Ora เปิดตัวด้วย Facemelt แทร็คอินโทรหวือหวาเดาไม่ยากว่าเป็นผลงานของนาย Diplo เป็น 1.30 นาทีที่อัดแน่นไปด้วยความดิบ กร่าง และสร้างความเข้าใจผิดให้กับแทร็คอื่นๆที่ตามหลัง Roc The Life ป็อปร็อคฟังง่ายกับท่อนฮุค "ไล ไล ไล" ฟังดูติดหู แต่พอหนักข้อเข้าก็เริ่มอิ่มเอียนชวนอ้วกอยู่ไม่น้อย ต่อด้วย How We Do (Party) เพลงปาร์ตี้ของสาววัยละอ่อนก่อนเข้าผับ น่ารักน่าเอ็นดูด้วยท่อนฮุคที่ถูกออกแบบมาให้แหกปากร้องพร้อมกันหลายๆคนได้สบาย เดินตามรอยเท้า Last Friday Night ไปติดๆ R.I.P ซิงเกิ้ลเปิดตัวในอเมริกา ที่จับเอากีตาร์ไฟฟ้ามาชนกับจังหวะกึ่ง Dubstep สไตล์ Chase and Status ออกมาได้หน่วง เหนื่อย ไม่ไปไหนซักที แต่ได้คะแนนดีตรงที่่มีเนื้อร้องเท่ๆ จึงรอดตัวไปอย่างหวุดหวิด
แต่ก็ใช่ว่าจะลุ่มๆ ดอนๆ เสมอไป บางเพลงที่ชนะใสๆ ก็มีมาให้เห็นเช่น Radioactivity จากปลายปากกาของสาว Sia Furler ที่เปิดด้วยอินโทรแว่วเสียง Jennifer Hudson มาแต่ไกล ปูพื้นด้วยอิเล็คโทรป็อปที่เหลือช่องไว้ให้เสียงร้องเพราะๆ ของริต้าอย่างพอดี Hot Right Now งาน Drum & Bass มันส์ๆจาก DJ Fresh ที่ได้สาวริต้ามาร้องให้จึงได้ผลบุญมาใส่ไว้ในอัลบั้ม ขอแนะนำว่าอย่าเปิดฟังขณะขับรถเพราะอาจมันส์จัดเหยียบเต็มคันเร่งจมไม่รู้ตัว
หลังจากเปิดตัวด้วยเมืองจำลองด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ และเอา London Eye มาตีเกราะเคาะเพอร์คัชชั่นแบบงงๆ แล้ว ก็ถึงตาของสาว Emily Sande เจ้าของอันดับหนึ่ง UK Chart ที่ป่านนี้คงน้อยใจแย่เพราะหลายคนติงว่าใยจึงไม่ใช่ Adele ล่ะนี่? อย่างไรก็ตาม เธอออกมาร้องเพลงที่คัดมาอย่างดีจากอัลบั้ม Our Version of Heavens ชื่อว่า Read All About It ที่เรียกน้ำตาของนักกีฬาที่ผ่านประสบการณ์เหนื่อยยากสุดประทับใจได้อย่างไม่มีที่ติ
Madness/Pet Shop Boys/One Direction
เมื่อเพลงชาติอังกฤษจบลงก็ถึงเวลา Street Party กับแก๊งค์กีฬาสีสุดน่ารัก รถราออกมาวิ่งว่อนสนามมิได้หยุดหย่อน และสามกลุ่มศิลปินสามรุ่น ที่หนึ่งในนั้นคือ Madness วงที่อยู่คู่อังกฤษมาไม่แพ้เพลงชาติ God Save the Queen เลยทีเดียว และ Pet Shop Boys เป็นตัวแทนวัยทำงานมากับเพลง West End Girls ซินธ์ป็อปรุ่นบุกเบิกใครไม่เคยได้ยินขอให้ฟังซะ และที่ขาดไม่ได้คือคู่ใจวัยติ่งอย่าง 1D ที่พกพาความน่ารักน่าชังมาอย่างเต็มเปี่ยม และ ... และ... และก็แค่นั้น คือไม่ได้มีอะไรน่าสนใจเลยจริงๆ
"Imagine" และ George Michael
ต่อมาหลังจากการปรากฎตัวของคุณปู่ Ray Davies แห่ง The Kinks เสียงดีไม่มีแก่ลงเลย และกายกรรมเปียงยางก็อตทาเล้น และอีกหลายต่อหลายทรีบิวต์ให้แก่วงสี่เต่าทองเดอะบีทเทิ้ล ก็มาถึงอีกหนึ่งไฮไลท์ของงานที่หลายคนไม่ได้คาดคิดว่าจะได้ดู นั่นคือ Footage ส่วนตัวที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อนของ John Lennon ร้องเพลงสันติภาพสุดคลาสสิกอย่าง Imagine ที่ฉายขึ้นจอขนาดยักษ์ เคียงคู่ไปกับวงประสานเสียงเด็กออทิสติก พร้อมกับต่อตัวต่อเป็นหน้าเลนนอนราวกับศาสดาแห่งสันติภาพมาปรากฎให้เห็นเบื้องหน้า เรียกว่าตีโจทย์แตกชนะไปเลย ต่อด้วย George Michael ที่โชว์เก๋าด้วยการแสดงด้วยเวทีเปล่าไม่มีลูกเล่นใดเลย คือออกมาร้องเพลงฮิต Freedom แบบหนึ่งต่อแปดหมื่น คล้ายจะสื่อว่า มีสันติภาพแล้วต้องมีเสรีภาพด้วยนะ
เรือผีของ Annie Lennox
โชว์เริ่มสนุกขึ้นเรื่อยๆ เมื่อสนามทั้งสนามถูกย้อมให้เป็นสีแดงสด เหล่าผีพรายออกร่ายรำ เสียงสวดระงม ทำเอาเด็กๆทั่วโลกต้องรีบหนีเข้าตู้เสื้อผ้า และซากเรือผีก็พา Annie Lennox (ที่ดังมากช่วงกลางยุค 90s) มาปรากฎต่อหน้าสาธารณะชนอีกครั้งในวัยเกือบหกสิบแล้ว งานนี้เธอเกาะหัวเรือร้องเพลง Little Bird ได้ดีเหมือนสมัยก่อนไม่มีผิดเพี้ยน เป็นการจับธีมผีได้แบบคาดไม่ถึง เอ๊ะ หรือป้าจะบอกไปนัยว่าป้าหายไปแต่ป้ายังไม่ตายนะจ๊ะ ? และที่แดงแรงฤทธิ์ไม่แพ้กันคือสีเสื้อและสีผมของหนุ่ม Ed Sheeran เจ้าของเพลง Lego House ที่คราวนี้ออกมาคัฟเวอร์ Wish You Were Here ของ Pink Floyd ออกมาเอาใจเด็กบริทร็อคสายอัลเตอร์ระหว่างขั้นช่วงต่อไป
