สำหรับ Rebecca Ferguson หลายคนคงรู้จักกันไปบ้างแล้วจากเวที X Factor คุณแม่ยังเด็ก (มาก) เจ้าของเสียงเอกลักษณ์น้องๆ Macy Grey (และสำเนียงแปร่งๆ แบบลิเวอร์พูล) เจ้าของเพลงอย่าง Nothing's Real But Love, Glitters and Gold ล่าสุดปล่อยซิงเกิ้ลใหม่ Teach Me How To Be Loved อีกหนึ่งดอกจากอัลบั้ม Heaven ที่ออกมาตั้งแต่ต้นปีที่แล้วมาเป็นที่เรียบร้อย เรียกว่าครบหนึ่งปีพอดีที่ใครหลายคน ร่วมถึงเจ้าของบล็อกด้วยได้ฟังอัลบั้ม Heaven นี้เป็นครั้งแรก และหลงรักเพลงนี้อย่างหัวปักหัวปำ แถม Teach Me How To Be Loved ยังเป็นเพลงโปรดที่สุดในอัลบั้มนี้อีกด้วยคงเดาออกว่าดีใจกระโดดโลดเต้นขนาดไหนที่มันได้ตัดเป็นซิงเกิ้ลเป็นฝั่งเป็นฝากับเขาซักที
เมื่อใดที่พูดถึงงานของอลิเชีย คียส์ เมื่อนั้นภาพผู้หญิงผิวผสมวัยยี่สิบต้นๆ กำลังเล่นเพลง If I Ain't Got You กับเปียโนตัวสวยบนดาดฟ้าตึกในย่านฮาร์เล็มในนิวยอร์กที่ฝังอยู่ในมโนคงออกมาลอยกันให้ขวักไขว่ เพราะนั่นคงเป็นภาพจำภาพแรกที่ใครๆ ก็นึกถึงเมื่อพูดถึง อลิเชีย คีส์... นักร้องหญิงหน้าตาสวย เพลงช้า เปียโน โซลฟูล ความหมายดีน้ำตาตก... เพราะหลังจาก 11 ปีหลังจากอัลบั้มแจ้งเกิด Songs in the Minor เมื่อปี 2001 ที่ฟาดรางวัลแกรมมี่ไปห้ารางวัล ต่อด้วย The Diary of Alicia Keys ในปีต่อมา ที่เซ็ทมาตรฐานไว้ซะสูงลิ่ว แต่ดูเหมือนการพยายามลบภาพจำของใครต่อใครคงไม่ใช่เป้าหมายหลักของผู้หญิงคนนี้ซักเท่าไหร่เพราะดูเหมือนยิ่งก้าวเดินต่อไปเท่าไหร่ก็ยิ่งค้นพบตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจาก The Element of Freedom เมื่อปี 2009 เธอหายหน้าไปหยิบจับอย่างอื่นมากมายตั้งแต่เป็นผู้กำกับละครเวที เป็นโปรดิวเซอร์เบื้องหลัง แต่งเพลงให้คนอื่น ร่วมไปถึงไปออกรองเท้าให้ Reebok ก็เอา แต่ประสบการณ์อะไรคงไม่สู้การมาถึงของน้องหนู Egypt วัยหนึ่งขวบ ที่เข้ามาสร้างความเปลี่ยนแปลงในการแต่งเพลงให้กับ Girl on Fire อัลบั้มล่าสุดชิ้นนี้ได้เป็นกอง
สำหรับ Girl On Fire อัลบั้มเต็มชิ้นที่ 5 เธอดูเป็นผู้หญิงคิดบวก อารมณ์ดี๊ดี ตั้งแต่เพลงแรกยันเพลงสุดท้ายคล้ายกับอาการอินเลิฟในอัลบั้ม 4 ของบียอนเซ่ที่ปริ่มไปด้วยเพลงรักหวานชื่นรื่นรมณ์ตลบอบอวลไปหมด ต่างกันที่มันคืออารมณ์มองโลกในแง่ดีราวกับแม่ชีเทเรซ่า ตั้งแต่เปียโนในอินโทร De Novo Adagio ที่ใส่มาเป็นธรรมเนียมไว้ทุกอัลบั้มเพื่อไม่ให้ลืมว่าหล่อนถูกเทรนมาแบบนักดนตรีคลาสสิกนะจ๊ะ, Brand New Me คำประกาศอิสรภาพของสตรีผู้ลุกขึ้นยืนด้วยลำแข้งของตัวเองเป็นครั้งแรก ตรงไปตรงมาและไพเราะทั้งเนื้อหาและทำนอง, When It's All Over ฝึมือโปรดิวซ์ของ Jamie xx แห่งวง The xx ผสานเพอร์คัสชั่นแจ๊ซชนกับซินธิไซเซอร์ลอยลมมาแต่ไกล กับเนื้อเพลงปลงชีวิตแบบ "When they lay me down, Put my soul to rest, When they ask me how I spent my life, At least I gotta love ya" ที่พอมาถึงเสียงหัดพูดของน้องอียิปต์ในตอนท้ายถึงได้ร้องอ๋อว่าเธอหมายถึงใคร เป็นหนึ่งเพลงที่ทำแต้มนำโด่งให้กับอัลบั้มนี้, New Day บีทฮิปฮอปหนักแน่นขึ้นอีกนิดกับเพลงเดียวที่คุณสามี Swizz Beatz แอบเหน็บไว้ให้ เก็บไว้เป็นเพลงฟีลกู๊ดเอาไว้ฟังตอนรถติดได้อย่างดี, Girl on Fire ไตเติ้ลแทร็คกับอีกหนึ่งการปรากฎตัวที่ไม่จำเป็นของ Nicki Minaj, Tears Always Win ร่วมโปรดิวซ์และร่วมแต่งโดย Bruno Mars ตัดช่องน้อยแต่พอด้วยเปียโนกับจังหวะกลางๆ คอรัสฟังง่ายๆ ที่ไม่ค่อยมีอะไรเด่นเท่าไหร่นอกจากว่ามันโปรดิืวซ์โดยหนุ่มมารส์เนี่ยแหละ (หล่อนเข้าใจเลือกเพื่อนร่วมงานนะเนี่ย แต่ละคน Emeli Sandé งี้ Bruno Mars งี้ โอ้ไหนจะ Frank Ocean!), Not Even King ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่กับคอนเซปเงินทองของนอกกายแบบ If I Ain't Got You อยู่ แต่คราวนี้ขอเดี่ยวๆ กับกีตาร์และนักร้องเท่านั้น และสุดท้ายเพลงนางเอกที่เจ้าของบล็อกขอดันสุดฤทธิ์คือ Fire We Make ที่กลับไปจับอาร์แอนด์บี slow jam แบบ R.Kelly ในยุค 90s เนื้อร้องเนิบๆถูกแบ่งที่ให้กับเสียง falsetto ของหนุ่ม Maxwell ดวลกันครึ่งต่อครึ่ง เป็นอาร์แอนด์บีร้อนแรง หลับตาเห็นภาพอ่างอาบน้ำหรูบนเพนธ์เฮ้าส์ ใต้แสงเทียนสลัว กับคนรัก ที่แอบจำมาจากหนังฮอลลีวู้ด ระดับอุณหภูมิสูงใกล้เคียงกับ Dragon's Day จากอัลบั้มเก่า