแม้ว่าจะไม่มีอะไรเสีย แต่อัชเชอร์ยังคงเดินหน้าซ่อมแซมสรรหาดนตรีแนวต่างๆเข้ามาผสมโรงกับอาร์แอนด์บีต้นตำรับของเขาได้ตั้งแต่ Dubstep ไปจนถึง Motown ทั้งหมดนี้มารวมกันอยู่ในอัลบั้มใหม่ล่าสุดของเขาที่มีชื่อว่า Looking For Myself ที่เพิ่งออกวางแผงให้จับจองกันเมื่อต้นเดือนนี้ แน่นอนการก้าวไปอีกขั้นหนึ่งของอัชเชอร์ ผู้ที่ ณ เวลานี้จะเป็นรองก็แต่ไมเคิล แจ็คสันคนเดียวเท่านั้น จะต้องเป็นที่น่าจับตามองที่สุดเสมอ สำหรับศิลปินที่มาไกลได้ขนาดนี้จะทำแนวเพลงเหยียบเรือทีละกี่แคมก็ทำได้ตามอำเภอใจ แต่คำถามต่อไปคือจะหาจุดลงตัวเจอไหมเท่านั้น

Looking For Myself ยกโขยงก๊วนเพื่อนหรรษาทั้งหน้าเก่าหน้าใหม่ตั้งแต่ will.i.am, Diplo, Rico Love, Swedish House Mafia ไปจนถึง Pharrell Williams แต่ละคนล้วนเป็นโปรดิวเซอร์แถวหน้าที่นักฟังเพลงอย่างเราๆรู้จักกันดี เป็นการการันตีคุณภาพไปแล้วกว่าครึ่ง อัลบั้มเปิดด้วย Can't Stop Won't Stop เพลงป็อปแบบบอยแบ๊นบอยแบนด์ ที่ต้องบอกตรงๆว่ายังทำคะแนนได้ศูนย์แต้มสำหรับแทร็คเปิด เพราะเราฟังเพลงแบบนี้จากอัชเชอร์เป็นครั้งที่พันล้านแล้วร้ายกว่าตรงที่มันมาพร้อมกับออโต้ทูนหนวกหูด้วย ต่อด้วย Scream ที่เพิ่งตัดซิงเกิ้ลออกมาให้ได้ฟังไป สำหรับเพลงนี้เป็นอีกหนึ่งสูตรสำเร็จตามสไตล์ DJ Got Us Felling in Love ที่เตรียมตัวรอฟังได้ตามคลับแถวบ้านคุณ Climax และ What Happened To You เหมาะมากสำหรับคนที่ไม่ชอบงานกระแสหลักเพราะสองแทร็คนี้ hipster-friendly มาก ทั้งแนวทั้งเพราะ อาศัยซินธ์น้อยๆจังหว่ะกลางๆ และเนื้อเพลงเซ็กซี่ในเสียงร้องฟอลเซตโต้ของเฮียแก แค่นี้ลงตัวแล้วจริงๆ Twisted ผลงานของฟาเรล วิลเลียมส์ ดีเด่นด้วยเพอร์คัชชั่นฉิ่งฉับนำร่องไปสู่บรรยากาศดนตรีโมทาวน์ย้อนยุคตามสไตล์นายฟาเรลนั้นแหละ Lemme See อัชเชอร์กลับสู่รากดนตรีฮิปฮอปอีกครั้ง วูบแรกฟังดูคล้าย Motivation ของ Kelly Rowland แม้จะเซ็กซี่พอกันแต่ทะลึ่งตึงตังกว่าเห็นๆ และสองแทร็คที่ถูกจับตามองที่สุดคือที่แปะป้าย Swedish House Mafia สามดีเจที่ฮ็อตที่สุดปีนี้นั้นคือ Numb และ Euphoria สำหรับเพลงแรกนั้นเป็นลูกครึ่งเทคโนป็อปแนวให้กำลังใจชีวิต แต่เดี๊ยวนะพี่ หวานแหววขนาดนี้นึกภาพยัยสิงโต Leona Lewis ร้องยังจะเข้าท่ากว่าอีกนะ ส่วน Euphoria นั้นคล้าย Numb แตกต่างกันตรงที่หนักกว่า โหดกว่า ไม่มีการประณีประนอมใดๆทั้งสิ้น ตัวเพลงเล่าเรื่องแนวโพรเกรสซีฟค่อยๆเป็นค่อยๆไป ก่อนจะตลบหลังด้วยท่อนฮุค เหมือนถูกพายุคลื่นเสียงโหมพัดถล่มอย่างหนัก ก่อนจะเว้นจังหวะไว้หายใจเป็นระลอกแล้วย้ำด้วยท่อนเดิมที่หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ เป็นการปิดอัลบั้มอย่างสมเกียรติ์ เป็นสิบสี่แทร็คที่ครบรสชาติความมันแบบเก็บครบทุกเม็ด