Fat Boy Slim/ Jessie J/ Tinie Tempah/ Taio Cruz
ปาร์ตี้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อปลาหมึกยักษ์ของ Fat Boy Slim เปลี่ยนรถฮิปปี้ของ Russell Brand ให้กลายเป็นบูธดีเจและระเบิดความมันส์อย่างต่อเนื่องกับเพลงฮิตอย่าง Right Here Right Now และ Funk Soul Brother สมกับเป็นดีเจคู่บุญเมืองลอนดอนมาตั้งนมนาน ต่อด้วย Jessie J ในลุคที่พัฒนาจากม้าอรนภา เป็นอาภาพร นครสวรรค์ไปแล้ว กับเพลง Price Tag บนรถ Rolls Royce สีครีมช่าง Irony ดีเหลือเกิน คือหล่อนร้องเพลงว่า Not about the money บนรถราคาสี่แสนปอนด์... ผนึกกำลังกับอีกสองหนุ่ม Tinie Tempah และ Taio Cruz กับเพลงฮิตของตัวเองพอให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ได้อุ่นใจ ว่าเออได้เห็นคนรุ่นตัวเองออกทีวีบ้าง
Spice Girls
และแล้วก็ถึงช่วงที่ทุกคนตั้งตารอคอย นั่นคือ การกลับมาของเกิรล์กรุ๊ปที่ทำยอดขายมากที่สุดในโลก และตำนานเพลงป็อปบับเบิ้ลกัมแห่งอังกฤษ นั้นคือ Spice Girls !! ด้วยทีมงานอาจจะกลัวว่าชัดเจนเกินไปจึงมีการสับขาหลอกด้วยส่งรถแท็กซี่สีดำหน้าตาจิ้มลิ้มมาวิ่งวนอยู่สิบกว่าคันไม่ให้เดาออกว่าคันไหนบรรจุทั้งห้านางไว้อยู่ จนกระทั่งอินโทร Wannabe ดังขึ้น เป็นสัญญาณในการเปิดไฟเผยธาตุแท้ของรถแต่ละคนออกมาเป็นสีต่างๆตามสัญลักษณ์ของสมาชิกวง ทั้งห้านางปรากฎตัวในชุดที่ถูกคัดสรรมาให้เข้ากับบุคลิกอย่างดี แต่ที่ชนะขาดคือชุดสีแดงของ Geri Halliwell ที่ยังรักษาคอนเซปเอาธงมาผูกเป็นโบว์ซ่อนไว้ข้างหลังได้อย่างน่ารักน่าตี ในขณะที่ Victoria Beckham ก็ไม่สนใจจะร่วมงานกับใครทั้งสิ้น คืออยากจะยืนคนเดียวร้องคนเดียวจิกหน้าจิกตาอยู่คนเดียวก็เอา Wannabe ต่อเมดเลย์เป็น Spice Up Your Life เพลงที่หลายคนเดากันว่าจะนำมาแสดง ห้าสาวก้าวขึ้นหลังคารถแล่นโร่ไปรอบเวทีอย่างน่าหวาดเสียว ที่น่าชื่นชมคือที่สแตนด้านบนมีการเก็บรายละเอียด Reference ด้วยการทำสีสแตนให้เหมือนสีตัวหนังสือในหน้าปกอัลบั้ม Spice Up Your Life ด้วย เอากับเค้าซิ!
หลังจากห้าสาวออกจากสนามไป ก็ต่อด้วย Oasis ที่งานนี้มาแค่พี่ Liam Gallegher ออกมาร้องเพลง Wonderwall อีกหนึ่งวงที่หลายคนคิดถึงจึงไม่แปลกที่เกิดการประสานเสียงกันทั้งสนามอย่างที่เห็น ในขณะที่ Muse มาในเพลงธีมโอลิมปิกอย่าง Survival ที่หนุ่ม Matthew Bellamy ทั้งอัดทั้งตะเบงจนเกินงาม เสียทีถูกวงรุ่นพี่กลบรัศมีไปเห็นๆ แต่ที่ "เจ๊ง" กว่าคือการบังอาจให้นังเจ็ดสี Jessie J มาร้องหนึ่งในเพลงที่ดังที่สุดในโลกอย่าง We Will Rock You ของ Queen แทน Freddy Mercury ผู้ล่วงลับและผลออกมาตามความคาดหมายคือเสียงหวีดแหลม และลูกเล่นแพรวพราวของเธอทำเอาจอดสนิทเสียมนต์ขลังไปอย่างน่าเสียดาย
หลังจากการกล่าวสุนทรพจน์ของประธานโอลิมปิกและเทศมนตรีเมืองริโอ เดล จาเนโร และประเพณีการให้เจ้าภาพในอีกสี่ปีข้างหน้ามาโชว์เรียกน้ำย่อยและแสดงโลโก้โอลิมปิกครั้งต่อไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ต่อด้วย Take That ในเพลง Rule the World ไร้เงาของ Robbie Williams หายตัวไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ และโชว์ดับคบเพลิงของนักบัลเลต์สาว เริงระบำเป็นนกไฟมอดไหม้แล้วเกิดไหม้ทุกๆสี่ปี สุดท้ายและท้ายสุดจริงๆคือ The Who ที่หลายคนคิดว่าทำไมเพิ่งมาเอาป่านนี้ ลุงๆ The Who ยังอยู่กับครบองค์และแสดงสดเพลง Baba O'Riley และ My Gerenation ถึงตรงนั้นถ้าใครยังไม่หลับก็ขอแสดงความยินดีเพราะคุณสามารถถ่างตาดูพิธีปิดโอลิมปิกเกมส์ได้อย่างสมบูรณ์เป็นเวลาสามชั่วโมงครึ่งไปเต็มๆ
เห็นรถสิบล้อแถวพระประแดงมาประชุมกันมากมายขนาดนี้ หาใช่ม็อบราคาข้าวแต่อย่างใด แต่มันคือเอ็มวี Settle Down เพลงใหม่ต้อนรับการกลับมาหลังจากหายหน้าไปตั้งสิบปีของ No Doubt ที่เพิ่งพรีเมียร์ไปทาง E! Entertainment เมื่อคืนวานนี้เอง การกลับมาครั้งนี้ทำให้ No Doubt กลายเป็นอีกวงหนึ่งในไม่กี่วงจากยุค 90s ที่อยู่ยั้งยืนยงมาได้ถึงยี่สิบปี! และยังเป็นหนึ่งในวงที่มีแฟนเพลงมากที่สุดวงหนึ่งอีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่าการกลับมาครั้งนี้ไม่ใช่แค่การสิ้นสุดการรอคอยแต่ยังพ่วงมาด้วยความคาดหวังสูงเสียดฟ้าของบรรดาแฟนเพลงอีกด้วย
Settle Down เลือกเปิดตัวด้วยอินโทรนวยนาดคลอเสียง นองแนงๆ เหมือนจะดูหนังตะลุงในบรรยากาศบอลลีวู้ดเล็กๆ สาวเกวนเธอก็ขยันสรรหาของแขกๆ จีนๆ ที่เธอรักมาผสมโรงได้ไม่ขาด จากนั้นก็เปิดจังหวะกึ่งเร็กเก้ กึ่งป็อปสนุกสนาน ทำเอางานเก่าเมื่อชาติที่แล้วอย่าง Hey Baby ผุดออกมาอย่างรวดเร็ว และท่อนคอรัส get get get in line and settle down ที่ได้ยินครั้งเดียวก็ก้องอยู่ในหัวเป็นชั่วโมง ถือว่าทำสำเร็จในฐานะเพลงป็อปเพลงหนึ่งที่ต้องการจับผู้ฟังให้อยู่หมัด จึงดูมีศักดิ์ศรีสมน้ำสมเนื้อกับการเป็นซิงเกิ้ลเปิดอัลบั้ม แต่ซาวน์แปลกใหม่ที่เลือกมาสร้างสีสันนั้นยังไม่กลืนเข้ากับเนื้อเดิมของ No Doubt ได้แนบเนียนนัก แลจะดูจับแพะชนแกะกันอลหม่าน ส่วนเอ็มวีก็สีสันฉูดฉาดพอกัน ด้วยฝีมือผู้กำกับ Sophie Muller ที่จับเอารถบรรทุกประจำตัวของทั้งสี่นางมาพบกัน นัยว่าเป็นการกลับมาเจอกันอีกครั้งพร้อมขนความมันส์มาเต็มกระบะ แม้หนุ่มๆ อาจดูชราภาพลงไปตามการเวลา มีแต่เจ๊เกวนเนี่ยแหละที่เอาแต่สาวขึ้นๆ เป็นที่พิศวงของผู้พบเห็น... จนกระทั่งทั้งสี่ขนพรรคพวกมาเต้นแร้งเต้นกาจนหนำใจก็ปล่อย outro นวยนาดออกไปอย่างสวยงาม
ถ้าพูดกันตามตรง คิดว่าอนาคตซิงเกิ้ลยังลุ่มๆ ดอนๆ เพราะแม้จะฟังออกป็อปแต่ก็ไม่ใช่ประเภทที่วัยรุ่นชาวบ้านร้านตลาดเขาฟังกัน ด้วยพลังของเกวนคนเดียวก็ยังยากจะสู้กับคนอื่นในคลื่นวิทยุได้ (แต่ยังมีใครคิดจะหาเพลงดีๆ ฟังตามวิทยุอีกเหรอ) และสำหรับบรรดาแฟนเพลงก็ไม่ถึงขั้นปลาบปลื้มปาดน้ำตากับซิงเกิ้ลนี้ เพราะมันคือการเดินหน้าต่อหลังจากอัลบั้ม Rock Steady ไม่ใช่การกลับไปทำสกาพังค์ประเภทล้างผลาญเหมือน Tragic Kingdom ที่ใฝ่ฝันหา แต่โดยส่วนตัวแล้ว Settle Down เป็นซิงเกิ้ลสนุกๆ ที่สมน้ำสมเนื้อกับการเปิดตัวอัลบั้มใหม่และถูกใจกับการแสดงออกพันธุ์บ้าดีเดือดแต่ดูมีความเป็นผู้ใหญ่ที่สุขุมนุ่มลึกขึ้น
วันนี้ยอมสละละทิ้งทุกอย่างมานั่งรอดูพรีเมียร์ Turn Up The Radio ของเจ๊แม่ด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ ด้วยหวังว่าจะไม่ต้องด่ากราดเหมือนตอนรีวิวอัลบั้มครั้งก่อน เพราะเมื่อตอนได้ข่าวว่าเธอจะแวะถ่ายเอ็มวีระหว่างทัวร์ก็หวั่นจะออกมาสุกเอาเผากินแบบเอ็มวี Miles Away อีกรึเปล่า แต่แล้วก็ราวกับความฝันก็เป็นจริงเมื่อได้เห็นชีวิตชีวาของอีป้าฆ่าไม่ตายนางนี้กลับมาอีกครั้งพร้อมกับความไฉไลสนุกสนานในแบบฉบับที่เราคุ้นเคย
เอ็มวีเปิดฉากด้วยชีวิตรันทดของคุณเจ๊แม่ที่พะอืดพะอมกับชื่อเสียงและกองทัพปาปารัสซี่ ผลพวงของการเป็นเดอะควีนประหนึ่่งอีกสิบห้านาทีจะขาดใจตาย จึงตัดสินใจสั่งพลขับคู่ใจพารถคาดิลแลคเปิดประทุนคันโก้ออกไป Take a ride พาไปปล่อยแก่ซักที ป้าจึงยอมลงทุนหน้าดำกรำแดดยามบ่ายเมืองฟลอเรนซ์ เพื่อไปออกเริงร่าเขย่าเต้าอย่างสุดเหวี่ยงกับแก๊งค์ชายไม่จริงหญิงแท้ที่เก็บเล็กผสมน้อยเรื่อยมาตามทางและกองทัพแฟนเพลงที่ยอมวิ่งมาราธอนตามอีป้ากันอย่างหน้ามืดตามัว นั่งรถเล่นตากแดดกันจนสุกงอมได้ที่ จู่ๆ ก็ไม่พอใจพ่อหนุ่มคนขับก็จับเปลื้องผ้าโยนออกนอกรถกันอย่างหน้าตาเฉย ก่อนจะปิดฉากเสร็จพิธีด้วยโควเทชั่นภาษาอิตาเลี่ยนเก๋ๆ ที่ใครทราบว่าแปลว่าอะไรช่วยบอกที ?