ถึงเวลาตอบคำถามว่าในอัลบั้มนี้อัชเชอร์สามารถหาจุดลงตัวเจอไหม? ผมเชื่อว่าคำตอบคงเป็นเอกฉันท์ถ้าหากตั้งใจฟังอัลบั้มนี้ครบสิบสี่เพลง จุดแข็งที่ชัดเจนที่สุดก็คือเสียงร้องเพราะไม่ว่าจะไปคว้าโปรดิวเซอร์ปราบเซียนแค่ไหนก็ไม่มีหลุดปล่อยให้อย่างอื่นเด่นกว่าได้เลย เมื่อไหร่เราได้ยินเสียงแบบนี้จะรู้ทันทีว่าเนี่ยแหละมันคืออัชเชอร์เท่านั้น อีกอย่างเราจะได้เห็นการเดินทางหาตัวเองด้วยการก้าวเข้าไปในพรมแดนของดนตรีต่างๆอย่างละนิดละหน่อยในขณะที่ยังคงทรงตัวอยู่บนมาตรฐานสูงเสียดฟ้าของเขาได้ เขาว่าอัชเชอร์ลูกก็สองแล้ว อายุก็ปาไปเท่านี้ตั้งชื่ออัลบั้มแบบนี้จะดีเหรอ Looking For Myself ในความคิดของผมมันไม่ใช่การหาตัวเอง แต่คือการไม่ย่ำอยู่กับที่ ลองของใหม่ และก้าวต่อไปเสมอ ซึ่งนั้นเป็นคงเป็นหลักพื้นฐานสำคัญสำหรับคนทำงานสร้างสรรค์ไม่ว่าจะแขนงไหน ท้ายที่สุดสำหรับนักฟังเพลงอย่างเราๆ Looking For Myself ก็เป็นอัลบั้มอาร์แอนด์บีสนุกๆที่ฟังง่าย หลากหลาย ขายได้ และก็ยังคงยึดเหนี่ยวกับเอกลักษณ์ส่วนตัวไว้ได้ดี



Sunday, June 17, 2012

ฟังอะไรกัน?

ถ้าเปรียบดนตรีเป็นอาหาร ช่วงเดือนกว่าที่หายหน้าหายตาไปคงเป็นการกินเพื่ออยู่ซะมากกว่า ร้ายกว่าตรงที่เป็นอาหารฟาสต์ฟู้ดขาดแคลนคุณค่าทางโภชนาการไปซะส่วนใหญ่ เพราะด้วยความยุ่งจึงต้องอาศัยฟังเพลงแบบสุกเอาเผากินตาม 8tracks ไปวันๆเลยรู้สึกเหมือนหลุดออกจากวงการดนตรีไปพักใหญ่ เลิกแก้ตัวดีกว่า เพราะไม่ว่ายังไงฟรุตตี้สปูนก็จะยังตามราวีคุณไม่ไปไหนโดยเฉพาะวันนี้วันดีได้กลับมาอัพเดตดนตรีใหม่ๆอีกครั้งในรอบหลายเดือนก็เลยอยากขอโอกาสนี้มาแก้ตัวเนียนๆด้วยการเอาแทร็คและอัลบั้มเล็กๆ น้อยๆ ที่คอยมาวนเวียนอยู่ในชีวิตตอนนี้มาเล่าให้ฟังแล้วกัน