ลูกเล่นการตัดต่อภาพและเพลงมีส่วนที่ทำให้ซิงเกิ้ลนี้น่าฟังขึ้นมาก บวกกับการที่เอ็มวีทำออกมาได้ตรงไปตรงมาชนิดกางเนื้อร้องแล้วผลิตภาพตามแบบครบทุกเม็ด ทำให้ดูง่าย เข้าใจง่าย ไม่คิดมาก นึกไม่ออกว่ามาดอนน่าทำเพลงเนื้อหาแนวปล่อยใจฝันแบบนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ จะให้นึกก็คงต้องย้อนกลับไปถึงยุค Holiday หรือ Into The Groove นู้น ซึ่งก็คงไม่แปลกที่แฟนเพลงรู้สึกแปลกใจและตื้นตันเล็กๆ ที่ได้มาดอนน่าผู้ร่าเริงกลับมาอีกครั้ง
Settle Down จะพรีเมียร์ในวันที่ 16 กรกฎาคมนี้ ส่วนอัลบั้มจะวางแผงวันที่ 25 กันยานู้น ระหว่างนั้นวงก็จะเดินสายเปิดตัวเพลงทั้งในงาน Nickelodeon Teen Choice Awards, Jimmy Fallon Late Night Show ไปจนถึง Good Morning America ภายในเดือนนี้อีกเช่นกัน
Magic Hour เป็นอัลบั้มหมายเลขสี่ที่วางแผงไปแล้วตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภา มาพร้อมกับหน้าปกม้าลายแบบงงๆ ทำเอาหลายคนแอบหลงผิดคิดไปว่าพวกเธอจะเริ่มปลงสังขารกันแล้วรึเปล่า แต่ไม่เลยเมื่อเราได้ยินเพลงอย่าง Let's Have A Kiki กึ่งเพลงกึ่งคลิปเสียงของสาวแอนนาฝากข้อความทิ้งไว้ในโทรศัพท์ได้อย่างฮากลิ้ง Best In Me ที่รู้สึกเหมือนได้ไปเหยียบย่าน Lower East Side ในนิวยอร์กด้วยตัวเอง Shady Love เพลงจังหวะกระฉึกกระฉักที่แอบเสียแต้มที่อุตสาห์ได้แร็พเปอร์ Azealia Banks มาร่วมร้องแต่นังเจคดันไปร้องท่อนแร็พแล้วให้ Azealia Banks ไปร้องท่อนฮุคเสียเฉย Self Control เกาะกระแสชิคาโกเฮาส์ที่กำลังกลับมาเฟื่องฟูที่กลุ่ม Azari & III ได้นำร่องนำไปแล้ว รวมไปถึง Only The Horses ซิงเกิ้ลนำสุดจะฟีลกู๊ดที่แปะป้าย Calvin Harris ร่วมลงไม้ลงมือปั้นหรา ออกมาเป็นป็อปติดหูฟังสนุกแม้ว่าจะมีลายเซ็นคอลวินอยู่พร้อยไปหมดก็ตาม ในขณะที่เพลงช้าก็เข้าท่าเข้าทางดีไม่หยอก เช่น Inevitable กับ Years of Living Dangerously เหมือนย้อนกลับไปฟังเพลงฮิตยุค 80s อย่าง George Michael หรือเพลงช้าของ Eurythemics เป็นที่แสดงอีกด้านหนึ่งที่ลึกซึ้งของวงหรือเรียกง่ายๆ คือช่วงสร่างเมาของนางนั่นเอง
แต่ก็หาใช่ว่าจะมีแต่เพลงดีๆ เสมอไป เพลงแดดิ้นตายซากบางเพลงก็มี เช่น San Luis Obispo ที่ไม่รู้คิดอะไรอยากจะเดินรอยตามเพลงเกาะสวาสหาดสวรรค์ La Isla Bonita ของเจ๊แม่แต่ออกมาได้แห้งแล้งแปลกปลอมสิ้นดี Keep Your Shoes On เป็นอีกหนึ่งเพลงเต้นรำ ทีไปไหนไม่ได้ไกลเพราะถูกเพลงร่วมอัลบั้มกลบรัศมีไปเรียบร้อยแล้ว Baby Come Home ก็ซ้ำซากย่ำต๊อกอยู่กับแพทเทิร์นเดิมๆ ของอัลบั้มเก่าที่ฟู่ฟ่ากว่าอย่าง I Don't Feel Like Dancing หรือ Take Your Mama เป็นต้น
ถึงเวลาให้คะแนนก็คงต้องบอกว่าพี่น้องกรรไกรสอบผ่านฉลุยในมาตรฐานของตัวเองหากพูดถึงเรื่องการรักษาความแซ่บไว้คู่รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า แม้ว่าจะสู้อัลบั้มก่อนอย่าง Night Work ไม่ได้ในเรื่องคอนเซปต์ที่ดาร์กกว่า เข้มข้นกว่า Magic Hour หันไปจับความสนุกสนานร่าเริงและแรดราวกับเพลงประกอบหนัง Priscilla Queen of the Desert ก็ไม่ปาน แม้จะอัลบั้มชุดนี้จะไม่ใช่งานระดับตำนาน แต่แน่ใจว่า Scissor Sisters จะเป็นวงแรกที่ผู้คนจะเอ่ยชื่อเมื่อคุณพูดถึงดนตรีในกลุ่มแกลมร็อคในยุคนี้เสมอแน่นอน
If you love this, try these: vintage Madonnas, Azarii & III, Hercules and Love Affair, Sam Sparro
จุดแข็งข้อสำคัญทีทำให้ Lana Del Rey นั้นขายดิบขายดีนั้นไม่ใช่แค่น้ำเสียง แต่รวมไปถึงการรักษาลุ๊คสุดแสนจะวินเทจ สไตล์ Nancy Sinatra ผสมกับ Brigitte Bardot ผสมปนเปกับไอดอลหญิงยุคห้าศูนย์หกศูนย์อีกหลายคนทั้งทางด้านดนตรีหรือรูปลักษณ์ แถมเธอยังรักษาคอนเซปต์ได้อย่างมั่นคงกว้างไกลไปถึงเอ็มวีแต่ละตัวที่ทำออกมาได้สวยสดงดงามอย่าบอกใคร
สำหรับครั้งนี้ก็คงไม่แพ้กันในเพลง National Anthem ที่เพิ่งออกมาล่าสุดอาทิตย์นี้ที่ LDR เธอแปลงโฉมเป็น Marilyn Monroe เวอร์ชั่นผมตรงยาวสุดคลาสซี่ พร้อมดัดเสียงอ่อนเสียงหวานร้องเพลง Happy Birthday ให้กับท่านประธาธิปดีเคเนดี้ ล้อกับเหตุการณ์สุดฉาวบ้านแตกสาแหรกขาดเมื่อครั้งสมัยก่อน ก่อนจะแปลงโฉมไปเป็น Jackie O หรือ Jacqueline Kennedy สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งคอยปรนนิบัติพัดวีประธานาธิปดีเคเนดี้ ที่รับบทโดย A$AP Rocky แร็พเปอร์สายอินดี้ร่วมรุ่น ออกมาเป็นเอ็มวีที่ทั้งแรงทั้งล่อเป้า สวยงามด้วยการบรรจงถ่ายทำด้วยกล้องโบราณ และเสื้อผ้าหน้าผมราวกับดูโฆษณายุค 60's ของ Ralph Lauren แถมยังฉลาดตอบโจทย์ตามชื่อเพลง National Anthem อีกต่างหาก
สุดท้ายนี้แฟน LDR เตรียมตัวไว้เลยเพราะเธอกำลังเตรียมจัดชุดใหญ่จากอัลบั้ม Born to Die ไว้อีกหลายเพลงไม่ว่าจะเป็น Summertime Sadness ที่เริ่มได้ยินกันตามคลื่นวิทยุ (ต่างประเทศ) แล้ว ยังมีข่าวมาว่าเธอกำลังเตรียมถ่ายเอ็มวีเพลง Dark Paradise ให้ได้รอชมกันอีกด้วย
Wednesday, June 27, 2012
ข่าวล่ามาแรง! Princess Die เพลงใหม่ชื่อเพราะของเลดีกาก้า เล่นให้ฟังกันสดๆเป็นที่แรกในคอนเสิร์ตที่เมลเบิร์น!
เหตุการณ์เกิดจากว่ามีลิตเติ้ลมอนสเตอร์มือบอนโยนมงกุฎขึ้นมาบนเวที เลดีกาก้าจึงฉุกคิดขึ้นได้ถึงเพลงใหม่ที่แต่งขึ้นที่เธอออกตัวไว้ชัดเจนว่าอาจจะมีอยู่หรือไม่มีในอัลบั้มใหม่ก็ได้ (คล้ายว่าหล่อนยังไม่ได้ตัดสินใจ) ก็เลยถือโอกาสร้องเพลงเศร้าๆ นี้อันมีนามว่า Princess Die ให้แฟนเพลงได้ฟังกันเป็นของกำนันพิเศษเอาซะเลย
ฟังจบครั้งแรกรู้สึกก็ทึ่งกับฝึมือการแต่งเพลงของเธอเข้าเต็มๆ อีกครั้ง ด้วยบรรยากาศคอนเสิร์ตที่อบอุ่นบวกกับวิญญาณนักดนตรีในเสียงเปียโนเบาบาง ฟังดูคล้ายกำลังฟัง Tori Amos ร้องเพลงของ Elton John อยู่ก็ไม่ปาน ถึงแม้ว่าตอนนี้จะฟังดูคล้ายหนึ่งในหลายเพลงบัลลาดร็อคที่มักซ่อนเข้ามาในอัลบั้มต่างๆ อย่าง Speechless หรือ You and I แต่เราเดาไม่ได้เลยว่าเพลงนี้เมื่อไปอยู่ในอัลบั้มใหม่ของเธอจริงจะมีหน้าตาออกมาเป็นเช่นไร คล้ายกับครั้งแรกที่เราได้ยินเธอร้อง Born This Way ในงานเอ็มทีวีที่เธอใส่ชุดเนื้อสดนั้น ก็ไม่ได้มีเค้าของซิงเกิ้ล Born This Way ที่ออกมาหลังจากนั้นเลย
Will Young - I Just Want a Lover - คำพูดมิอาจบรรยายความปลื้มปิติที่ได้เห็น I Just Want a Lover เพลงเด็ดจากอัลบั้มสุดโปรดของผมอย่าง Echoesได้เป็นตัวเป็นตนกับเขาซักที ส่วนเอ็มวีก็สุดจะบรรยายไม่แพ้กัน กับความรู้สึกก้ำกึ่งไม่รู้ว่าอยากจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เพราะคราวนี้หนุ่มวิลรับบทเป็นเสมียนซูเปอร์มาเก็ตผู้โดดเดี่ยวที่ถูกความเหงาครอบงำให้หน้ามืดตามัวไปคว้ารถเข็นมามโนว่าเป็นศรีภรรยาเสียนี่! อย่ากระนั้นเลยชีวิตไม่มีเวลาให้รีรอ ว่าแล้วพี่แกก็ออกลีลาแทงโก้กับรถเข็นอย่างเผ็ดร้อนในดนตรี Nu-Disco เก๋ไก๋ เรื่องความคิดสร้างสรรค์ก็ยังคงไอเดียกระฉูดไม่แพ้เพลงอื่นๆของเขาในยุคนี้ไม่ว่าจะเป็น Losing Myself หรือ Jealousy เลย ... ไม่ผิดใช่ไหมที่จะเทียบว่าครั้งหนึ่งวิล ยังผู้โด่งดังจากรายการ Pop Idol บัดนี้มาเป็นพนักงาน Tesco นี่มันช่างใกล้เคียงสถานะทางชื่อเสียงบางอย่างบนโลกดนตรีของหนุ่มคนนี้อย่างบอกไม่ถูก ... UK Official Charts หนอเมินกันได้ลงคอ มีตาหามีแววไม่!
Melody Thornton - Bulletproof - โปรโมทมาได้ซักพักแล้วสำหรับอัลบั้มเดี่ยวกับค่ายเล็กๆของเมโลดี้ ธอร์นตัน อดีตสมาชิกวง The Pussycat Dolls ที่ล่าสุดได้เปลี่ยน Bulletproof เพลงซินธ์ป็อปสุดจี๊ดของ La Roux หัวหลิมเมื่อปี 2009 ให้กลายเป็นบัลลาดเชื่องช้าว่าหัวใจกันกระสุนนี้จะไม่ยอมให้เธอมาทำให้อารมณ์เสียอีก ข้อแรกคือเป็นการพลิกโฉมหน้าเพลงต้นฉบับแบบจำไม่ได้ แต่ข้อสำคัญมันคือการพลิกภาพลักษณ์เธอไปอย่างกู่ไม่กลับ ข้อแนะนำเดียวสำหรับคนที่ฟังอัลบั้ม P.O.Y.B.L หรือ Piss on your Black List ของสาวเมโลดี้คือต้องลืมผู้หญิงผิวน้ำผึ้งเสียงแหลมตัวเล็กๆคนนั้นให้หมด เพราะเธอย้ำนักย้ำหนาว่าครั้งนี้เธออยากจะเป็นแบบไอดอล Tina Turner ส่วนเพลงในอัลบั้มก็ไม่มีการทิ้งคราบเพลงป็อปสไตล์ตุ๊กตาจิ๋มแมวไว้ดูต่างหน้า เพราะเต็มไปด้วยซาวน์แบบคนดำ อึมครึมและดนตรีทั้งฟังก์ทั้งโซลจัดหนักจัดเต็มทั้งเสียงทั้งซาวน์ งานนี้ก็แล้วแต่เราว่าจะเลือกแบบไหน เก่าหรือใหม่ แต่ที่แน่ๆเสียงของเมโลดี้มีดีเป็นไหนๆ ไปเต้นแรงเต้นกาให้ยัยนิโคลมันบดบังรัศมีอยู่ได้ตั้งนานสองนาน ... นั่นไง ว่าจะไม่กัดนิโคลแล้วนะ