Kylie Minogue - Timebomb - พูดถึงแทร็คนี้ตอนนี้ทุกคนคงได้ฟังกันตามคลื่นวิทยุให้หายคิดถึงไปนานแล้ว สำหรับซิงเกิ้ลใหม่ของน้าไข่นี้เป็นการหยั่งเสียงทายกระแสสำหรับอัลบั้มรวมฮิตชุดที่แปดล้านของน้าที่เพิ่งวางแผงไปไม่นานมานี้ กลับมาคราวนี้ก็อยู่ในวงการไปยี่สิบห้าปี ปาเข้าไปสี่สิบสี่กะรัตซะแล้วซิ แต่ Sex Appeal ยังคงพุ่งพรวดขึ้นเรื่อยๆ ไม่แพ้เพลงระเบิดเวลานี้เองที่ลดความหวือหวาแพรวพราวสาวแตก เปลี่ยนไปจับเพลงจังหวะกลางๆพร้อมเสียงกีตาร์ไฟฟ้าและแจ็กเก็ตหนังให้แมนขึ้นเล็กน้อย ราวกับเป็นการเซ็นอนุมัติอย่างเป็นทางการจากน้าให้เปิดเพลงนี้ในที่อื่นนอกจากคลับเกย์ได้ โดยรวมแล้วก็เป็นเพลงที่ติดหูมากเลยทีเดียว แม้บางครั้งเพลงจะจบเร็วเกินไปแต่ก็ไม่เป็นไรจะได้เปิดฟังได้ทีละหลายๆครั้ง ยังไงก็จะรอรวมฮิตนะ รักน้าเสมอ



Will Young - I Just Want a Lover - คำพูดมิอาจบรรยายความปลื้มปิติที่ได้เห็น I Just Want a Lover เพลงเด็ดจากอัลบั้มสุดโปรดของผมอย่าง Echoesได้เป็นตัวเป็นตนกับเขาซักที ส่วนเอ็มวีก็สุดจะบรรยายไม่แพ้กัน กับความรู้สึกก้ำกึ่งไม่รู้ว่าอยากจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เพราะคราวนี้หนุ่มวิลรับบทเป็นเสมียนซูเปอร์มาเก็ตผู้โดดเดี่ยวที่ถูกความเหงาครอบงำให้หน้ามืดตามัวไปคว้ารถเข็นมามโนว่าเป็นศรีภรรยาเสียนี่! อย่ากระนั้นเลยชีวิตไม่มีเวลาให้รีรอ ว่าแล้วพี่แกก็ออกลีลาแทงโก้กับรถเข็นอย่างเผ็ดร้อนในดนตรี Nu-Disco เก๋ไก๋ เรื่องความคิดสร้างสรรค์ก็ยังคงไอเดียกระฉูดไม่แพ้เพลงอื่นๆของเขาในยุคนี้ไม่ว่าจะเป็น Losing Myself หรือ Jealousy เลย ... ไม่ผิดใช่ไหมที่จะเทียบว่าครั้งหนึ่งวิล ยังผู้โด่งดังจากรายการ Pop Idol บัดนี้มาเป็นพนักงาน Tesco นี่มันช่างใกล้เคียงสถานะทางชื่อเสียงบางอย่างบนโลกดนตรีของหนุ่มคนนี้อย่างบอกไม่ถูก ... UK Official Charts หนอเมินกันได้ลงคอ มีตาหามีแววไม่!  