Keane - Strangeland (Album) - น่าตกใจเมื่อมานั่งคิดดูว่าผ่านมาแล้วตั้งสี่ปีตั้งแต่อัลบั้มชุดล่าสุดของ Keane ถ้าไม่นับ EP อย่าง Night Train เมื่อสองปีก่อนก็ถือว่านานทีเดียว แม้ว่าจะไม่ได้มีเพลงดังฮ็อตฮิตติดชาร์ตเหมือนเมื่อก่อนแต่กลับรู้สึกว่า Keane ไม่ได้หายไปจากหน้าปัดวิทยุมานานซักเท่าไหร่ จะพูดไปก็กลัวจะหาว่าผู้อ่านที่น่ารักของผมไปอยู่ในถ้ำที่ไหนมา แต่ Strangeland แดนสนธยานี้เป็นอัลบั้มใหม่ของสี่หนุ่มที่เพิ่งออกมาต้นเดือนก่อน และปล่อยมาสองซิงเกิ้ลแรกอย่าง Silenced by the Night และ Disconnected มาให้ฟังกันไปแล้ว ครั้งนี้ดูเหมือนคีนจะเริ่มหาจุดลงตัวของตัวเองเจอแล้วหลังจากไปผจญกับการทดลองทำดนตรีอิเลคโทรป็อปกับ Stuart Price ในอัลบั้ม Perfect Symmetry หรือไปหาร้องคู่กับแร๊ปเปอร์หน้าไหนก็ไม่เวิร์คซักที พี่ทอม แชปลินก็มาตระหนักได้ว่าการให้ความสำคัญกับการแต่งเพลงด้วยเปียโนเรียบง่ายบวกกับน้ำเสียงและเนื้อร้องที่อบอุ่นเหมือนมีพี่ชายที่แสนดีมาร้องเพลงให้ฟังแบบในอัลบั้ม Hopes and Fears เนี้ยแหละลงตัวที่สุด
ยอมรับมาซะดีๆว่าคุณก็เป็นหนึ่งคนที่แอบมีแฟนตาซีถึงการใช้ชีวิตโลดโผน สุดเหวี่ยง ไม่ต้องเกรงใจใครหน้าไหนอีกต่อไป ถ้าคุณเป็นหนึ่งในนั้น ขอแนะนำ Suck It And See เพลงนี้เลยครับ มันคือ Teenage Dream แห่งโลกร็อคแอนด์โรลที่พร้อมจะลดทอนภาระหนักอึ้งบนโลกนี้ให้เหลือเพียงคุณกับคนรักที่ไม่ว่าเธอจะทำอะไรก็สวยงาม น่าเทิดทูนบูชาไปซะหมด เอ็มวีเพลงนี้ได้ Matt Helders พ่อหนุ่มมือกลองของวงมารับบทสิงห์มอเตอร์ไซค์สุดเท่ห์ ที่ไม่ว่าจะยิ่งใหญ่มาจากไหนก็ต้องหงอเป็นแมวน้อยให้กับแฟนสาวนางแบบสุดเซ็กซี่ ใช้ชีวิตกันอย่างสุดสวิงกับเซ็กซ์และความบ้าระห่ำแบบระเบิดเถิดเทิง ถามจริงๆชีวิตนี้จะต้องการอะไรอีก
อันดับที่ 9 : Janet Jackson - I Get So Lonely
อันดับเก้าเปลี่ยนอารมณ์มาย้อนกลับไปสมัยยุคท็อปฟอร์มของเจเน็ท แจ็คสัน กันบ้างดีกว่า I Get So Lonely นี้เป็นอาร์แอนด์บีบัลลาดเบาๆที่ถ้าเปรียบเป็นเบียร์ก็คงเป็นประเภทที่มีฟองละเลียดชวนให้ลิ้มลอง แต่เมื่อได้สัมผัสก็ต้องติดใจในความเข้มข้นเต็มเม็ดเต็มหน่วยของมัน เพราะเสน่ห์ความเซ็กซี่นั้นอยู่ที่เนื้อเพลงเพลงนี้เต็มไปด้วยแรงปรารถนาที่ไม่มีวันสมหวัง ความอ้างว้างรอวันให้ใครซักคนมาเติมเต็ม นานวันยิ่งพอกพูนหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ส่วนเอ็มวีก็ไม่มีอะไรนอกจากเจเน็ท เต้น เต้น และก็เต้นจนอะไรที่มันคับอกคับใจมันระเบิดออกมาเท่านั้นเอง
อันดับที่ 8 : The Weeknd - What You Need
อันดับแปดปรับอุณหภูมิขึ้นอีกหน่อยแต่ยังคงอยู่กับอาร์แอนด์บีเหมือนเดิมกับ What You Need ของศิลปินหนุ่มจากแคนาดาในนาม The Weeknd ที่เมื่อปีที่แล้วได้มีผลงานอัลบั้ม House of Balloons ที่เต็มไปด้วยเพลงเซ็กซี่ปรอทแตกแบบนี้เต็มไปหมด จะให้หยิบที่ฮ็อทที่สุดก็คงเป็นเพลงนี้ ที่เปิดขึ้นมาด้วยจังหวะเนิบนาบ เสียงลมหายใจแผ่วเบาสลับกับบีทเชื่องช้า ตามด้วยเสียงร้องสุดรัญจวนของนาย Abel ที่คอยพร่ำบอกว่าไอ้หมอนั้นมันคือสิ่งที่คุณต้องการ แต่ผมต่างหากคือสิ่งที่คุณปรารถนา ฟังแล้วถูกใจสาวสองใจอยากเก็บเธอไว้ทั้งสองคนกันหรือเปล่า
จะว่าไปหน้าที่หลักของ Robin Thicke ในวงการดนตรีทุกวันนี้ก็คือการตั้งหน้าตั้งตาทำเพลงเซ็กซี่ปรอทแตกออกมาหว่านเสน่ห์หนุ่มสาวจนกระเจิดกระเจิงกันให้รู้แล้วรู้รอดไป นั่นละคืองานของเขา และดูเหมือนจะทำสำเร็จมาตลอดซะด้วย เพราะไม่ว่าจะหลับตาจิ้มซักกี่อัลบั้มของพ่อยอดชายก็คนนี้ ประเด็นหลักมันก็ไม่ยอมเลื้อยลงมาจากเตียงซักที สำหรับเพลงนี้พี่ร็อบบินแกก็ขี่โรลส์รอยซ์คันโก้มาขออาสาเสนอวิธีการเซ็กส์บำบัดด้วยเพลงประมาณว่า ถ้าอยากร้องก็ร้องได้นะครับ ไม่ต้องกลัวผมนะครับ ผมจะบำบัดให้เอง เอิ่มใครสนใจอยากจะเข้าทรีตเม้นต์นี้ก็อย่าลืมขออนุญาติ Paula Patton ศรีภรรยาของเขาก่อนนะครับ
อันดับที่ 5 : Donna Summer - Love To Love You Baby
มาถึงครึ่งทางอันดับห้าผมขอพาคุณย้อนยุคกลับไปฟังเพลงที่โด่งดังและเซ็กซี่ที่สุดในยุค 70s กันครับสำหรับเพลงนี้ถ้าใครไม่คุ้นให้นึกถึงท่อนนึงในเพลง Naughty Girl ของบียอนเซ่ก็คงจะนึกออก ส่วน Love To Love You Baby ของราชินีเพลงดิสโก้ Donna Summer ที่ผมเอามาแปะนี้เป็นเวอร์ชั่นเต็มสิบเจ็ดนาทีที่จะพาคุณล่องลอยชวนฝันไปกับเมโลดี้จากคีย์บอร์ดย้อนยุค เบสไลน์ดิสโก้ และที่สำคัญเสียงของดอนน่าที่ในสมัยนั้นหลายคนคุยกันให้แซ่ดว่าเธอทำอะไรอยู่ในขณะอัดเพลง? ไม่ใช่อย่างที่คิดใช่ไหม? จะจริงหรือไม่อันนี้ต้องสัมผัสเอง แต่บอกไว้ก่อนว่าเพลงนี้ฟังๆไปมันมีถึงจุดสุดยอดด้วยนะ เอากับมันซิ
อันดับที่ 4 : The Stooges - I Wanna Be Your Dog
อันดับสี่เราก็ยังไม่หนียุค 70s ไปไหนเเต่ขอสลับกลับมาที่ฝั่งร็อคกันบ้าง เป็นอีกหนึ่งเพลงที่มีคนเอากลับมาคัฟเวอร์กันซ้ำแล้วซ้ำเล่าตั้งแต่ Joan Jett ไปจนถึง Futon วงเก่าพี่จีนกษิดิษฐ์ก็มีเอี่ยวกับเขาด้วย สำหรับ I Wanna Be Your Dog ของ The Stooges นี้ถ้ามันคือ Sexual Fantasy มันก็จะต้องจัดอยู่ในหมวด Hardcore อย่างไม่ต้องสงสัย ลืมความนุ่มนวลชวนฝันไปให้หมดเพราะมันจะเหลือแต่ความดิบ เถื่อน โหดล้วนๆ ตั้งแต่กีตาร์ตอนอินโทร เสียงร้องหยาบๆของ Iggy Pop ที่พาจินตนาการคุณไปถึงไหนต่อไหน (ได้โปรดจินตนาการเขาตอนหนุ่ม) จึงไม่แปลกที่เพลงนี้มักถูกจัดอยู่อันดับต้นๆในลิสต์เพลงประเภท Sexy, Striptease อะไรเทือกนี้อยู่เสมอ
อันดับที่ 3 : Britney Spears - Breathe On Me
เพลงนี้ไม่ต้องอาศัยเอ็มวีหรือการตัดเป็นซิงเกิ้ลโด่งดังใดๆทั้งสิ้นก็เข้าตาขึ้นมาอยู่อันดับสามของผมได้ Breathe On Me เป็นเพลงเล็กๆที่ซ่อนอยู่ในอัลบั้ม In The Zone ของหนูหอกบริทนีย์เมื่อสมัยปี 2003 นู้น ร้อนๆแบบนี้บริทนีย์เธอไม่ได้ขออะไรมาก ขอเพียงแค่คุณหายใจรดลงมาบนตัวฉันเบาๆซิคะ แล้วฉันจะดับร้อนให้เอง ส่วนที่เหลือก็ไปจินตนาการกันเองครับ -- ผมไม่คิดว่าจะอะไรเหมาะกับเสียงร้องประเภทลิ้นจุกปากของนังหอกมากไปกว่าซาวน์กึ่ง Trip-Hop ลอยๆ กับเนื้อร้องเย้ายวนไปมากกว่านี้แล้ว มันเลยกลายเป็นเพลงที่ผมคิดว่าเซ็กซี่มีชั้นเชิงที่สุดของบริทนีย์ไปโดยปริยาย คิดแล้วก็อยากจะจับนังหอกมานั่งฟังเพลงเก่าๆที่ตัวเคยร้องจังจะได้เรียนรู้จากประสบการณ์เอาไปปรับใช้กับปัจจุบันบ้าง
อันดับที่ 2 : Serge Gainsbourg & Jane Birkin - Je T'aime Moi Non Plus
เกือบแล้วครับ เกือบจะอันดับหนึ่งแล้ว มาต่อที่อันดับสองคราวนี้ไปฟังเพลงในภาษาที่เซ็กซี่ที่สุดระดับโลกกันครับ มันคือภาษาฝรั่งเศสนั้นเอง ภาษาที่ถ้าคุณแค่พูดว่า I Love You มันจะแปลว่าฉันอยากจะกลืนกินคุณไปทั้งตัว เพลงนี้ของหนุ่มสุดแสบ (และฉาว) Serge Gainbourg นั้นว่ากันว่าแรงจนถูกแบนทั่วยุโรปในสมัยนั้น โดยเพลงนี้ดั้งเดิมแล้วแต่งขึ้นมาเพื่อร้องกับแฟนสาว Brigitte Bardot ดาราเซ็กซ์บอมบ์ของฝรั่งเศสในยุคนั้น วันดีคืนดีก็ต้องมาเลิกรากันเสียก่อนจนได้มาได้ร้องคู่กับ Jane Birkin ภรรยาคนใหม่ของเขา (ใช่แล้ว Birkin นี่แหละที่มาของกระเป๋า Birkin ของ Hermes ครับ) ส่วนเขาร้องว่าอะไรนี่ผมก็คร้านจะเปิดดิกครับ แต่ยังไงมันก็รัญจวนใจเหลือเกินอยู่ดี
อันดับที่ 1 : Madonna - Justify My Love
อันดับหนึ่งแน่นอนครับ คงไม่มีใครพูดถึงความเซ็กซี่โดยไม่เอ่ยชื่อ Madonna ได้ Justify My Love ตอบโจทย์ที่สุดเพราะมันคือเพลงที่ว่าด้วย Sexual Fantasy โดยตรง ในเพลงนี้เจ๊แม่เดินดุ่มๆแบกกระเป๋าราคะหนักอึ้งไปตามทางเดินจนจู่ๆก็ลากชายหนุ่มหน้ามนที่ไหนไม่รู้ลากเข้าห้องไป ระหว่างนั้นเราจะได้ยินเสียงกระเส่าในเนื้อเพลงที่แทบจะไม่ได้เป็นเพลงด้วยซ้ำ กับเสียงผู้ชายในท่อนคอรัสนั้นคือเสียงของเซียนกีตาร์ Lenny Kravitz ที่ในขณะนั้นเจ๊แม่ก็เป็นข่าวกับเขาอยู่ -- มาดอนน่าทั้งถูกแบน ถูกกำหนดเวลาฉาย และถูกวิพากษ์วิจารณ์โจมตีอย่างหนัก แต่ท้ายที่สุดมาดอนน่าคือผู้หญิงที่เปิดหน้าต่างให้กับศิลปินหญิงรุ่นหลังให้สามารถพูดถึงเรื่องความปรารถนาทางเพศบนสื่อกระแสหลักได้อย่างเสรีเหมือนทุกวันนี้ เธอคือคนที่ยืดอกบอกว่าทำไมล่ะ ฉันก็มีหัวใจไม่ต่างจากผู้ชายเท่าไหร่หรอก และดนตรีป็อปก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