Melody Thornton - Bulletproof - โปรโมทมาได้ซักพักแล้วสำหรับอัลบั้มเดี่ยวกับค่ายเล็กๆของเมโลดี้ ธอร์นตัน อดีตสมาชิกวง The Pussycat Dolls ที่ล่าสุดได้เปลี่ยน Bulletproof เพลงซินธ์ป็อปสุดจี๊ดของ La Roux หัวหลิมเมื่อปี 2009 ให้กลายเป็นบัลลาดเชื่องช้าว่าหัวใจกันกระสุนนี้จะไม่ยอมให้เธอมาทำให้อารมณ์เสียอีก ข้อแรกคือเป็นการพลิกโฉมหน้าเพลงต้นฉบับแบบจำไม่ได้ แต่ข้อสำคัญมันคือการพลิกภาพลักษณ์เธอไปอย่างกู่ไม่กลับ ข้อแนะนำเดียวสำหรับคนที่ฟังอัลบั้ม P.O.Y.B.L หรือ Piss on your Black List ของสาวเมโลดี้คือต้องลืมผู้หญิงผิวน้ำผึ้งเสียงแหลมตัวเล็กๆคนนั้นให้หมด เพราะเธอย้ำนักย้ำหนาว่าครั้งนี้เธออยากจะเป็นแบบไอดอล Tina Turner ส่วนเพลงในอัลบั้มก็ไม่มีการทิ้งคราบเพลงป็อปสไตล์ตุ๊กตาจิ๋มแมวไว้ดูต่างหน้า เพราะเต็มไปด้วยซาวน์แบบคนดำ อึมครึมและดนตรีทั้งฟังก์ทั้งโซลจัดหนักจัดเต็มทั้งเสียงทั้งซาวน์ งานนี้ก็แล้วแต่เราว่าจะเลือกแบบไหน เก่าหรือใหม่ แต่ที่แน่ๆเสียงของเมโลดี้มีดีเป็นไหนๆ ไปเต้นแรงเต้นกาให้ยัยนิโคลมันบดบังรัศมีอยู่ได้ตั้งนานสองนาน ... นั่นไง ว่าจะไม่กัดนิโคลแล้วนะ


Keane - Strangeland (Album) - น่าตกใจเมื่อมานั่งคิดดูว่าผ่านมาแล้วตั้งสี่ปีตั้งแต่อัลบั้มชุดล่าสุดของ Keane ถ้าไม่นับ EP อย่าง Night Train เมื่อสองปีก่อนก็ถือว่านานทีเดียว แม้ว่าจะไม่ได้มีเพลงดังฮ็อตฮิตติดชาร์ตเหมือนเมื่อก่อนแต่กลับรู้สึกว่า Keane ไม่ได้หายไปจากหน้าปัดวิทยุมานานซักเท่าไหร่ จะพูดไปก็กลัวจะหาว่าผู้อ่านที่น่ารักของผมไปอยู่ในถ้ำที่ไหนมา แต่ Strangeland แดนสนธยานี้เป็นอัลบั้มใหม่ของสี่หนุ่มที่เพิ่งออกมาต้นเดือนก่อน และปล่อยมาสองซิงเกิ้ลแรกอย่าง Silenced by the Night และ Disconnected มาให้ฟังกันไปแล้ว ครั้งนี้ดูเหมือนคีนจะเริ่มหาจุดลงตัวของตัวเองเจอแล้วหลังจากไปผจญกับการทดลองทำดนตรีอิเลคโทรป็อปกับ Stuart Price ในอัลบั้ม Perfect Symmetry หรือไปหาร้องคู่กับแร๊ปเปอร์หน้าไหนก็ไม่เวิร์คซักที พี่ทอม แชปลินก็มาตระหนักได้ว่าการให้ความสำคัญกับการแต่งเพลงด้วยเปียโนเรียบง่ายบวกกับน้ำเสียงและเนื้อร้องที่อบอุ่นเหมือนมีพี่ชายที่แสนดีมาร้องเพลงให้ฟังแบบในอัลบั้ม Hopes and Fears เนี้ยแหละลงตัวที่สุด

แถมส่งท้ายให้นิดหน่อยด้วยงานรีมิกซ์แทร็ค Spectrum ของฟลอเรนซ์และเครื่องจักร ฝีมือดีเจหนุ่ม Calvin Harris คนโปรดของวงการ จากเพลงแม่มดเคลติกกลายเป็นคลับแทร็กสนุกๆ ตอแหลกว่าเดิมเป็นไหนๆ

About Me

My photo
my name is mish my favorite color is turquoise when i grow up I want to be an architect