Where have you been ? คงเป็นประโยคคำถามที่แฟนห่านอยากจะร้องใส่ดังๆว่าหล่อนหายไปไหนมา เพราะหลังจากที่ We Found Love ดังระเบิดเป็นเพลงชาติไปเมื่อปีที่แล้วอัลบั้ม Talk That Talk ก็ทำท่าว่าจะไม่รอด อย่ากระนั้นเลย ก่อนถูกครหาว่าเป็น Single Artist ดังเป็นเพลงๆ ก่อนกระแสจะถูกกลบ ก่อนคนจะเริ่มทึกทักว่าห่านจะลอยแพอัลบั้มนี้ไปแล้วรึเปล่า นางจระเข้สาวก็เลื้อยขึ้นบกกลับมาทวงศักดิ์ศรีคืนทันทีด้วยการงัดแทร็คที่ถูกขอมาทางคลื่นวิทยุอย่างล้นหลามเพลงนี้ขึ้นมาเป็นซิงเกิ้ลมันซะเลย -- สิ่งหนึ่งที่ห่านสู้ไม่เคยถอยก็คือเรื่องเอ็มวี เพลงนี้ก็อีกเช่นกันที่เธอลงทุนจำแลงกายสารพัดสรรพสัตว๋์ตั้งครึ่งบกครึ่งน้ำบ้าง นอนในรังนกบ้าง เป็นเจ้าแม่พันมืออะไรต่อมิอะไร แต่ท้ายที่สุดก็หนีไม่ค่อยพ้นสิ่งที่เคยทำๆไปในเอ็มวีก่อนๆอย่าง Disturbia เท่าไหร่ แต่สิ่งที่พาวเวอร์อัพเพลงนี้จริงๆคือสเต็ปหน้ากระดานเป๊ะๆที่เป็นที่เห็นบ่อยๆเมื่อทศวรรษที่แล้ว อาจมีภาพ Together Again ของป้าบาบูนเจเน็ทวิ่งเข้ามาแทรกเป็นระยะ แต่ก็นับเป็นทิศทางใหม่สำหรับรีฮานน่าผู้พยายามจะเซ็กซี่เท่าไหร่ก็ไม่สำเร็จซักที หันไปเอาดีแนวเต้นก็ดีเหมือนกันนะห่าน -- งานนี้จะเปรี้ยงไม่เปรี้ยงมารอดูกันครับ
มาหาสาระกันบ้างดีกว่าครับ
เอ็มวีที่เห็นข้างล่างนี้ เอามาแปะไว้เพราะอยากจะให้รู้จักกับผู้กำกับวัยละอ่อนแต่ฝีมือเด็ดคนนี้ครับ เขามีชื่อว่า Yoanne Lemoine (โยอานน์ เลมัวนี่)เป็นคนฝรั่งเศส นายคนนี้เขา high-profile อย่างมากมาตั้งแต่เด็กครับจบเกียรตินิยมสาขา Illustration and Animation มาตั้งแต่อายุยังน้อย เคยร่วมงานกับผกก.ดังๆอย่าง Sophie Coppola (ลูกสาว Francis Ford Coppola เจ้าพ่อ Godfather) Hype Williams และ David Lachapelle ด้วย ถ้าจะให้นึกออกหนุ่มคนนี้ก็คือผู้กำกับเอ็มวี Teenage Dream ของเคธี่ เพอร์รี่ นั่นแหละครับ ช่วงต้นปีมานี้จะมีผลงานออกมาให้เห็นอยู่บ่อยๆ หลายคนคงสังเกตได้จากความน้อยแต่มากในผลงานของเขา เจาะถ่ายวัตถุไปเป็นตัวๆ สื่อความหมายแยกๆกันไป สโลโมชั่นสวยๆไปพร้อมกับภาพขาวดำ ผมดูกี่ทีก็หลงครับ
Blue Jeans เอ็มวีนี้เป็นซิงเกิ้ลที่สามของสาวหน้าเบลอ Lana Del Rey และเป็นวีดีโอตัวที่สองต่อจากซิงเกิ้ลแรกของอัลบั้มคือ Born To Die ที่เขากำกับให้ดังไปเป็นพลุแตกเมื่อปลายปีก่อน ในเอ็มวีนี้ก็ยังเห็นภาพขาวดำ signature ชัดเจน ปล่อยสาวลานาลงไปลอยตุบป่องอยู่ในสระว่ายน้ำ เมคอัพยังครบเครื่องเหมือนสตรีฝรั่งเศสยุค 60s ผู้ชายหนุ่มในมาดแบดบอยที่ยืนอยู่ริมสระก็ไม่ใช่ใครที่ไหนก็ Bradley Soleil ในเอ็มวี Born To Die นั้นแหละครับ เนื้อหาก็คงหนีไม่พ้นการตกหลุมรักชายโฉดก็รังแต่จะพาชีวิตตกต่ำเหมือนไอ้เข้จะงาบลงน้ำไม่รู้เนื้อรู้ตัว คิดไปก็ทำให้นึกถึงความสัมพันธ์ของหนุ่มแบดบอย Serge Gainsbourg กับสาวเซ็กซ์ซิมโบล์ Brigitte Bardot เมื่อสมัยก่อนอยู่เหมือนกันนะครับ
ขาวดำไปแล้วลองมาดูแบบโมโนโทนดูบ้าง ใน Take Care เพลงใหม่ล่าสุดจากอัลบั้มชื่อเดียวกันของ Drake ครับ (เป็นอัลบั้มหนึ่งที่ผมเปิดฟังบ่อยมากๆช่วงนี้) กลับมาร่วมงานกับรีฮานน่าอีกครั้ง หลังจากที่ฟัง What's My Name กันจนหูชา รีฮานน่าในเอ็มวีนี้ย้อมผมบลอนด์แล้วดูแปลกตาไปมากแต่ก็ไม่ได้ทำให้เธอเด่นขึ้นเท่าไหร่ในความคิดผม เพลงเนิบๆก็ต้องเข้ากับเอ็มวีเรียบๆ Minimalism ซูมเข้าซูมออก ตัดกับ montage แรนดอมกันเข้ามา สิงห์สาราสัตว์ทั้งหลายที่ขยันขนกองทัพกันมาในเอ็มวีนี้ก็คร้านจะตีความนะครับ รู้แต่ว่ามันก็เป็นอีกหนึ่ง signature หนึ่งของโยอานน์เหมือนกัน มีสเน่ห์อย่างบอกไม่ถูก